หน้า 1 จากทั้งหมด 2
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2007 10:23 pm
โดย chartchai madman
-----วอร์เรนรู้ด้วยว่า
หุ้นที่ราคากำลังเพิ่มสูงขึ้น เมื่อมีข่าวดีเกี่ยวกับบริษัทเข้ามาเสริมจะทำให้ราคาของหุ้นนั้นขึ้นไปสูงมากๆ ซึ่งเราจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า**ปรากฏการณ์ข่าวดี**
ในทางกลับกัน
หากหุ้นที่ราคากำลังตกต่ำลง มีข่าวร้ายเกี่ยวกับบริษัทมากระทบ ราคาของหุ้นก็จะตกต่ำลงไปอีก เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า***ปรากฏการณ์ข่าวร้าย***
วอร์เรนพบว่า ในสองสถานการณ์ ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจในระยะยาวของบริษัทจะถูกมองข้ามไป วิธีคิดแบบระยะสั้นของตลาดหุ้นจะทำให้หุ้นของบริษัทที่มีปรากฏการณ์ข่าวดี อาจมีราคาแพงไป ขณะเดียวกันวิธีการคิดระยะสั้นของตลาดหุ้นก็จะทำให้บริษัทที่เผชิญปรากฏการณ์ข่าวร้าย ราคาของหุ้นถูกกว่าความเป็นจริง----(คัดลอกมาจากหนังสือ the new buffetology..แปลโดยอาจารย์ พรชัย รัตนนนทชัยสุข)
พี่น้องๆชาววีไอครับ หุ้นของบริษัทชั้นเยี่ยมที่กระทบปรากฏการณ์ข่าวร้าย ซึ่งราคาได้ตกลงมา มีมากพอสมควรในตลาด ณ.ตอนนี้ พี่ๆน้องๆ ชาว วีไอ ลองช่วยกันค้นหาสิครับ แล้วนำมาแลกเปลี่ยน หรือช่วยกันวิจารณ์ เพื่อประโยชน์ของพวกเรา
ผมเองพอจะยกตัวอย่าง หุ้นที่พอจะอยู่ในกรณีดังกล่าว เช่น
1)amata
2)advanc
3)LH
4)stanly(ตัวนี้ผมถือหุ้นอยู่ในพอร์ตครับ)
**จะจริงหรือไม่ประการใด พี่ๆน้องๆชาววีไอ ลองหยิบยกไปศึกษากันเถิด**
คำเตือน:
1)กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว ที่ประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พี่น้องชาววีไอได้แลกเปลี่ยนทัศนะคติกันเท่านั้น
2)การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน การได้กำไร หรือขาดทุนใดๆข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบ
โอกาสซื้อ-โอกาสขาย
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2007 11:04 pm
โดย chartchai madman
วอร์เรน ท่านว่า
***เป็นโอกาสซื้อ เมื่อบริษัทชั้นเยี่ยมเผชิญกับปรากฏการณ์ข่าวร้าย จนราคาตกลงมาจนอยู่ในช่วงน่าสนใจ
***เป็นโอกาสขาย เมื่อปรากฏการณ์ข่าวดี จนทำให้ราคาของหุ้นพุ่งสูงไปเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ
ประเมินอย่างเข้มข้นก่อนตัดสินใจลงมือ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 11:08 am
โดย chartchai madman
เมื่อบริษัทประสบกับปรากฏการณ์ข่าวร้าย นักลงทุนในตลาดผู้ที่คิดแบบระยะสั้นจะตื่นตระหนก เทขายทุกราคา จนทำให้ราคาของหุ้นบริษัทที่ยอดเยี่ยมนั้นตกลงมาในราคาที่น่าสนใจ นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะกระโดดเข้าซื้อเลยก็หาไม่ สิ่งที่ต้องทำก่อนตัดสินใจซื้อคือ
***ประเมินธุรกิจนั้นๆเสียก่อนว่าจะสามารถเอาตัวรอดกลับมาเจริญรุ่งเรืองได้เหมือนเดิมอีกหรือไม่***
หากประเมินแล้วผ่าน และราคาเข้าสู่ striking zone แล้วไซร้ ใยเจ้ายังรั้งรอ หวดให้เต็มแรงเลยคร๊าบบบบบบบบพี่น้องๆๆๆๆๆๆๆๆ :lol:
เพิ่มอีกตัว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 1:26 pm
โดย chartchai madman
ตามความเห็นของผม GRAMMY อีกตัวน่าจะอยู่ในสถานการณ์ ปรากฏการณ์ข่าวร้ายด้วย ครับ ควรมิควรแล้วแต่จะพิจารณา ครับ
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 1:31 pm
โดย Jeng
ไม่มีอะไรร้ายเท่าโลซาแล้วครับ
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 2:01 pm
โดย cwiboon
เอาเคสของ Stanly ละกันครับ ผมตามอยู่เหมือนกัน
ปัจจัยลบที่ผมยังมองภาพไม่ออกถึงผลกระทบตอนนี้ คือ การเจรจา เอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่น น่ะครับ สมมติว่ามีการลดภาษีนำเข้าเกิดขึ้นจริงๆ แล้วลูกค้าของ stanly จะสั่งสินค้าตรงจากทางญี่ปุ่นเลยหรือครับ หรือว่ายังไง ส่วนตัวคิดว่าการเสียลูกค้าเนื่องจาก เอฟทีเอ นี่ยังไม่น่าจะชัดขนาดนั้นน่ะครับ บวกกับข่าวร้าย จากกำไรไตรมาสล่าสุดที่เพิ่งออกไม่ค่อยดีเนื่อง จากของเสียที่ผลิตให้ Honda CRV มีประมาณถึง 50% น่ะครับ
เรื่องประเด็นของเสีย จากที่ประชุมที่ผ่านมารู้สึกว่าจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วน่ะครับ ส่วนเรื่อง เอฟทีเอ ยังมองภาพไม่ออกเหมือนกัน ใครพอรู้รายละเอียดลึกๆบ้างมั้ยครับ
เกี่ยวกับ stanly
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 2:17 pm
โดย chartchai madman
ปรากฏการณ์ข่าวร้ายที่กระทบกับบริษัท
1)กำไรลดลงเมื่อเทียบกับปี48
2)ข่าวการสูญเสียยอดขายบางส่วน ที่เคยขายให้dmax
3)ข่าวการลดลงของยอดขายรถยนต์ของตลาดโดยรวม
4)อัตราการเกิดของเสียในกระบวนการผลิต ในอัตราสูง
5)ความไม่ชัดเจนหากเปิดเสรีการค้ากับญี่ปุ่น
สิ่งเหล่านี้ประกอบกับภาวะหมี ของตลาดหุ้น ราคาหุ้นของ stanly เลยตกต่ำ ทั้งๆที่ competitive adventage และ พื้นฐานทางธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
หมายเหตุ
ผมถือหุ้นตัวนี้อยู่นะครับ การเอาข้อมูลที่ผมให้ไปพิจารณานั้น อาจต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าปกติ
AOT อีกตัวครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 2:22 pm
โดย chartchai madman
หุ้นอีกตัวครับที่กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ข่าวร้ายเข้าอย่างจัง คือ AOT นั่นเอง
สรุปตามความเห็นของผม บริษัทที่เผชิญกับปรากฏการณ์ข่าวร้าย มีดังนี้
1)ADVANC
2)STANLY
3)AOT
4)GRAMMY
5)AMATA
6)LH
ผมถือ stanly อยู่ครับ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
คำเตือน:
1)กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว ที่ประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พี่น้องชาววีไอได้แลกเปลี่ยนทัศนะคติกันเท่านั้น
2)การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน การได้กำไร หรือขาดทุนใดๆข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบ
หุ้นกับม้าแข่ง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 7:17 pm
โดย chartchai madman
****คุณลองนึกภาพในลักษณะนี้ สมมติว่าคุณมีม้าแข่งอยู่สองตัว
ตัวแรกชื่อ ยอดเยี่ยม ซึ่งมีสถิติการแข่งขันมานับครั้งไม่ถ้วน
ตัวที่สองชื่อ ยอดแย่ ซึ่งมีสถิติไม่ดีนัก
สมมติว่าม้าแข่งทั้งสองตัวเป็นไข้หวัด และต้องงดแข่งขันเป็นเวลาหนึ่งปี มูลค่าของพวกมันทั้งสองจะลดลง เนื่องจากว่า ไม่สามารถทำเงินได้ในฤดูกาลนี้ เจ้าของม้าทั้งสองตัวนี้ ต้องการที่จะตัดขาดทุน จึงเสนอขายพวกมัน ถ้าเป็นคุณ คุณจะลงทุนซื้อม้าตัวไหน เจ้ายอดเยี่ยม หรือเจ้ายอดแย่
เป็นที่ชัดเจนเลยว่า เจ้ายอดเยี่ยมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ประการแรก คุณรู้อยู่แล้วว่าปกติ เจ้ายอดเยี่ยมเป็นม้าที่แข็งแรง เจ้ายอดเยี่ยมไม่เพียงแต่มีโอกาสหายจากไข้หวัดได้ดีกว่าเจ้ายอดแย่ แต่มันยังกลับมามีโอกาสชนะการแข่งขันมากกว่า เมื่อมันหายจากไข้หวัดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะสามารถทำเงินได้มากมายเลยทีเดียว
แม้เจ้ายอดแย่อาจจะกลับมาหายเป็นปกติ แต่มันก็มีโอกาสที่จะกลับไปแย่เหมือนเดิมตามชื่อของมัน ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของคุณแย่ตามไปด้วย***(จากหนังสือ ลงทุนอย่าง...วอร์เรน บัฟเฟตต์ แปลโดย อจ.พรชัย รัตนนนทสุข)
แล้ว พี่ๆน้องๆละ เล็งเจ้าม้ายอดเยี่ยม ตัวใดไว้บ้าง
strike zone
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 9:22 pm
โดย chartchai madman
***วิลเลี่ยมส์ เท็ด อธิบายไว้ในหนังสือของเขา(The science of hitting) ว่า เขาได้แบ่ง strike zone ออกเป็นช่องเล็กๆขนาดเท่ากับลูกเบสบอล เท็ดจะตีเฉพาะลูกบอลที่อยู่ในช่องที่เขาตีได้ดีที่สุดเท่านั้น เพื่อที่เขาจะมีโอกาสได้ทำโฮมรันสูงขึ้น วอร์เรนบอกว่า เขาศึกษาปรัชญาการตีเบสบอลของเท็ด และนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุน วอร์เรนจะแบ่งการลงทุนออกเป็น ธุรกิจที่แข่งขันแต่ในเรื่องราคา และธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน อย่างยั่งยืน จากนั้นเขาก็จะเข้าซื้อแต่เฉพาะบริษัทชั้นเยี่ยมที่ถูกเทขายจากการคิดแบบระยะสั้นและการมองโลกในแง่ร้ายของตลาดหุ้น ซึ่งเขาคิดว่าวิธีนี้จะทำให้เขาทำโฮมรันทางการลงทุนได้
วอร์เรนยังตระหนักด้วยว่า มีสิ่งหนึ่งที่เขาแตกต่างจากเท็ด นั่นก็คือ เขาไม่สามารถถูกเรียกออกจากสนามได้ เขาสามรถยืนอยู่ทั้งวันและปล่อยให้ธุรกิจธรรมดาๆ บริษัทแล้วบริษัทเล่าผ่านเลยไป วอร์เรนจะเฝ้ารอการลงทุนที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ก็คือ บริษัทชั้นเยี่ยมที่ถูกเทขายออกมา จากนั้นเขาก็จะเข้าลงทุนด้วยเงินเป็นจำนวนพันๆล้าน ***(คัดมาจาก หนังสือ ลงทุนอย่าง..วอร์เรน บัฟเฟตต์ แปลโดย อจ.พรชัย รัตนนนทสุข)
พี่ๆน้องๆชาววีไอละครับ ม้าเจ้ายอดเยี่ยม วิ่งเข้ามาอยู่ใน strike zone ของท่านหรือยัง หากเข้ามาแล้ว หวดให้เต็มแรงเลยครับ เพื่อจะได้มีโอกาสทำโฮมรัน............... :lol: :lol: :lol:
ตัวอย่างของปรากฏการณ์ข่าวร้าย
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 03, 2007 3:10 pm
โดย chartchai madman
ผมขอยกตัวอย่างที่ได้ชื่อว่าปรากฏการณ์ข่าวร้าย
1)วัฏจักรหมี
2)ภาวะถดถอยของอุตสาหกรรม
3)ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับแต่ละบริษัท
4)การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
5)ภาวะสงคราม
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 03, 2007 3:44 pm
โดย WhiskeySierra
ทำไมถึงเรียกตัวเองว่า madman ล่ะ
นามสกุลครับ
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 03, 2007 3:53 pm
โดย chartchai madman
นามสกุลครับ มาดแมน :lol:
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2007 11:31 am
โดย Banchap
cwiboon เขียน:เอาเคสของ Stanly ละกันครับ ผมตามอยู่เหมือนกัน
ปัจจัยลบที่ผมยังมองภาพไม่ออกถึงผลกระทบตอนนี้ คือ การเจรจา เอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่น น่ะครับ สมมติว่ามีการลดภาษีนำเข้าเกิดขึ้นจริงๆ แล้วลูกค้าของ stanly จะสั่งสินค้าตรงจากทางญี่ปุ่นเลยหรือครับ หรือว่ายังไง
ในกรณีที่สินค้าผลิตในไทยได้นั้น ลูกค้าคงไม่สั่งตรงจากญี่ปุ่นหรอกครับ เพราะระบบ JIT มันค้ำคออยู่ การสั่งจากต่างประเทศมันทำให้ Inventory เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2-3 วัน รวมถึงถ้าสินค้าในประเทศมีปัญหาก็เคลมในไทยได้ง่ายและเร็วกว่า
Re: นามสกุลครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2007 5:29 pm
โดย MarginofSafety
[quote="chartchai madman"]นามสกุลครับ
ภาวะตลาดหมี
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 05, 2007 8:56 pm
โดย chartchai madman
ภาวะตลาดหมี
โดยนิยามโดยทั่วไปบอกว่าเป็นภาวะที่หุ้นทั้งตลาดตกอย่างหนักกว่า20เปอร์เซ็นต์ เป็นภาวะที่เกิดยาก แต่สังเกตได้ง่ายดังนี้
-ราคาหุ้นตกต่ำลงทั้งกระดาน
-สื่อต่างๆประโคมข่าวเรื่องตลาดหมี
-โลกการเงินและตลาดหุ้นจะถูกครอบงำด้วยข่าวร้าย
-การเข้าถึงแหล่งเงินทุนจะยากขึ้น(ธนาคารและสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้)
-เริ่มมีข่าวคนที่ผิดหวังจากตลาดหุ้นจนเครียด หรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย
-ธนาคารแห่งชาติเริ่มพิจารณาถึงการลดดอกเบี้ยอย่างจริงจังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน
-รายการข่าวเหี่ยวกับการเงินการลงทุนจะถูกลดเวลา หรือถูกถอดรายการออกไป
-วอลุ่มการซื้อขายเบาบางจนบริษัทโบรกเกอร์เริ่มรายงานผลประกอบการลดลงถึงขาดทุน
-จำนวนนักลงทุนเริ่มห่างหายออกไปจากตลาด
-การลงทุนแบบเน้นคุณค่าและสวนกระแสเริ่มกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
เคล็ดลับของวอร์เรนก็คือจงกลัวในขณะที่คนอื่นโลภ จงโลภในขณะที่คนอื่นกลัว ตลาดหมีได้สร้างโอกาสการเข้าซื้อ เพราะราคาหุ้นของธุรกิจชั้นเยี่ยมและมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนจะถูกลงจนน่าสนใจ เมื่อภาวะกระทิงกลับมาอีกครั้งหนึ่งจะทำกำไรให้เขาอย่างมหาศาล
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 06, 2007 2:03 am
โดย san
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เริ่มมีข่าวคนที่ผิดหวังจากตลาดหุ้นจนเครียด หรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย
อ่า....งั้นต้องรออีกซักพักครับ ถึงจะมี (....แต่ขอให้อย่ามีเลยครับ วันนั้น )
เพระว่าช่วงนี้ยังมีคนกล้าสวนอยู่ เลยคิดว่า ยังไม่น่ามีคนฆ่าตัวตาย อิอิอิ
ต้องรอจนคนสวนจนหมดตัว แล้วโดนเรียกเงินคืน อะไรแบบนี้ หรือว่า โดน บังคับขาย ถึง จะคิดฆ่าตัวตาย
เอ.....งั้น...หรือว่าหมายความว่า....ยังอีกยาวนานกว่าฤดูจำศีลของหมี จะผ่านพ้นไป
ไปอ่านเรื่อง บ้านเล็กในป่าใหญ่ดีกว่าครับ อิอิอิ
คิดถึง ลอร่า อิงกัล..........แล้วครับ
Re: นามสกุลครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 06, 2007 9:05 am
โดย javidol
HVI เขียน:
นามสกุล เท่ห์จังครับ
เพิ่งเข้ามาอ่าน ขำก๊ากเลย ...
ดูบอลวันก่อน มีนักเตะคนนึงชื่อ Kidson ผู้บรรยายบอกนี่โชคดีนะครับที่เค้าเกิดมาเป็นฝรั่ง ถ้าเป็นคนไทยแล้วชื่อนี้ล่ะก็ ไม่ดีๆ :lol: :lol: :lol:
Re: นามสกุลครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 06, 2007 9:26 am
โดย สุมาอี้
[quote="javidol"][quote="HVI"][quote="chartchai madman"]นามสกุลครับ
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 06, 2007 11:32 am
โดย Joraka
ผมขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับ GRAMMY นิดนึงนะครับ (ไม่มีใน port นะครับ)
ผมว่า GRAMMY เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีนะครับ เทคโนโลยีที่ว่าคือการแชร์เพลงผ่าน internet ซึ่งทำได้ง่ายมากแม้จะผิดกฎหมาย เมื่อก่อนแค่แผ่น mp3 ที่ขายกันที่ 1000tip ก็แย่แล้ว เดี๋ยวนี้มี web ฝากไฟล์ขึ้นมาอีกยิ่งอาการหนักขึ้นไปอีก เพลง 1 อัลบัมใช้เวลาโหลดไม่เกิน 1 ชม. ถ้า GRAMMY ยังแก้ปัญหานี้ไม่ตกคงจะแย่แน่ๆ ลองคิดดูนะครับถ้า internet มันเร็วขึ้นอีกตัวต่อไปที่รอคิวขึ้นเมรุก็คือ major เพราะการโหลดหนัง (ขนาดประมาน 1.5 GB) มาดูต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง (อาจจะ 2-3 วัน) แต่ถ้าสามารถโหลดหนังมาดูได้ภายใน 4 ชม.ล่ะก็โรงหนังเน่าแหงๆ
ผมกลัวธุรกิจที่เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีครับ
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 06, 2007 9:47 pm
โดย as29708799
Joraka เขียน:ผมขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับ GRAMMY นิดนึงนะครับ (ไม่มีใน port นะครับ)
ผมว่า GRAMMY เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีนะครับ เทคโนโลยีที่ว่าคือการแชร์เพลงผ่าน internet ซึ่งทำได้ง่ายมากแม้จะผิดกฎหมาย เมื่อก่อนแค่แผ่น mp3 ที่ขายกันที่ 1000tip ก็แย่แล้ว เดี๋ยวนี้มี web ฝากไฟล์ขึ้นมาอีกยิ่งอาการหนักขึ้นไปอีก เพลง 1 อัลบัมใช้เวลาโหลดไม่เกิน 1 ชม. ถ้า GRAMMY ยังแก้ปัญหานี้ไม่ตกคงจะแย่แน่ๆ ลองคิดดูนะครับถ้า internet มันเร็วขึ้นอีกตัวต่อไปที่รอคิวขึ้นเมรุก็คือ major เพราะการโหลดหนัง (ขนาดประมาน 1.5 GB) มาดูต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง (อาจจะ 2-3 วัน) แต่ถ้าสามารถโหลดหนังมาดูได้ภายใน 4 ชม.ล่ะก็โรงหนังเน่าแหงๆ
ผมกลัวธุรกิจที่เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีครับ
ผมอ่านแล้วติดนิดนึงครับ
สำหรับผมคิดว่าถ้าเป็นเรืองเพลง เห็นด้วยน่ะครับ แต่สำหรับ โรงหนัง
สำหรับวัยรุ่นแล้ว การจีบกันครั้งแรกๆน่าจะช่วนสาวเจ้าเข้าโรงหนังก่อนน่ะครับ ไม่น่าจะช่วนไปดูหนังที่โหลดมาที่บ้านก่อน
เพราะฉะนั้นในความเห็นผม คิดว่าตราบใดที่ หนุ่มๆยังต้องจีบสาว และยังไม่มีกิจกรรม กลางๆอะไรที่จะมาแทน ดูหนังได้ล่ะก็ผมว่า ธุรกิจนี้ยังไปได้เรี่อยๆครับ :lol:
ประเภทของหมี
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 07, 2007 1:30 pm
โดย chartchai madman
ประเภทของหมี
ภาวะตลาดหมีแบ่งออกเป็นสองประเภท
1)ภาวะตลาดหมีระยะสั้นๆ
ภาวะตลาดหมีเช่นนี้มักเกิดจากการตกต่ำอย่างรวดเร็วที่เกิดจากผลกระทบทางจิตวิทยาซึ่งเป็นผลทางอ้อมจากตลาดหุ้นอื่นๆหรือเหตุการณ์อื่นๆแต่ไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือพื้นฐานทางธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจยังคงเดิม ผลประกอบการของบริษัทในตลาดยังคงเดิม ภาวะหมีชนิดนี้จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเหตุการณ์ต่างๆคลี่คลาย หรือนักลงทุนหายตกใจ
2)ภาวะตลาดหมีระยะยาว
ภาวะตลาดหมีแบบนี้มักมีการตกต่ำของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ หรือจะเป็นทั่วโลกหรือภูมิภาค ผลประกอบการของบริษัททั้งหลายจะตกต่ำไปด้วย ภาวะความตกต่ำลงทางเศรษฐกิจบางครั้งรุนแรง และกินระยะเวลานาน ผลกระทบที่มีต่อแต่ละอุตสาหกรรมไม่เท่ากัน บริษัทที่แข่งขันเฉพาะราคา( price competitive)จะมีกำไรลดลงอย่างมาก บางบริษัทอาจจะมีผลประกอบการขาดทุน จนต้องอาจมีการเพิ่มทุน หรือไม่ก็ต้องล้มหายตายจากไป บริษัทที่แข็งแกร่ง และมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยังยืน(durable or sustainable competitive advantage) จะสามารถปรับตัวผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้
นักลงทุนแบบวีไอต้องคอยติดตามและเฟ้นหาบริษัทที่เป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืนและสามรถปรับตัวผ่านวิกฤติช่วงตลาดหมีไปได้ ซึ่งหากภาวะตลาดหมีจากไป และภาวะกระทิงมาแทนจำทำกำไรให้นักลงทุนมหาศาล แล้วเหล่าสาวกวีไออย่างพวกเราจะได้เปิดเว็บก๊งแชมเปญด้วยกันครับ
cp7-11
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 07, 2007 9:58 pm
โดย chartchai madman
และแล้วหุ้นยอดนิยมอย่าง cp7-11 ก็เจอปรากฏการณ์ข่าวร้ายเข้าให้แล้ว กำไรปีนี้ตกต่ำอย่างมาก ,โลตัสในจีนกำลังมีปัญหาท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรง,ความผันผวนของตลาดในจีน ประกอบกับปัญหาดังกล่าวมาประดังประเดในภาวะตลาดหมี ปัญหาดังกล่าวทำให้ราคาของหุ้นวูบลงมากพอสมควร แต่ราคาลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจหรือยังน่าติดตามครับ
โทมัส โรว์ ไพรซ์
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 07, 2007 10:43 pm
โดย chartchai madman
เทคนิคการซื้อหุ้นในภาวะตลาดหมีของ โทมัส โรว์ ไพรซ์
การที่ราคาของหุ้นจะผันผวนอย่างมากและเป็นการยากมากที่จะทำนายหรือคาดการณ์ว่าราคาที่ตกต่ำลงนั้นถึงจุดต่ำสุดหรือยัง หลักการซื้อของโทมัส โรว์ ไพรซ์ คือเมื่อราคาของหุ้นที่ต้องการซื้อตกลงมาต่ำในราคาที่สนใจแล้วทยอยซื้อเป็นขั้นๆโดยกำหนด upper limit price เอาไว้ เช่น
ราคา100บาท/หุ้น ซื้อ จำนวน1000หุ้น หากราคาตกลงไปอีกสมมติ 90บาทต่อหุ้น ก็ซื้อเพิ่มอีกในจำนวนที่มากขึ้น 2000 หากราคาตกลงไปอีกสมมติ80บาทต่อหุ้น ก็ซื้อเพิ่มอีกในจำนวนที่มากขึ้น 4000หุ้น(ยกตัวอย่างนะครับเพราะเขาไม่ได้อธิบายไว้ว่าราคาตกลงไปกี่เปอรเซ็นต์แล้วต้องซื้อเพิ่มเท่าไหร่)
โทมัส โรว์ ไพรซ์ ยังแนะนำอีกว่าการที่นักลงทุนจะซื้อเพิ่มได้ นักลงทุนจะต้องวิเคราะห์พื้นฐานและราคาที่เหมาะสมไว้เป็นอย่างดี ต้องอดทนและใช้ความกล้าหาญมากพอสมควร
เจ้าม้ายอดเยี่ยมที่ป่วย
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 08, 2007 10:33 pm
โดย chartchai madman
สรุปตามความเห็นของผม บริษัทที่เผชิญกับปรากฏการณ์ข่าวร้าย มีดังนี้
1)ADVANC
2)STANLY
3)AOT
4)GRAMMY
5)AMATA
6)LH
7)shin
8)cp7-11
ผมถือ stanly อยู่ครับ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
คำเตือน:
1)กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว ที่ประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พี่น้องชาววีไอได้แลกเปลี่ยนทัศนะคติกันเท่านั้น
2)การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน การได้กำไร หรือขาดทุนใดๆข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบ
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 08, 2007 11:55 pm
โดย ทุ่งทานพระจันทร์
[quote="as29708799"]
ผมอ่านแล้วติดนิดนึงครับ
สำหรับผมคิดว่าถ้าเป็นเรืองเพลง เห็นด้วยน่ะครับ แต่สำหรับ โรงหนัง
สำหรับวัยรุ่นแล้ว การจีบกันครั้งแรกๆน่าจะช่วนสาวเจ้าเข้าโรงหนังก่อนน่ะครับ ไม่น่าจะช่วนไปดูหนังที่โหลดมาที่บ้านก่อน
เพราะฉะนั้นในความเห็นผม คิดว่าตราบใดที่ หนุ่มๆยังต้องจีบสาว และยังไม่มีกิจกรรม กลางๆอะไรที่จะมาแทน ดูหนังได้ล่ะก็ผมว่า ธุรกิจนี้ยังไปได้เรี่อยๆครับ
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 09, 2007 8:59 am
โดย kab256
Joraka เขียน:ผมขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับ GRAMMY นิดนึงนะครับ (ไม่มีใน port นะครับ)
ผมว่า GRAMMY เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีนะครับ เทคโนโลยีที่ว่าคือการแชร์เพลงผ่าน internet ซึ่งทำได้ง่ายมากแม้จะผิดกฎหมาย เมื่อก่อนแค่แผ่น mp3 ที่ขายกันที่ 1000tip ก็แย่แล้ว เดี๋ยวนี้มี web ฝากไฟล์ขึ้นมาอีกยิ่งอาการหนักขึ้นไปอีก เพลง 1 อัลบัมใช้เวลาโหลดไม่เกิน 1 ชม. ถ้า GRAMMY ยังแก้ปัญหานี้ไม่ตกคงจะแย่แน่ๆ ลองคิดดูนะครับถ้า internet มันเร็วขึ้นอีกตัวต่อไปที่รอคิวขึ้นเมรุก็คือ major เพราะการโหลดหนัง (ขนาดประมาน 1.5 GB) มาดูต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง (อาจจะ 2-3 วัน) แต่ถ้าสามารถโหลดหนังมาดูได้ภายใน 4 ชม.ล่ะก็โรงหนังเน่าแหงๆ
ผมกลัวธุรกิจที่เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีครับ
ปัจจุบันก็โหลดหนัง 1 เรื่อง ใน 4 ชั่วโมงได้อยู่แล้วครับ
ดูจากราคาเน็ตความเร็วสูงเจ้าหนึ่งให้ความเร็ว 2Mbit ที่เดือนละ 290 บาท
จะสามารถดาวน์โหลดด้วยความเร็วราวๆ 220Kbyte/s
ก็จะสามารถดาวน์โหลด CD ได้ 1 แผ่นใน 1 ชั่วโมง
หรือถ้าจะดาวน์โหลด DVD ก็ 1 แผ่นใน 7 ชั่วโมง
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นใช้ของ True ที่ package สูงสุดจะได้ความเร็ว 5Mbit
ก็จะไวกว่าเจ้าที่ผมยกตัวอย่าง 2.5 เท่า ดังนั้น คุณสามารถโหลด DVD
เสร็จภายใน 3 ชั่วโมง ในราคาเดือนละราวๆ 2000 (จำราคาชัวร์ๆไม่ไ่ด้)
เดียวนี้เครือข่ายแชร์ไฟล์มีหนังแทบทุกเรื่อง ยิ่งเพลง มีชุดใหม่ให้โหลดกันทุกอาทิตย์ ซี่รี่ทั้งเอเซีย อเมริกา มีให้โหลดกันดูไม่ทัน
แต่ถึงยังไงผมว่า โรงหนังก็อยู่ได้ครับ เพราะอรรถรสการดูมันต่างกัน แต่พวกทำ CD DVD ขายนี่ซิ ท่าจะเศร้า
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 09, 2007 10:32 am
โดย AiBook
โรงหนังผมว่ายังอยู่ได้เรื่อยๆนะครับ ถึงแม้หนังจะมีให้โหลดกันแต่ส่วนใหญ่ จะเป็นพวกหนังซูม ไม่ค่อยชัด คนส่วนใหญ่จะเลือกดูที่โรงดีกว่า แต่ถ้าเทคโนโลยีพวก โหลดบิท มีผลกระทบเต็มๆ ก็พวก ค่ายเพลง ค่ายหนัง ผู้ผลิตแผ่น cd dvd หนังชุด หรือ เพลง เพราะถ้าออกมาเป็น master แล้วส่วนมากจะมีการโหลดกันมาก แต่ผลกระทบที่เกิดกับ major ก็คงมีแต่ผมว่าไม่เท่ากับที่เกิดกับพวก gmm หรือ rs
ในหุ้นที่คุณ Chatchai บอกมากแอบมีอยู่ 2 ตัว รอลุ้นให้ผ่านข่าวร้ายๆไปเหมือนกันครับ
ภาวะถดถอยของอุตสาหกรรม
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 10, 2007 4:30 pm
โดย chartchai madman
ภาวะถดถอยของอุตสาหกรรม
กว่าทศวรรษที่ผ่านมาแล้ว ประเทศไทยเคยผ่านมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูงติดต่อกันหลายปี อันเนื่องจากมีค่าแรงงานและต้นทุนการผลิตราคาถูกซึ่งทำให้ได้เปรียบเชิงแข่งขัน จนในหลายอุตสาหกรรมได้ย้ายฐานการผลิตมาตั้งโรงงานในประเทศไทย เพื่อผลิตสินค้าแล้วส่งออกไปขายในประเทศที่เจริญแล้ว เมื่อแรงงานของไทยมีค่าแรงที่แพงขึ้น ทำให้ความได้เปรียบจากอุตสาหกรรมที่พึ่งแรงงานราคาถูกไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนในยุคแรกๆคืออุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งต้องพึ่งแรงงานราคาถูกจำนวนมาก การแข่งขันด้านราคาเริ่มรุนแรงขึ้น ถูกโจมตีจากสินค้าที่ส่งมาจากประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า จนมีการขาดทุน และบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพและรับจ้างผลิต ไม่มีสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตนเอง หรือมีแบรนด์แต่ขาดการพัฒนาให้แข็งแกร่ง ในที่สุดเริ่มมีการล้มหายตายจากไปของบริษัทที่อ่อนด้อยในการแข่งขัน
เมื่อผู้อ่อนแอบางส่วนขาดทุนจนต้องออกจากอุตสาหกรรมไป บริษัทที่มีประสิทธิภาพปรับตัวได้จะยังอยู่ได้จำนวนผู้แข่งขันในตลาดเหลือน้อยลง แต่ตลาดยังเท่าเดิม นี่เองเป็นคำอธิบายที่ว่าทำไมบริษัทในอุตสาหกรรมที่ถดถอยจึงยังมีบางบริษัทที่สามารถรักษาการเจริญเติบโตได้
สิ่งที่นักลงทุนจะสังเกตเห็นในภาวะถดถอยของอุตสาหกรรม
1)กำไรของบริษัทในอุตสาหกรรมนั่นส่วนใหญ่ลดลงติดต่อกันหลายไตรมาส จนในที่สุดมีการขาดทุน
2)ค่า roe rotc ลดต่ำลง อัตราการก่อหนี้เริ่มสูงขึ้น
3)มีการประกาศเพิ่มทุนในหลายๆบริษัท
4)มีการประกาศปรับปรุงบริษัทและการลดต้นทุนการผลิตและการบริหารเริ่มให้ความสนใจอย่างจริงจัง
5)ข่าวการตกต่ำของอุตสาหกรรมเริ่มรับรู้ทั่วไปในวงการข่าวสารและนักลงทุน
6)การประกาศไม่จ่ายโบนัสเริ่มกระจายไปในวงกว้าง
7)เริ่มมีการปลดพนักงานเพื่อลดต้นทุนจะเกิดขึ้นในที่สุด
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของในระบบนิเวศวิทยาจะเป็นตัวคัดเลือกสิ่งมีชีวิตฉันใด การเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมก็เฉกเช่นกันจะเป็นตัววัดการอยู่รอดของบริษัท บริษัทที่ปรับตัวได้ดีและมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันครบด้านจะอยู่รอดและกลายเป็นบริษัทที่ได้แข็งแกร่งทำกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของ เหมือนเจ้าม้าที่ชื่อยอดเยี่ยม บริษัทที่ปรับตัวและแข่งขันไม่ได้ก็ต้องจากไป เหมือนเจ้าม้ายอดแย่
สิ่งสำคัญของนักลงทุนวีไอคือต้องพัฒนาความสามารถในการแยกแยะบริษัทที่มีโอกาสจะอยู่รอดปลอดภัยได้ในภาวะถดถอยของอุตสาหกรรม และคว้าบริษัทเหล่านั้นมาเป็นเจ้าของ เพื่อความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
ปัญหาใหญ่ที่เกิดเฉพาะกับบริษัท
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 14, 2007 9:40 pm
โดย chartchai madman
ปัญหาใหญ่ของแต่ละบริษัท
เป็นปัญหาที่เกิดมีลักษณะเฉพาะและมีผลกระทบกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือบริษัทในเครือ ไม่กระทบเป็นวงกว้างในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าบริษัทจะได้รับการบริหารมาดีอย่างใดก็แล้ว คงต้องมีสักวันที่บริษัทเหล่านั้นจะพลาด เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ผลกระทบนั้นอาจเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยไปจนกระทั่งใหญ่โตอาจทำให้ขาดทุน หรือถึงขั้นล้มละลายไปได้ ยกตัวอย่างเช่น
-ปัญหาที่เกี่ยวกับกฎหมายสัมปทาน ,สิทธิบัตรที่บริษัทได้รับ การฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อเรียกค่าเสียหาย เช่น กรณีของ ไอทีวี และกลุ่มในเครือชิน เป็นต้น
-ปัญหาทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐ เช่นกฎหมายเกี่ยวกับป้องนอมินี หรือสำรอง30%
-ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นหรือผลประโยชน์ทับซ้อนในองค์กร
-ปัญหาการเรียกร้องต่อร้องของสหภาพแรงงาน เช่นกรณีการประท้วงของพนักงานสายการบินต่างๆ
-ปัญหาที่การจากการใช้สินค้าหรือบริการ เช่น พบนิ้วในแหนม ปัญหาการฟ้องร้องของคนไข้ที่เป็นลูกค้าของโรงพยาบาล เป็นต้น
ปัญหาเหล่านี้บางครั้งอาจเรียกว่าปัญหาเหตุการณ์พิเศษ ซึ่งจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของปัญหา การแก้ไขที่ทันท่วงที และฝีมือของผู้บริหาร ลักษณะปัญหาเหล่านี้พบได้ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นเช่นไรและมักเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าลงทุนในบริษัท ชั้นเยี่ยมที่มีปัญหา ซึ่งหากเป็นภาวะปกติราคาของบริษัทเหล่านี้อาจแพงเกินไป
แต่ก่อนเข้าไปลงทุนนั้น นักลงทุนต้องประเมินปัญหาและติดตามการแก้ปัญหาอย่างเข้มข้น ซึ่งไม่เหมาะกับสไตล์นักลงทุนแบบตั้งรับเพียงอย่างเดียว แต่เหมาะกับนักลงทุนเชิงรุกและต้องเป็นเชิงรุกแบบเข้มข้น เพราะหากการประเมินสถานการณ์พลาด จะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้