Thai VI

หลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นมาหลายเล่ม และพูดถึง panic บ่อยๆ   เพิ่งครั้งนี้แหละที่เห็นจะๆ    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  ...........บริษัททั้งหลายในประเทศไทยจะขาดทุนกันขนาดหนักจนต้องขายหนีขาดทุนเหมือนกับผู้คนในตลาดหุ้น.......เหรอ?

บางครั้งบริษัทไม่ถึงกับเจ๊งหรอกครับ

เพียงแต่มีมาตรการบางอย่าง  ทำให้นักลงทุนกลุ่มใหญ่  ต้องการผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนสุงขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก  

ถ้าบริษัทให้ผลตอบแทนที่ได้ 10%  ต่อปี  ราคาหุ้นก็อาจจะอยู่ที่ 100 บาท

แต่เมื่อเราต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 15%ต่อปี  ราคาหุ้นจะต้องเหลือเท่าไรละครับ  เราถึงจะลงทุน  ราคาก็ลดลงได้ทั้งๆที่บริษัทยังคงเหมือนเดิมทุกประการ

8) วันนี้  ซื้อเป็นเพื่อน...กันบ้างนะครับ
หุ้นถูก

หากวันหน้าจะถูกอีก  ก็แบ่งซื้อกัน เป็น  ก๊อก1-2-3-4-5  แล้วเงินหมด
ปันผลออกพอดี

หากวันหน้าจะถูกอีก  ก็แบ่งซื้อกัน เป็น  ก๊อก1-2-3-4-5  แล้วเงินหมด
ปันผลออกพอดี

แย่จังครับพี่ เงินก๊อกสุดท้ายเพิ่งหมดไปเมื่อวานนี้เองครับ
กลยุทธสุดท้ายของผม คือ รอ....
และ + กลยุทธพี่เจ๋งครับ ลงหนอ...ลงหนอ....

[quote="ปรัชญา"]8) วันนี้

ตลาดถูกบังคับหยุดซื้อขายเสียแล้ว  (ลดลงกว่า 10%)   เฮ้อ !  

ผมมองว่า

มันเป็น Panic ของนักลงทุน ที่มองโลกในแง่ร้ายตามนายตลาด มากเกินขนาด

ทั้งๆ ที่บริษัทหลายแห่ง มีพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง
หรืออาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะงานที่อาจจะได้รับในช่วงปลายปี ทำให้ EPS เพิ่มสูงขึ้น

ลองใช้ช่วงเวลานี้ ทำให้วิกฤต เป็นโอกาส นะครับเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน
มีให้เห็นไม่บ่อยนักในตลาดหุ้นเรา ...

นี่ยังไม่เรียกว่า panic อีกเหรอคะ ต้องติดกันสามวันใช่ปะ เตรียมไอเป็นเลือดดีกว่า ตรู  

เวลานี้ที่ควรทำคือ  ทยอยซื้อ หุ้นดีราคาถูกเกลื่อนตลาด  มีที่ไหน วันเดียวราคาลดไป 10-20 % หลับตาแล้วใช้มือจิ้มซื้อก็ยังได้ของดีของถูก  ไม่ต้องคิดมาก  เอ้า.....เฮ........

ก็อยากจะซื้อหรอกครับ
มองขวาก็ถูก มองซ้ายก็ว้าว
เอามือล้วงกระเป๋า
ไม่มีเงินแล้วนี่หว่าเรา

เศร้างเจงเจง