การให้หลักทรัพย์ซื้อขายในระบบจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 19, 2003 6:57 pm
อยากให้ได้อ่านทั่วๆกันครับ
******************
หัวข้อข่าว: APSP :การให้หลักทรัพย์ซื้อขายในระบบจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
การกำหนดให้หลักทรัพย์ทำการซื้อขายในระบบการจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน ได้กำหนด
คุณสมบัติการกระจายการถือหุ้นของ ผู้ถือหุ้นรายย่อยว่า บริษัทจดทะเบียนต้องมีจำนวนผู้ถือหุ้นสามัญ
รายย่อยไม่น้อยกว่า 150 ราย และผู้ถือหุ้นรายย่อยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของทุน
ชำระแล้วของบริษัท โดยพิจารณาจากรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุมสามัญประจำปีของบริษัท และใน
กรณีที่บริษัทจดทะเบียนรายใดมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ก็จะให้เวลา
แก่บริษัทอีก 1 ปีในการดำเนินการแก้ไขคุณสมบัติให้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัทยังไม่
สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ก็จะพิจารณาให้หลักทรัพย์ของบริษัท
ซื้อขายในระบบจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
เนื่องจากมีบริษัทจดทะเบียนจำนวน 10 บริษัทที่มีคุณสมบัติด้านการกระจายของผู้ถือหุ้นรายย่อย
ไม่ครบถ้วนยังไม่สามารถแก้ไขให้ครบถ้วนได้ ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงเห็นสมควรกำหนดให้หุ้นสามัญ
และหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวทำการซื้อขายในระบบการจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 เป็นต้นไป เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์มีประสิทธิภาพและ
เหมาะสมกับการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท โดยภายใต้ระบบ Call Market
ระบบจะจับคู่ซื้อขาย ณ ราคาที่ทำให้ปริมาณการซื้อขายมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของราคาและ
เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดให้บริษัทจดทะเบียน 10 บริษัท
ดังต่อไปนี้ซื้อขายใน Call Market จนกว่าบริษัทดังกล่าวจะมีคุณสมบัติด้านการกระจายการถือหุ้น
ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย
รายชื่อ จำนวนราย %
2545 2546 2545 2546
1.ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) (NBANK) 1,526 1,526 1.11 1.11
2.บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(ROH) 715 668 2.36 2.27
3.บริษัท ไทย อกริ ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)(TAF) 297 296 2.55 2.51
4.บริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน) (HTX) 990 944 4.73 4.25
5.บริษัทอินเตอร์ไลฟ์จอห์นแฮนคอคประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(INLIFE) 498 493 5.44 5.43
6.บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(SCNYL) 267 268 5.97 6.69
7.บริษัท แชงกรี-ลา โฮเต็ล จำกัด (มหาชน) (SHANG) 5,073 5,009 10.54 10.56
8.บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) 520 474 13.26 11.42
9.บริษัท รองเท้าบาจาแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (BATA) 478 456 13.33 13.33
10.บริษัท แอลแคนแพ็คเกจจิ้ง สตรองแพ็ค จำกัด (มหาชน) (APSP) 262 265 13.42 13.40
อนึ่ง Call Market หมายถึงวิธีการซื้อขายที่ระบบจะจับคู่คำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติใน
คราวเดียวณ ราคาเดียว (Single Price Auction) ซึ่งนักลงทุนยังคงสามารถส่งคำสั่งซื้อขาย
หลักทรัพย์ดังกล่าวได้เช่นเดียวกับการซื้อขายหลักทรัพย์อื่นตามปกติ เพียงแต่ระบบจะจับคู่คำสั่งซื้อ
ขายใน 3 ช่วงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น คือ
- ช่วงการสุ่มเวลาเปิดเช้า ( 9.55 - 10.00)
- ช่วงการสุ่มเวลาเปิดบ่าย ( 14.25 - 14.30)
- ช่วงการสุ่มเวลาปิด (16.35 - 16.40)
ทั้งนี้การเรียงลำดับคำสั่งซื้อขายยังคงใช้หลักการเช่นเดียวกับการซื้อขายในกรณีปกติคือการเรียง
ตามลำดับราคาและเวลาของคำสั่งซื้อหรือขายที่ดีที่สุด (Price and Time Priority) โดยหลักทรัพย์
ที่ซื้อขายใน Call Market ยังคงอยู่ในหมวดอุตสาหกรรมเดิมและมีเครื่องหมาย "CM" เพื่อแสดงว่าเป็น
หลักทรัพย์ที่ใช้ระบบ Call Market
ฝ่ายกำกับบริษัทจดทะเบียน
******************
หัวข้อข่าว: APSP :การให้หลักทรัพย์ซื้อขายในระบบจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
การกำหนดให้หลักทรัพย์ทำการซื้อขายในระบบการจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน ได้กำหนด
คุณสมบัติการกระจายการถือหุ้นของ ผู้ถือหุ้นรายย่อยว่า บริษัทจดทะเบียนต้องมีจำนวนผู้ถือหุ้นสามัญ
รายย่อยไม่น้อยกว่า 150 ราย และผู้ถือหุ้นรายย่อยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของทุน
ชำระแล้วของบริษัท โดยพิจารณาจากรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุมสามัญประจำปีของบริษัท และใน
กรณีที่บริษัทจดทะเบียนรายใดมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ก็จะให้เวลา
แก่บริษัทอีก 1 ปีในการดำเนินการแก้ไขคุณสมบัติให้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัทยังไม่
สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ก็จะพิจารณาให้หลักทรัพย์ของบริษัท
ซื้อขายในระบบจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
เนื่องจากมีบริษัทจดทะเบียนจำนวน 10 บริษัทที่มีคุณสมบัติด้านการกระจายของผู้ถือหุ้นรายย่อย
ไม่ครบถ้วนยังไม่สามารถแก้ไขให้ครบถ้วนได้ ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงเห็นสมควรกำหนดให้หุ้นสามัญ
และหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวทำการซื้อขายในระบบการจับคู่ในช่วงเวลา (Call Market)
โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 เป็นต้นไป เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์มีประสิทธิภาพและ
เหมาะสมกับการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท โดยภายใต้ระบบ Call Market
ระบบจะจับคู่ซื้อขาย ณ ราคาที่ทำให้ปริมาณการซื้อขายมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของราคาและ
เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดให้บริษัทจดทะเบียน 10 บริษัท
ดังต่อไปนี้ซื้อขายใน Call Market จนกว่าบริษัทดังกล่าวจะมีคุณสมบัติด้านการกระจายการถือหุ้น
ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย
รายชื่อ จำนวนราย %
2545 2546 2545 2546
1.ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) (NBANK) 1,526 1,526 1.11 1.11
2.บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(ROH) 715 668 2.36 2.27
3.บริษัท ไทย อกริ ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)(TAF) 297 296 2.55 2.51
4.บริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน) (HTX) 990 944 4.73 4.25
5.บริษัทอินเตอร์ไลฟ์จอห์นแฮนคอคประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(INLIFE) 498 493 5.44 5.43
6.บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(SCNYL) 267 268 5.97 6.69
7.บริษัท แชงกรี-ลา โฮเต็ล จำกัด (มหาชน) (SHANG) 5,073 5,009 10.54 10.56
8.บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) 520 474 13.26 11.42
9.บริษัท รองเท้าบาจาแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (BATA) 478 456 13.33 13.33
10.บริษัท แอลแคนแพ็คเกจจิ้ง สตรองแพ็ค จำกัด (มหาชน) (APSP) 262 265 13.42 13.40
อนึ่ง Call Market หมายถึงวิธีการซื้อขายที่ระบบจะจับคู่คำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติใน
คราวเดียวณ ราคาเดียว (Single Price Auction) ซึ่งนักลงทุนยังคงสามารถส่งคำสั่งซื้อขาย
หลักทรัพย์ดังกล่าวได้เช่นเดียวกับการซื้อขายหลักทรัพย์อื่นตามปกติ เพียงแต่ระบบจะจับคู่คำสั่งซื้อ
ขายใน 3 ช่วงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น คือ
- ช่วงการสุ่มเวลาเปิดเช้า ( 9.55 - 10.00)
- ช่วงการสุ่มเวลาเปิดบ่าย ( 14.25 - 14.30)
- ช่วงการสุ่มเวลาปิด (16.35 - 16.40)
ทั้งนี้การเรียงลำดับคำสั่งซื้อขายยังคงใช้หลักการเช่นเดียวกับการซื้อขายในกรณีปกติคือการเรียง
ตามลำดับราคาและเวลาของคำสั่งซื้อหรือขายที่ดีที่สุด (Price and Time Priority) โดยหลักทรัพย์
ที่ซื้อขายใน Call Market ยังคงอยู่ในหมวดอุตสาหกรรมเดิมและมีเครื่องหมาย "CM" เพื่อแสดงว่าเป็น
หลักทรัพย์ที่ใช้ระบบ Call Market
ฝ่ายกำกับบริษัทจดทะเบียน