หน้า 1 จากทั้งหมด 1
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 6:43 pm
โดย สุมาอี้
สมมติว่าเราใช้ปัจจัยพื้นฐานเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งมาสักตัวนึง ประมาณว่าคิดว่าดีที่สุดในตลาดหุ้นไทย โดยที่หุ้นนี้ต้องเป็นหุ้นที่ราคามีการแกว่งตัวพอสมควร...
จากนั้นก็เลิกสนใจหุ้นตัวอื่น มาตามข่าวหุ้นตัวนี้ตัวเดียวอย่างหนัก
แล้วเราก็หากินด้วยการเทรดหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ โดยการเล่นรอบ
เนื่องจากเราตัวนี้ตลอดอย่างหนักเราย่อมรู้ดีกว่าคนทั่วไป เหมือนจะเป็นเจ้ามือกลายๆ
เป็นการผสมผสานระหว่าง VI กับการเป็น เทรดเดอร์ คิดว่าวิธีนี้เป็นงั้ยครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 7:36 pm
โดย Capo
ผมก็จดจดจ้องจ้องวิธีนี้อยู่ครับ
แต่ว่าใจไม่กล้าพอ
ถ้าเป็นลักษณะที่ผมคิด
คือกรณีที่ไม่มีการเติมเงินลงไป (ผมไม่มีตัง)
ก็คงเป็นการ Short Port
ที่คิดเพราะต้องการเอาการขึ้นลงของราคา
มาใช้ไห้เป็นประโยชน์
แต่กังวลอยู่สองกรณีครับในตอนนี้
1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ
เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา
สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss
หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ
แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ
2. หากขาย แล้วราคาลงจริง แต่รอเป็นนานสองนานแล้ว
ก็ยังไม่ได้ราคาที่ Cover ค่าคอมฯซะที ตรงกรณีนี้ยังคิดเกณฑ์การซื้อคืนไม่ออกครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 7:56 pm
โดย สุมาอี้
Capo เขียน:
1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ
เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา
สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss
หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ
แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ
ข้อนี้ใช้วิธีไม่มีการขายหมดได้มั้ยครับ ยังไงต้องเหลือติดพอร์ตไว้จำนวนหนึ่งเสมอ เพราะยังไงเสียก็คัดสรรมาแล้วว่าเป็นหุ้นดี
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 8:08 pm
โดย Capo
คิดว่าได้ครับพี่......
ผมไม่ได้คิดเผื่อกรณีนี้ไว้ครับ
เพราะว่าพอร์ทผมมันมินิมดมากครับ :lol:
เดี๋ยวจะไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของโบรก
หรือว่าจะไปใช้บัญชีแบบ pre-paid ดีแฮะครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 10:38 pm
โดย CK
สามารถทำได้ครับ แต่ผลตอบแทนจะดีกว่า Buy & Hold รึปล่า
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางครับ
การเล่นแบบพี่สุมาอี้ว่า เป็นเทคนิกที่ใช้ trading systems
เข้ามาช่วยในการ maximize profits ซึ่งมีข้อดีและมีข้อเสีย
วิธีการของคุณเด่นศรี (DSM) ก็นับเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ
การใช้ turtle trading มาประยุกต์ ก็ดูแล้วค่อนข้างได้ผลดี
อย่างผมเคยทำกับ BANPU พบว่าถ้าใช้สัญญาณที่ถูกต้อง
สามารถทำกำไรเพิ่มจาก Buy @ Lowest and Hold
เพิ่มขึ้นราวๆ 5-6% ต่อปีทีเดียวครับ
แต่ที่น่าเป็นห่วงเล็กน้อย คือสัญญาณที่ว่า
จะยังใช้ได้ต่อไปในอนาคตหรือไม่...
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 10:39 pm
โดย CK
ปล. ไม่ทันได้ลองทำจริงๆ นะครับ
แต่ลอง backtest กับข้อมูลย้อนหลังน่ะครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 11, 2007 10:44 pm
โดย Capo
ถ้าอย่างนี้
จำเป็นต้องมีวิชา Technical เป็นมีดสั้นประจำกายด้วยฤาเปล่าครับ
หรือว่าอาศัยความคุ้ยเคยกับการเคลื่อนไหวของราคาก็เพียงพอ
ถ้าอาศัยแต่อย่างหลังเพียงอย่างเดียว จะอันตรายไปไหมครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:58 am
โดย สุมาอี้
ผมว่าต้องอาศัยการติดตามข่าวของบริษัทนั้นอย่างใกล้ชิดด้วย
บางทีช่วงไหนตามข่าวบริษัทหนึ่งอย่างใกล้ชิดมากๆ จะค่อนข้างเข้าใจได้เลยว่าราคาไหนซื้อได้ ราคาไหนซื้อไม่ได้ ราคาไหนวิ่งมาแรงเกินไปในระยะสั้น
VI mutant
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 8:50 am
โดย CK
ผมว่าใช้อะไรก็ได้ครับ แต่ควรจะ consistent เช่น
- ราคา
- ข่าว
- ผลประกอบการ
- ช่วงเวลา (เช่น ขายหลังปันผล ซื้อคืนกันยา)
VI mutant
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 20, 2007 2:11 pm
โดย Belffet
ผมอยากแชร์แนวทางการ trade แบบนี้เล็กน้อยนะครับ
1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน
2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้)
3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว
4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร
5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15%
6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย
7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ ....
การแตกพาร์
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 20, 2007 3:47 pm
โดย angore
ถ้าเรามีหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง 1000 หุ้น พาร์ 10 บาท แล้ววันหนึ่งบริษัทก็ประกาศแตกพาร์ 1 บาท ถามว่าจำนวนหุ้นของเราจะเพิ่มหรือเปล่าครับ
ช่วยอธิบายให้ด้วยคับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 20, 2007 4:11 pm
โดย Belffet
เพิ่มครับ
คูณ 10 เข้าไป เพิ่มเป็น 10,000 หุ้น มูลค่ายังคงเท่าเดิม เพราะพาร์เหลือ 1 บาท
VI mutant
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 20, 2007 4:23 pm
โดย สุมาอี้
Belffet เขียน:ผมอยากแชร์แนวทางการ trade แบบนี้เล็กน้อยนะครับ
1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน
2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้)
3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว
4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร
5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15%
6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย
7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ ....
น่าสนใจครับ ควรเป็นบริษัทที่เราแน่ใจว่ากำไรเขาน่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว และโอกาสในการล้มละลายมีน้อย
VI mutant
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 20, 2007 8:45 pm
โดย tattoo_thai
- ช่วงเวลา (เช่น ขายหลังปันผล ซื้อคืนกันยา)
ทำไมต้องซื้อขายช่วงนี้ด้วยละครับ หรือว่ามีสถิติว่าการซื้อขายช่วงนี้ดีที่สุด น่าสนใจครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 02, 2007 9:53 pm
โดย takechi
ผมว่าพี่สุมาอี้ สามารถทำกำไรได้ แน่นอนถ้าพี่
รู้ข่าวบริษัท แต่ผมว่าอาจจะต้องเหนื่อยนิดหน่อย เพราะต้องตามตลอดเวลาครับ...
VI mutant
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 12:55 pm
โดย cwiboon
ถ้าเป็นกรณีที่ราคาขึ้นไปสูงมาก ตอนที่เราขายออกไปแล้วล่ะครับ พอเก็บกลับไม่ได้ก็เล่นรอบไม่ได้
VI mutant
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 7:33 pm
โดย energizer
เคยลองแล้วครับพี่ เครียดมากๆเลย เครียดกว่าเล่นหุ้น ITV อีกอะ
VI mutant
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 06, 2007 3:17 pm
โดย bmw2681
ผมว่า วิธีนี้ไม่เวิร์คน่ะครับ เคยลองทำแล้ว โอกาสเสียหุ้นเยอะมาก ค่อยๆสะสมเงิน แล้วซื้อเพิ่มในหุ้นที่มั่นใจ ดีกว่ามั้งครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 11:28 am
โดย Dech
เข้ามาอ่านครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 3:09 pm
โดย Belffet
ตอบ คุณ cwiboon (ถ้าถามถึงผมนะครับ)
อย่างที่เรียนว่าหุ้นพวกนี้ เวลามีข่าวดีก็วิ่งทันใจ เวลาข่าวร้ายก็กระอักเหมือนกัน
กรณีที่คุณ cwiboon พูดจึงเป็นกรณีที่เรา "ขายหมู" นั่นเอง ซึ่งผมว่าโอเคนะครับ ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ นั่นเพราะตอนเราขายนั้นเราขายที่ระดับราคาที่เราคาดหมายไว้แล้วคือราว 15% ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถขายตอนราคาสูงที่สุดได้ตลอด ขอเพียงราคาที่เราขายนั้นเป็นราคาที่เราโอเคกับผลตอบแทนก็พอครับ
หลังจากนั้น เมื่อเราถือเงินสด ก็ไม่ต้องไปสนใจราคาหุ้นแล้วล่ะครับ ฟุ้งซ่านเปล่าๆ เอาเวลาไปจับตาดูดัชนี ดูข่าวร้ายของตลาดที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ยามใดที่ดัชนีตกแบบกราวรูด 10-20 จุด ก็ค่อยเข้าซื้อใหม่ครับ
นอกนั้นก็เป็นเทคนิคส่วนตัวครับ เพราะว่า "มีถูกแล้ว ย่อมมีถูกกว่า" เวลาเข้าก็ขอให้แน่ใจจริงๆนะครับว่าช่วงนั้นตลาดย่ำแย่จริงๆ ตกจนไม่น่าจะตกกว่านี้แล้ว (ถึงแม้เรา็คงไปเข้าซื้อตอนมันตกต่ำที่สุดไม่ได้ทุกครั้งเช่นกันก็ตาม)
หรือจะใช้ DSM ผสมเข้าไปด้วยก็คงได้นะครับ แต่ผมไม่ถนัด DSM เลยเข้าๆออกๆอยู่อย่างนี้ ปีนึงก็ 2-3 รอบน่ะครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 3:11 pm
โดย Belffet
แก้ประโยคที่ผิดนะครับ
"ซึ่งผม ไม่่ เชื่อว่าสามารถขายตอนราคาสูงที่สุดได้ตลอด"
VI mutant
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 4:40 pm
โดย itti_peak
วิธีนี้เป็น วิธีที่ดีเลยแหละครับ ถือสักประมาณ 3-5 ตัวครับ แล้วก็ดูแค่ที่เราสนใจ แล้วใช้ tecnical เข้าช่วยครับ
VI mutant
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 08, 2007 10:19 am
โดย Quattro
แบบนี้ถ้าเรากะจะเล่นรอบ
แล้วเข้าไปซื้อ แล้วราคามันเกิดดิ่งลง
เราจะกล้า cutloss มั้ยครับ (หลักเก็งกำไร)
หรือว่าจะซื้อเพิ่ม (หลัก vi)
คือผมรู้สึกว่าวิธีนี้มันก็เหมือนการเก็งกำไรอย่างนึง
เพียงแต่อาจเป็นการเก็งกำไรระยะกลาง + มีพื้นฐานหุ้นรองรับ
พี่ๆว่าไงครับ?
VI mutant
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 09, 2007 12:38 pm
โดย Belffet
การจะ cutloss หรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องเทคนิคและความเชื่อของแต่ละคนแล้วล่ะครับ
1. ถ้าคุณเชื่อว่าตลาดวิกฤติแบบไม่มีเหตุผล มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ไม่นาน ก็ไม่ต้อง cut แต่จะซื้อเพิ่มมั๊ยก็แล้วแต่เช่นกัน และก็ต้องรับได้ถ้าเราวิเคราะห์ผิด
2. หุ้นที่เราเลือกต้องเป็นหุ้นที่อย่างน้อยนำตลาด มั่นคงพอสมควร มีปันผลสม่ำเสมอ (เผื่อติดหุ้นด้วยน่ะครับ)
ส่วนตัวผมให้ range สำหรับ cutloss ค่อนข้างยาว คือ 10% เพราะผมเชื่อว่าแต่ละครั้งที่จะเข้าซื้อ ต้องแน่ใจพอสมควรว่าตลาดวิกฤติถึงที่สุดในช่วงนี้ และมันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้อยู่นานนัก (ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ นานนนนๆๆๆ ทีจึงจะเกิด และทำให้เบื่อมากๆเวลา sideway นานๆ ปีที่แล้วผมซื้อขายแบบนี้แค่ 2 ครั้งเอง)
ที่ผ่านมาผมยังไม่พลาด แต่ผมว่าอนาคตไม่แน่