ข้อเสียของ VI
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 05, 2006 10:48 pm
ว่าที่จริงก็ได้ทราบมานานแล้วในเรื่อง ข้อเสียของ VI
แต่ก็ได้เอามาให้อ่านอีกทีครับ
ข้อเสียของวีไอ
Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินเกี่ยวกับ"ข้อดี"ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing อยู่เสมอๆ เช่น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือเป็นการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้จะมีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มี"ข้อเสีย"ด้วยกันหลายข้อดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในรูปแบบที่ถือว่านักลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท และถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เข้าใจในราคาไม่แพง โดยถือหุ้นนั้นเป็นระยะเวลานานๆนั้น ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดหลักว่าจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ซื้อหุ้นที่มีหนี้มากเกินไป หรือไม่ซื้อหุ้นที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น ทำให้นักลงทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนในหลายๆบริษัทที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้ตัวเลือกในการลงทุนน้อยลงตามขอบเขตที่กำหนดไว้
2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
3) บางทีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด บ่อยครั้งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นบริษัทอื่นๆไป การที่จะขายบริษัทที่มีอนาคตดีที่ถืออยู่เพื่อเปลี่ยนไปซื้อบริษัทใหม่ นักลงทุนต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่า เพราะการเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงในการลงทุนอย่างหนึ่ง
4) นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนักลงทุนต้องทำใจที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก เช่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงจากการเทขายของรายใหญ่อย่าง กองทุนเฮดฟันด์ต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ถืออยู่อาจลดลงเป็นอย่างมาก โดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง นักลงทุนต้องสามารถวิเคาระห์ให้อออกว่าราคาหุ้นที่ลดลงเกิดจากอารมณ์ของตลาดหรือพื้นฐานของบริษัท
5) ข้อสุดท้าย นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
บางครั้งดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ ราคากลับนิ่งอยู่กัับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหุ้นบางบริษัทไม่ได้ปรับตัวตามดัชนีตลาดหุ้น
ในกรณีนี้นักลงทุนอาจต้องอาศัยคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตที่บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลดลง แต่ในระยะยาวถ้าผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้
ผมก็เลยสงสัยว่าไม่มีใครที่คิดจะปิดจุดอ่อนตรงนี้บ้างเลยหรือครับ
ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ วอร์เรนบุฟเฟต์ได้กล่าวไว้นั้น น่าจะบางสิ่งที่ไม่น่าจะใช้ได้ในหุ้นของประเทศไทย ในยุคสมัยนี้ นั่นก็คือการที่อดทนต้องถือหุ้นให้นานเข้าไว้ ผมว่าสิ่งที่เป็นข้อดีก็คือ ทำให้หุ้นไม่หลุดมือออกจากเราไป(ที่เรียกว่าขายหมู) แล้วระยะเวลาจะค่อยๆเพาะให้หุ้นงอกงามดีขึ้นมา
แต่ข้อเสียก็คือทำให้บางครั้งต้องมาทนถือเพื่อให้หุ้นไปรับสถานการณ์ต่างๆที่มากระทบจนบางครั้งก็เป็นภาวะที่ไม่มีความจำเป็น
สิ่งที่ผมเคยประสบคือต้องถือหุ้นในช่วงหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียไว้จนราคาตกลงมาประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์(เฉลี่ยทั้งพอร์ต) แล้วถึงตัดสินใจขาย ผลก็คือ ถ้าผมมาขายช้าไปอีกประมาณสองปี ผมก็จะต้องขายขาดทุนที่ประมาณ หกสิบห้าเปอร์เซนต์
ผมว่ายุคสมัยนี้ Business environment โดยเฉพาะเรื่อง การเมือง และ เศรษฐกิจของโลก(Relative economics) จะมีผลกระทบต่อหุ้นเมืองไทยอย่างมาก แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง วอร์เรน บุฟเฟต์แทบจะไม่มาพูดถึงผลกระทบดังกล่าวเลย
ช่วงก่อนวันที่ 19 กันยา ผมอยากจะบอกว่าเพราะลางสังหรณ์หรือ เพราะได้อ่านกระทู้ของพี่เจ๋งก็ไม่รู้ ผมตัดสินใจขายหุ้นทิ้งไปทั้งพอร์ตเลยครับ
แล้วมาเริ่มต้นซื้อใหม่อีกที
จากที่ติดตามบทความอาจารย์นิเวศน์ อาจารย์ก็จะถือหุ้นไว้ประมาณแค่สามปี แล้วค่อยตัดสินใจขาย
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผมทำก็คือ มองในเรืองการเก็งกำไรไว้คู่กันกับ VI บ้าง เช่นหุ้นตัวไหนที่ร้อนแรงมากๆ เราก็แบ่งเงินจากในพอร์ท ไปซื้อไว้เพื่อเป็นการเพิ่มเปอร์เซนต์มูลค่าไว้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แทนที่จะให้มันคงที่แบบStatic อยู่อย่างนั้น แต่ว่ามาทำให้มันเพิ่มมูลค่าสัก สิบยี่สิบเปอร์เซนต์ในช่วงเดือนสองเดือน
ใครเห็นเป็นไงบ้างครับ
แต่ก็ได้เอามาให้อ่านอีกทีครับ
ข้อเสียของวีไอ
Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินเกี่ยวกับ"ข้อดี"ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing อยู่เสมอๆ เช่น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือเป็นการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้จะมีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มี"ข้อเสีย"ด้วยกันหลายข้อดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในรูปแบบที่ถือว่านักลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท และถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เข้าใจในราคาไม่แพง โดยถือหุ้นนั้นเป็นระยะเวลานานๆนั้น ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดหลักว่าจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ซื้อหุ้นที่มีหนี้มากเกินไป หรือไม่ซื้อหุ้นที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น ทำให้นักลงทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนในหลายๆบริษัทที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้ตัวเลือกในการลงทุนน้อยลงตามขอบเขตที่กำหนดไว้
2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
3) บางทีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด บ่อยครั้งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นบริษัทอื่นๆไป การที่จะขายบริษัทที่มีอนาคตดีที่ถืออยู่เพื่อเปลี่ยนไปซื้อบริษัทใหม่ นักลงทุนต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่า เพราะการเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงในการลงทุนอย่างหนึ่ง
4) นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนักลงทุนต้องทำใจที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก เช่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงจากการเทขายของรายใหญ่อย่าง กองทุนเฮดฟันด์ต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ถืออยู่อาจลดลงเป็นอย่างมาก โดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง นักลงทุนต้องสามารถวิเคาระห์ให้อออกว่าราคาหุ้นที่ลดลงเกิดจากอารมณ์ของตลาดหรือพื้นฐานของบริษัท
5) ข้อสุดท้าย นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
บางครั้งดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ ราคากลับนิ่งอยู่กัับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหุ้นบางบริษัทไม่ได้ปรับตัวตามดัชนีตลาดหุ้น
ในกรณีนี้นักลงทุนอาจต้องอาศัยคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตที่บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลดลง แต่ในระยะยาวถ้าผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้
ผมก็เลยสงสัยว่าไม่มีใครที่คิดจะปิดจุดอ่อนตรงนี้บ้างเลยหรือครับ
ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ วอร์เรนบุฟเฟต์ได้กล่าวไว้นั้น น่าจะบางสิ่งที่ไม่น่าจะใช้ได้ในหุ้นของประเทศไทย ในยุคสมัยนี้ นั่นก็คือการที่อดทนต้องถือหุ้นให้นานเข้าไว้ ผมว่าสิ่งที่เป็นข้อดีก็คือ ทำให้หุ้นไม่หลุดมือออกจากเราไป(ที่เรียกว่าขายหมู) แล้วระยะเวลาจะค่อยๆเพาะให้หุ้นงอกงามดีขึ้นมา
แต่ข้อเสียก็คือทำให้บางครั้งต้องมาทนถือเพื่อให้หุ้นไปรับสถานการณ์ต่างๆที่มากระทบจนบางครั้งก็เป็นภาวะที่ไม่มีความจำเป็น
สิ่งที่ผมเคยประสบคือต้องถือหุ้นในช่วงหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียไว้จนราคาตกลงมาประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์(เฉลี่ยทั้งพอร์ต) แล้วถึงตัดสินใจขาย ผลก็คือ ถ้าผมมาขายช้าไปอีกประมาณสองปี ผมก็จะต้องขายขาดทุนที่ประมาณ หกสิบห้าเปอร์เซนต์
ผมว่ายุคสมัยนี้ Business environment โดยเฉพาะเรื่อง การเมือง และ เศรษฐกิจของโลก(Relative economics) จะมีผลกระทบต่อหุ้นเมืองไทยอย่างมาก แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง วอร์เรน บุฟเฟต์แทบจะไม่มาพูดถึงผลกระทบดังกล่าวเลย
ช่วงก่อนวันที่ 19 กันยา ผมอยากจะบอกว่าเพราะลางสังหรณ์หรือ เพราะได้อ่านกระทู้ของพี่เจ๋งก็ไม่รู้ ผมตัดสินใจขายหุ้นทิ้งไปทั้งพอร์ตเลยครับ
แล้วมาเริ่มต้นซื้อใหม่อีกที
จากที่ติดตามบทความอาจารย์นิเวศน์ อาจารย์ก็จะถือหุ้นไว้ประมาณแค่สามปี แล้วค่อยตัดสินใจขาย
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผมทำก็คือ มองในเรืองการเก็งกำไรไว้คู่กันกับ VI บ้าง เช่นหุ้นตัวไหนที่ร้อนแรงมากๆ เราก็แบ่งเงินจากในพอร์ท ไปซื้อไว้เพื่อเป็นการเพิ่มเปอร์เซนต์มูลค่าไว้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แทนที่จะให้มันคงที่แบบStatic อยู่อย่างนั้น แต่ว่ามาทำให้มันเพิ่มมูลค่าสัก สิบยี่สิบเปอร์เซนต์ในช่วงเดือนสองเดือน
ใครเห็นเป็นไงบ้างครับ