Thai VI

NET NETS STOCKS
โอกาสทองของการลงทุนประเภทหนึ่งที่หายสาบสูญไปจากตลาดหุ้นวอลสตรีท หรือตลาดอื่นที่กำลังอยู่ในภาวะกระทิง คือการลงทุนที่เน้นซื้อหุ้นราคาถูกตามแบบฉบับของเบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นต้นตำรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งก็คือ การเสาะหาซื้อหุ้นประเภท net nets stocks นั่นเอง
 Net net asset value = สินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด หนี้สินทั้งหมด
ปรมาจารย์ท่านว่าจะมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากหากนักลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทที่มีราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่า ค่า net net asset value มากกว่า 30 เปอรเซ็นต์ (market cap. น้อยกว่า net net asset value 30%) และซื้อกระจายๆไปหลายๆตัว ไม่ต้องสนใจพื้นฐานความแข็งแกร่งของบริษัทมากนัก  วิธีนี้วอร์เรน บัฟเฟตต์อธิบายว่า เป็นวิธีที่เก็บบุหรี่ที่คนอื่นทิ้งแล้วขึ้นมาสูบ
 วันนี้ผมลองหาข้อมูลของเห็นประเภทนี้ในตลาดหุ้นไทยครับ ปรากฏว่าเจอหลายตัวทีเดียว และบางตัวพื้นฐานไม่เลวทีเดียว ครับ แต่ผมเองยังไม่มีประสบการณ์ การลงทุนในหุ้นประเภทนี้ครับ พี่ๆน้องๆท่านใด มีประสบการณ์การลงทุนประเภทนี้ และผลตอบแทนเป็นเช่นไร คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ฟังบ้างนะครับ

คุณchartchai ช่วยกรุณาแชร์ว่ามีตัวไหนบ้าง และเรามาช่วยวิเคราะห์กัน

Stock    NVL  
Net nets asset value = current asset total debt
                              =  2594-1470
                              =1124
Market cap.(8/3/50) = 435    

Market cap.ต่ำกว่า net nets asset value =(1124-435) / 435 =158 %


Stock   TIW

Net nets asset value = current asset total debt
                              = 758 -122
                              =636
Market cap.(8/3/50) = 390

Market cap.ต่ำกว่า net nets asset value =(636-390)/390 = 63 %


STOCK  CHOTI

Net nets asset value = current asset total debt
                              =897 -169
                              =728
Market cap.(8/3/50) = 562

Market cap.ต่ำกว่า net nets asset value =(728-562)/562 = 29.5 %

STOCK  THIP

Net nets asset value = current asset total debt
                              = 381-103
                              =278
Market cap.(8/3/50) = 177

Market cap.ต่ำกว่า net nets asset value =(278-177)/ 177= 57 %

STOCK  NOBLE

Net nets asset value = current asset total debt
                              =5075 -2509
                              =2566
Market cap.(8/3/50) = 2044

Market cap.ต่ำกว่า net nets asset value =(2566-2044)/ 2044= 26 %

ที่จริง Graham ก็สอนเรื่องนี้มานาน แต่ที่เมืองไทยไม่มีนักวิเคราะห์คนไหนพูดถึงเลย พอทราบมั้ยครับ เพราะอะไร

เข้ามาเตือนด้วยความหวังดีครับ .....ในหุ้นที่คุณแนะนำมีหุ้นพิฆาตอยู่ด้วย

อ้อ...อ่าน Intelligent Investor ต้องอ่านให้จบครับ อ่านเป็นส่วนๆ อันตรายมาก โดยเฉพาะเรื่องนี้

Net nets stock  แต่ market cap.ต่ำกว่า net nets asset value ไม่ถึง30%
ค้นหาเมื่อ 8/3/50
                   
1)mk          market cap.(8/3/50)น้อยกว่า net nets asset 19%
2)cph      market cap.(8/3/50)น้อยกว่า net nets asset  14%
3)inet      market cap.(8/3/50)น้อยกว่า net nets asset 13%
4)siri        market cap.(8/3/50)น้อยกว่า net nets asset 17.80%
5)kc         market cap.(8/3/50)น้อยกว่า net nets asset 11%
6)cfresh  market cap.(8/3/50)น้อยกว่า net nets asset 13.79%

ขอบคุณมากครับสำหรับคำเตือน
 ผมเองไม่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นที่เป็น net nets stocks ครับ เพียงแต่ศึกษาตำรามา แล้วลองเข้าไปหาข้อมูลดูครับ เจอแล้ว ก็เอามาเล่าให้เพื่อนๆฟังครับ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ  หากใครเคยลงทุนในแบบ  net nets stock แล้ว ได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร เอามาเล่าให้ฟังบ้างครับ

ที่ผมชอบที่สุดคงจะเป็น บลจ. MFC ที่ถูกหมีปี 43 ตะปบ เค้าเป็นกิจการที่เข้าใจได้ง่ายมากแต่ตลาดประเมินผิด (เป็นคนละกรณีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ทองคำที่พร้อมจะสูบเงินบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเอง) เงินสด+เงินฝาก+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้ทั้งสิ้น ประมาณหุ้นละสิบบาท ในขณะที่ราคาตลาดเหลือสามบาท คนที่ถือหุ้นบริษัทยาวมาห้าปีจนถึงต้นปี 49 จะได้กำไร 1000%  :shock:

[quote="Ryuga"]ที่ผมชอบที่สุดคงจะเป็น บลจ. MFC ที่ถูกหมีปี 43 ตะปบ เค้าเป็นกิจการที่เข้าใจได้ง่ายมากแต่ตลาดประเมินผิด (เป็นคนละกรณีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ทองคำที่พร้อมจะสูบเงินบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเอง) เงินสด+เงินฝาก+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้ทั้งสิ้น ประมาณหุ้นละสิบบาท ในขณะที่ราคาตลาดเหลือสามบาท คนที่ถือหุ้นบริษัทยาวมาห้าปีจนถึงต้นปี 49 จะได้กำไร 1000%

siri กับ noble ขอตัดออก เพราะไม่แน่ใจว่า inventory ของพี่แกจะยังเรียกว่า สินทรัพย์ "หมุนเวียน" อยู่หรือไม่ เพราะขายไม่ออกจ้า

webนี้ก็มีserie death note หลายคนแล้วนะนี่
ทั้ง ไลท์(Luty), Ryuga, L  รอ เมลโลกับเนียร์ มาเสริมให้ครบๆ  :P

บลจ. MFC  เงินสด+เงินฝาก+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้ทั้งสิ้น ประมาณหุ้นละสิบบาท

แก้ข้อมูลนิดนึงครับ รู้สึกจะนั่งเทียนมากไปหน่อย  :mrgreen:  เงินสด+เงินฝาก+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้ทั้งสิ้น จริงๆ ประมาณ 8-9 บาทต่อหุ้น แต่ถ้ารวมตราสารหนี้ที่ถือยาวขึ้นอีกนิด จะใกล้ๆ สิบบาท

ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนที่มีไม่ใช่เงินสด  เราคงต้องพิจารณาถึงคุณภาพว่ามีมูลค่าที่แท้จริงตรงตามงบการเงินหรือไม่

ถ้ามูลค่าไม่มีอะไรผิดพลาด  ก็แสดงว่าตลาดอาจจะให้มูลค่าของบริษัทตามความสามารถในการทำกำไร  หรือหาเงินสดอิสระ

ซึ่งถ้าเป็นดังนั้น  ก็อาจจะแสดงว่าธุรกิจของบริษัทเหล่านี้  มี Net Profit Margin ในระดับต่ำ  

หรืออาจจะเป็นเพราะบริษัทไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง  และจัดเก็บเงินจากลูกหนี้  อำนาจต่อรองกับลูกค้าต่ำ

เห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัยครับ เพราะบางที่สินค้าคงคลังเยอะมาก.....แต่ยังไม่มีการตั้งสำรองสินค้าล้าสมัย หรือลูกหนี้การค้าสูง แต่มีแต่หนี้ค้างชำระเกินดิวมาก

และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้บริหารถ้าไม่แฟร์ก็สามารถแต่งได้แม้นกระทั่งลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลังครับ พวกนี้ไม่ค่อยมีเตือนแต่อยู่ดีๆก็แตกโพล่ครับ

ที่ผ่านมาผมเคยซื้อลงทุนกับบ.ลักษณะนี้2-3บริษัท  ไม่ประสบความสำเร็จครับ ขาดทุนทุกที

ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นครับ เป็นประโยชน์มากๆครับ

stock  tc
market cap. ต่ำกว่า net nets asset value 48%

stock sawang
market cap. ต่ำกว่า net nets asset value 133 %

stock ewc
market cap. ต่ำกว่า net nets asset value 120 %

ในเรื่องการลงทุนซื้อหุ้นประเภท net nets stocks ดร.นิเวศน์กล่าวไว้ในหนังสือตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ   น่าสนใจทีเดียวครับ
****นักวิชาการรุ่นต่อๆมา ได้ทำการวิจัยศึกษากลยุทธ์การลงทุนแบบ value investment ของ เบน เกรแฮม โดยทดลองซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำๆมากๆ คือต่ำที่สุด10เปอรเซ็นต์ของหุ้นทั้งตลาดมาเก็บไว้พอครบปีก็ขายหุ้นที่มีค่า  p/e ที่สูงขึ้นจนหมดสภาพความเป็นหุ้นแบกับดิน (net nets stock) แล้วซื้อหุ้นที่ตกลงมาสู่พื้นล่างสุด10เปอรเซ็นต์อย่างเดิม พอครบปีก็ทำซ้ำวิธีการเดิมอีก เช่นนี้ไปเรื่อยๆนับ10ปี แล้วคำนวณดูว่า การลงทุนในแบบแบกับดินสไตล์ value investment ของเบน เกรแฮม จะให้ผลตอบแทนเท่าไหร่  ผลการศึกษาพบว่า หุ้นแบกับดินที่ผู้คนเมินกันหมดนั้น สามารถให้ผลตอบแทนสูงลิ่วโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นโตเร็ว
  การศึกษาเพื่อหาผลตอบแทนการลงทุนในแนวนี้หลายๆครั้งและในหลายๆช่วงเวลา ให้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า หุ้นแบกับดินให้ผลตอบแทนสูงสุด และหุ้นโตเร็ว หรือหุ้นฟู่ฟ่าให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด แย้งกับความเชื่อของคนทั่วๆไปที่ว่าหุ้นที่น่าลงทุนคือหุ้นที่มีคุณภาพดี กำไรเติบโตเร็ว และหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงคือหุ้นของบริษัทที่กำลังเฉา
  คำอธิบายก็คือ นักลงทุนที่จะทำอะไรที่ *เวอร์* หรือเกินเลยจากสิ่งที่เป็นจริง เวลาเห็นว่าบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดี ก็จะแห่กันเข้าซื้อหุ้น และเห็นว่าบริษัทจะมีผลงานที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ขณะเดียวกัน เมื่อบริษัทกำลังตกต่ำ ทุกคนจะเทขายหุ้น จนหุ้นตกลงมาเกินความเป็นจริง***
(คัดลอกมาจาก ตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ หน้า77-78 ผลงานของ อจ. ดร. นิเวศน์)
  จริงแท้ประการใด เพื่อน วีไอ ที่มีเงินเหลือมากมาย แบ่งเอาเงินอันน้อยนิดของท่านมาทดสอบการลงทุนสไตล์นี้ดูบ้างก็ได้นะครับ แต่รายละเอียดกลยุทธ์ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันเอาเองครับ หากได้กำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนแบบนี้ท่านรับไปคนเดียวนะครับ แต่ผลการทดลองเป็นเช่นไรเอามาแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนจะขอบพระคุณ :lol:  :lol:  :lol:

ขอเสริมนิดหนึ่งนะครับ
สินค้าแบบกับดินของอาจารย์ หมายความว่าเป็นสินค้าที่คัดแล้วคุณภาพใช้ได้ และเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไปแล้วคุ้มค่าครับ

แต่เราต้องระวังและต้องแยกให้ออก ระหว่างสินค้าย้อมแมวขายกับสินค้าที่มีพอมีคุณภาพที่ผสมปนเปอยู่กับดินนะครับ

ไม่งั้นจะเจอของถูกที่แพงอยู่ครับ :lol:

ขอบคุณความเห็นของพี่ naris ครับ

น่าสนใจมากครับสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ ผมว่าเมืองไทยน่าจะศึกษาข้อมูลพวกนี้ไว้นะครับ TSI หรือสมาคมผู้ลงทุนไทย (ผมเป็นสมาชิกอยู่) น่าจะศึกษาไว้นะครับ โดยการเปิดพอร์ตทดลองลงทุน เพื่อเป็นความรู้แต่ต้องมีการควบคุมตัวแปรและตั้งสมมุติฐานที่ดีเยี่ยมครับ

Noble มันนับบ้านเปง inventory รึป่าวคับ ไ่ม่น่าจาเอามาคิดแบบนี้ได้นะคับ