ดร.นิเวศน์" ทำนาย เทรนด์หุ้น 2550
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 11, 2006 2:01 pm
"ดร.นิเวศน์" ทำนาย เทรนด์หุ้น 2550 เก็งหุ้น "โมเดิร์นเทรด-ฟาสต์ฟู้ด-โรงแรม"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เปิดเผยกลวิธีการเล่นหุ้นปี 2550 บนเวทีสัมมนา "เซียนโซน" ซึ่งจัดขึ้นโดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ร่วมกับ บล.บีฟิท และมหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยเตือนให้นักลงทุน "ต้องระวัง" การลงทุนในหุ้นกลุ่ม "ธนาคารพาณิชย์" เอาไว้บ้าง
เนื่องจากตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ธนาคารพาณิชย์จะเริ่มถูกเข้มงวดจากกฎเกณฑ์ใหม่ของแบงก์ชาติ โดยเฉพาะการกำหนดให้หนี้ค้างชำระตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ต้องถูกจัดไว้ในส่วนของเอ็นพีแอล ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องตั้งเงินสำรองเพิ่มขึ้น
ขณะที่ หุ้นใน "กลุ่มพลังงาน" หากเป็นไปได้...ควรหลีกเลี่ยง เพราะหุ้นในกลุ่มนี้จะเริ่มไม่ Growth
"เล่นหุ้นพลังงานตอนนี้ต้องหัวใจแข็งแรง โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น จะเหมือนรถที่วิ่งอยู่บนแกรนด์แคนยอน...ขึ้นแรง แต่ลงน่ากลัว
หุ้นในกลุ่ม "ที่อยู่อาศัย" ต้องถามตัวเองก่อนว่า ปีหน้ามันจะโตอีกหรือไม่...เพราะถึงโตก็โตช้า ไม่มีทางผิดแปลกไปจากนี้ ถ้า (กำไร) โตขึ้นไปได้สัก 4-5% ก็ดีมากแล้ว และหากกำไรโตได้เท่านี้...ราคาหุ้นคงไม่ไปไกลจากเดิม เนื่องจากสมัยนี้อัตราคนเกิดใหม่มันเริ่มที่จะลดลง ครอบครัวนิยมมีลูกแค่คนเดียว
และต้องยอมรับว่าตอนนี้ "เทรนด์หุ้น" กลุ่มที่อยู่อาศัยมันหมดความหวือหวา ขณะที่การแข่นขันก็ยังสูงมาก ไม่มีภาพของ "ผู้ชนะ" ที่ชัดเจน
เพราะการทำธุรกิจบ้านจัดสรร สิ่งสำคัญที่สุดคือ "ทำเล" ถ้าหากโครงการในทำเลนี้ขายหมดก็ต้องไปขึ้นอีกที่ทำเลใหม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทั้งตลาดใครคือผู้ชนะ ต้องดูแต่ละทำเลไป
ส่วนหุ้นที่เน้นทำคอนโดมิเนียม แม้ธุรกิจจะโตขึ้นมามาก แต่ยังไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจนเช่นกัน บางรายอาจจะพยายามทำภาพตัวเองไว้เด่นมาก แต่เราก็ไม่รู้แน่ว่า รายที่ 4-5 จะเด่นขึ้นมาเทียบชั้นเมื่อไรก็ได้
"เพราะฉะนั้น ถ้าจะเลือกลงทุนในยามนี้ต้องพยายามเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเพียงเล็กน้อย คือไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไงสินค้าของธุรกิจนั้นก็ยังต้องขายได้"
ดร.นิเวศน์ ยกตัวอย่างหุ้นที่น่าลงทุนว่า อย่าง "หุ้นบะหมี่" (ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ หรือ TF) ตอนนี้ผมมีอยู่ 20,000 หุ้น เคยซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 30-40 บาท แต่ตอนนี้ราคามันขึ้นมาตั้ง 436 บาท เป็นหุ้นที่อดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีมาก
แต่หากเปรียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในยามนี้ "ผมยังยืนยันว่า ยังคงสนใจหุ้นโมเดิร์นเทรด มากที่สุด เพราะมันเป็นหุ้นค้าขาย...ที่มีเครือข่ายจำนวนมาก เป็นธุรกิจที่มีระบบจากศูนย์กลาง มีความทันสมัย ลูกค้าเข้าไปแล้วได้ของครบ
...ซึ่งลักษณะค้าขายแบบนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่เป็นฟิวเจอร์ของโลก"
นอกจากนี้ หุ้นโมเดิร์นเทรดยังถือเป็นหุ้นที่มี "ความเสี่ยงต่ำ" แถมกำไรยังมีความมั่นคงมาก เพราะเป็นธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป และการเติบโตของมันก็ค่อนข้างที่จะแน่นอน อาจจะมีการเปิดสาขาใหม่ปีละ 10- 20 สาขา
ลองมองธุรกิจประเภทนี้ให้เป็น จะเห็นเลยว่า ยากมากที่สาขาแต่ละแห่งจะต้องปิดตัวลง เพราะเปิดไปแล้วมีแต่อยู่...ไม่ค่อยมีเลิก โอกาสที่แต่ละสาขาจะประสบความสำเร็จมีสูงมาก ยิ่งบ้านเรามันเมืองร้อน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ต้องไปเดินห้างสรรพสินค้ากัน เพื่อต้องการอยู่ภายในห้องแอร์
ปัจจุบันหุ้นในกลุ่มโมเดิร์นเทรด ที่ ดร.นิเวศน์ ถือหุ้นรายใหญ่ก็คงมี "โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์" (HMPRO)
"ส่วน "ซีพี เซเว่นฯ" (CP7-11) นี่ก็น่าสนใจ ตอนนี้เขามีสาขาทั่วประเทศ และเพิ่มขึ้นตลอดเวลา"
รวมถึงหุ้น "ซีเอ็ด ยูเคชั่น" (SE-ED) ...ตัวนี้ผมก็ลงทุน และมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มของ "โมเดิร์นเทรด" เช่นเดียวกัน เพราะเป็นหุ้นที่มีเครือข่ายสาขา คนอ่านหนังสือก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น และมันเป็นธุรกิจที่เก็บแคช (เงินสด) มีเงินไหลเข้ามาตลอดเวลา ก็เหมือนกับ CP 7-11 ...แม้ตอนนี้ตัวธุรกิจจะมีปัญหากับค่ายไทยรัฐ แต่ผมก็ถือเป็นแนเชอรัลเป็นเรื่องปกติของธุรกิจซึ่งกำลังเติบโต
เพราะเมื่อใดที่ธุรกิจของคุณใหญ่หรือเก่งขึ้นเท่าไร โอกาสพบกับปัญหามันก็ย่อมเข้ามาหามากขึ้นเป็นธรรมดา
โดยที่ ดร.นิเวศน์ ยังคงเชื่อว่าศึกระหว่าง "ซีเอ็ด" กับ "ไทยรัฐ" น่าจะได้ทางออกหรือข้อยุติในที่สุด ...และถึงยังไงเทรนด์ของธุรกิจก็จะคงอยู่ ไม่ใช่ว่ากิจการจะเจ๊งไป
"หุ้นโมเดิร์นเทรดซื้อไปเราไม่ต้องกังวลเลย เพราะเรารู้ว่ากิจการของเขามันดีตลอด ยอดขายมีแต่เพิ่มไม่มีลง เราต้องคิดว่าเราลงทุนระยะยาว คือไม่ต่ำกว่า 5 ปี เราซื้อแล้วทิ้งไว้เลยโดยที่ไม่ต้องทำอะไร"
หุ้นในกลุ่ม "โรงแรม" ก็ถือว่าอยู่ในมุมมองที่น่าลงทุน แต่ต้องเน้นลงทุนในหุ้นโรงแรมที่มี "เชน" ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้จะมีปันผลสม่ำเสมอ และการเติบโตของกำไรค่อนข้างต่อเนื่อง ...ไม่ค่อยสนใจกับดัชนีตลาดสักเท่าไร
นอกจากนี้ ดร.นิเวศน์ ยังแนะนำให้ลงทุนใน "หุ้นอาหาร" อีกเช่นกัน
หุ้นที่ผมชอบก็ต้องหุ้น "ฟาสต์ฟู้ด" เพราะผมคิดว่าตรงนี้มันเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก แค่ถามว่าคุณจะเลือกกินอะไรระหว่างไก่ทอดเคเอฟซี กับไก่ย่างจีรพันธ์ ...เพราะเดี๋ยวนี้ราคากินในห้างกับกินข้างทางมันแทบไม่ต่างกันเลย เย็นกว่า สบายกว่า อร่อยกว่า
"ฟาสต์ฟู้ดมันเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น และคนรุ่นใหม่ๆ ก็จะต้องบริโภคมากขึ้นทุกๆ ปี เพราะคนรุ่นใหม่มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ แล้วคนก็มีรายได้มากขึ้น"
นักลงทุนบางกลุ่มที่กำลังมองว่า "หุ้นโรงพยาบาล" กำลังดี แต่ขอเตือนก่อนว่า "บังเอิญคุณอาจจะรู้ช้าไปนิด"
โดยเฉพาะบางตัวที่ราคาค่อนข้างจะหวือหวา แต่ตอนนี้ราคา (แพง) ไปมากแล้ว และเป็นหุ้นที่ผม "ไม่แนะนำ"
เพราะธุรกิจโรงพยาบาลมันเป็นสิ่งที่การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก เพราะเป็นเรื่องของสุขภาพประชาชน รัฐบาลสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยเฉพาะในเรื่องของค่ายา
สรุปคือ การเลือกหุ้นที่ดีนั้นเราต้องดูว่า "หนึ่ง" ธุรกิจมันเติบโตหรือไม่ "สอง" เป็นผู้ชนะหรือไม่ และ "สาม" ราคาหุ้นเป็นอย่างไร ...ซึ่งถ้าราคาหุ้นยังถูกด้วย ตัวนี้สุดยอดเลย
หุ้นตัวที่ว่าเราจะดูผิดหรือดูถูก...สำหรับผมคือ ตัวนี้เมื่อเราดูมานาน สตอรี่ของมันคือเรื่องอะไร จนเมื่อเวลาผ่านไปสัก 1-2 ปี เราต้องรู้สึกแล้วว่าที่เราคิดไว้...มันผิดหรือถูก ถ้าผิดปุ๊บเราต้องขายทิ้ง
"พอร์ตหุ้นของผมต้องไม่มีหุ้นที่ขาดทุน เพราะถ้าตัวไหนที่ขาดทุน...ผมจะขายทิ้งทันที เพื่อไปหาตัวอื่นที่ดีกว่า"
หรือหากถ้าซื้อมาแล้ว ราคาหุ้นกลับขึ้นมา ทำให้เรามีกำไรเป็นเท่าตัว เราก็ต้องไม่ขาย แต่ยิ่งต้องซื้อเพิ่มอีก...เพราะว่าเราเลือกถูกตัวแล้ว ยกตัวอย่างหุ้น "ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า" (STANLY) แม้ตอนนี้ผมจะขายไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ตอนที่ผมเข้ามาซื้อ ราคามัน 5-6 บาท พอขึ้นไปถึง 30-40 บาท ผมก็ยังซื้อเพิ่มต่อไป
เพราะถ้าเรารู้ว่าเราซื้อหุ้นถูกตัว แค่ตัวเดียวก็ทำให้เรารวยได้แล้ว แต่ตัวเดียวก็น้อยเกินไป ควรกระจายออกไป เอาอีกสัก 2-3 ตัวก็ได้
ดร.นิเวศน์ ยังฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า "การลงทุนในหุ้น...ถ้าเป็นไปในลักษณะว่ามันเหนื่อย แล้วก็น่าเบื่อ จะได้ตังค์...แต่ถ้าเหนื่อยด้วย แล้วสนุกด้วย เสียตังค์...ก็ต้องเลือกเอาว่า เราจะลงทุนแบบไหน"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เปิดเผยกลวิธีการเล่นหุ้นปี 2550 บนเวทีสัมมนา "เซียนโซน" ซึ่งจัดขึ้นโดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ร่วมกับ บล.บีฟิท และมหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยเตือนให้นักลงทุน "ต้องระวัง" การลงทุนในหุ้นกลุ่ม "ธนาคารพาณิชย์" เอาไว้บ้าง
เนื่องจากตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ธนาคารพาณิชย์จะเริ่มถูกเข้มงวดจากกฎเกณฑ์ใหม่ของแบงก์ชาติ โดยเฉพาะการกำหนดให้หนี้ค้างชำระตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ต้องถูกจัดไว้ในส่วนของเอ็นพีแอล ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องตั้งเงินสำรองเพิ่มขึ้น
ขณะที่ หุ้นใน "กลุ่มพลังงาน" หากเป็นไปได้...ควรหลีกเลี่ยง เพราะหุ้นในกลุ่มนี้จะเริ่มไม่ Growth
"เล่นหุ้นพลังงานตอนนี้ต้องหัวใจแข็งแรง โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น จะเหมือนรถที่วิ่งอยู่บนแกรนด์แคนยอน...ขึ้นแรง แต่ลงน่ากลัว
หุ้นในกลุ่ม "ที่อยู่อาศัย" ต้องถามตัวเองก่อนว่า ปีหน้ามันจะโตอีกหรือไม่...เพราะถึงโตก็โตช้า ไม่มีทางผิดแปลกไปจากนี้ ถ้า (กำไร) โตขึ้นไปได้สัก 4-5% ก็ดีมากแล้ว และหากกำไรโตได้เท่านี้...ราคาหุ้นคงไม่ไปไกลจากเดิม เนื่องจากสมัยนี้อัตราคนเกิดใหม่มันเริ่มที่จะลดลง ครอบครัวนิยมมีลูกแค่คนเดียว
และต้องยอมรับว่าตอนนี้ "เทรนด์หุ้น" กลุ่มที่อยู่อาศัยมันหมดความหวือหวา ขณะที่การแข่นขันก็ยังสูงมาก ไม่มีภาพของ "ผู้ชนะ" ที่ชัดเจน
เพราะการทำธุรกิจบ้านจัดสรร สิ่งสำคัญที่สุดคือ "ทำเล" ถ้าหากโครงการในทำเลนี้ขายหมดก็ต้องไปขึ้นอีกที่ทำเลใหม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทั้งตลาดใครคือผู้ชนะ ต้องดูแต่ละทำเลไป
ส่วนหุ้นที่เน้นทำคอนโดมิเนียม แม้ธุรกิจจะโตขึ้นมามาก แต่ยังไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจนเช่นกัน บางรายอาจจะพยายามทำภาพตัวเองไว้เด่นมาก แต่เราก็ไม่รู้แน่ว่า รายที่ 4-5 จะเด่นขึ้นมาเทียบชั้นเมื่อไรก็ได้
"เพราะฉะนั้น ถ้าจะเลือกลงทุนในยามนี้ต้องพยายามเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเพียงเล็กน้อย คือไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไงสินค้าของธุรกิจนั้นก็ยังต้องขายได้"
ดร.นิเวศน์ ยกตัวอย่างหุ้นที่น่าลงทุนว่า อย่าง "หุ้นบะหมี่" (ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ หรือ TF) ตอนนี้ผมมีอยู่ 20,000 หุ้น เคยซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 30-40 บาท แต่ตอนนี้ราคามันขึ้นมาตั้ง 436 บาท เป็นหุ้นที่อดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีมาก
แต่หากเปรียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในยามนี้ "ผมยังยืนยันว่า ยังคงสนใจหุ้นโมเดิร์นเทรด มากที่สุด เพราะมันเป็นหุ้นค้าขาย...ที่มีเครือข่ายจำนวนมาก เป็นธุรกิจที่มีระบบจากศูนย์กลาง มีความทันสมัย ลูกค้าเข้าไปแล้วได้ของครบ
...ซึ่งลักษณะค้าขายแบบนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่เป็นฟิวเจอร์ของโลก"
นอกจากนี้ หุ้นโมเดิร์นเทรดยังถือเป็นหุ้นที่มี "ความเสี่ยงต่ำ" แถมกำไรยังมีความมั่นคงมาก เพราะเป็นธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป และการเติบโตของมันก็ค่อนข้างที่จะแน่นอน อาจจะมีการเปิดสาขาใหม่ปีละ 10- 20 สาขา
ลองมองธุรกิจประเภทนี้ให้เป็น จะเห็นเลยว่า ยากมากที่สาขาแต่ละแห่งจะต้องปิดตัวลง เพราะเปิดไปแล้วมีแต่อยู่...ไม่ค่อยมีเลิก โอกาสที่แต่ละสาขาจะประสบความสำเร็จมีสูงมาก ยิ่งบ้านเรามันเมืองร้อน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ต้องไปเดินห้างสรรพสินค้ากัน เพื่อต้องการอยู่ภายในห้องแอร์
ปัจจุบันหุ้นในกลุ่มโมเดิร์นเทรด ที่ ดร.นิเวศน์ ถือหุ้นรายใหญ่ก็คงมี "โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์" (HMPRO)
"ส่วน "ซีพี เซเว่นฯ" (CP7-11) นี่ก็น่าสนใจ ตอนนี้เขามีสาขาทั่วประเทศ และเพิ่มขึ้นตลอดเวลา"
รวมถึงหุ้น "ซีเอ็ด ยูเคชั่น" (SE-ED) ...ตัวนี้ผมก็ลงทุน และมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มของ "โมเดิร์นเทรด" เช่นเดียวกัน เพราะเป็นหุ้นที่มีเครือข่ายสาขา คนอ่านหนังสือก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น และมันเป็นธุรกิจที่เก็บแคช (เงินสด) มีเงินไหลเข้ามาตลอดเวลา ก็เหมือนกับ CP 7-11 ...แม้ตอนนี้ตัวธุรกิจจะมีปัญหากับค่ายไทยรัฐ แต่ผมก็ถือเป็นแนเชอรัลเป็นเรื่องปกติของธุรกิจซึ่งกำลังเติบโต
เพราะเมื่อใดที่ธุรกิจของคุณใหญ่หรือเก่งขึ้นเท่าไร โอกาสพบกับปัญหามันก็ย่อมเข้ามาหามากขึ้นเป็นธรรมดา
โดยที่ ดร.นิเวศน์ ยังคงเชื่อว่าศึกระหว่าง "ซีเอ็ด" กับ "ไทยรัฐ" น่าจะได้ทางออกหรือข้อยุติในที่สุด ...และถึงยังไงเทรนด์ของธุรกิจก็จะคงอยู่ ไม่ใช่ว่ากิจการจะเจ๊งไป
"หุ้นโมเดิร์นเทรดซื้อไปเราไม่ต้องกังวลเลย เพราะเรารู้ว่ากิจการของเขามันดีตลอด ยอดขายมีแต่เพิ่มไม่มีลง เราต้องคิดว่าเราลงทุนระยะยาว คือไม่ต่ำกว่า 5 ปี เราซื้อแล้วทิ้งไว้เลยโดยที่ไม่ต้องทำอะไร"
หุ้นในกลุ่ม "โรงแรม" ก็ถือว่าอยู่ในมุมมองที่น่าลงทุน แต่ต้องเน้นลงทุนในหุ้นโรงแรมที่มี "เชน" ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้จะมีปันผลสม่ำเสมอ และการเติบโตของกำไรค่อนข้างต่อเนื่อง ...ไม่ค่อยสนใจกับดัชนีตลาดสักเท่าไร
นอกจากนี้ ดร.นิเวศน์ ยังแนะนำให้ลงทุนใน "หุ้นอาหาร" อีกเช่นกัน
หุ้นที่ผมชอบก็ต้องหุ้น "ฟาสต์ฟู้ด" เพราะผมคิดว่าตรงนี้มันเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก แค่ถามว่าคุณจะเลือกกินอะไรระหว่างไก่ทอดเคเอฟซี กับไก่ย่างจีรพันธ์ ...เพราะเดี๋ยวนี้ราคากินในห้างกับกินข้างทางมันแทบไม่ต่างกันเลย เย็นกว่า สบายกว่า อร่อยกว่า
"ฟาสต์ฟู้ดมันเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น และคนรุ่นใหม่ๆ ก็จะต้องบริโภคมากขึ้นทุกๆ ปี เพราะคนรุ่นใหม่มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ แล้วคนก็มีรายได้มากขึ้น"
นักลงทุนบางกลุ่มที่กำลังมองว่า "หุ้นโรงพยาบาล" กำลังดี แต่ขอเตือนก่อนว่า "บังเอิญคุณอาจจะรู้ช้าไปนิด"
โดยเฉพาะบางตัวที่ราคาค่อนข้างจะหวือหวา แต่ตอนนี้ราคา (แพง) ไปมากแล้ว และเป็นหุ้นที่ผม "ไม่แนะนำ"
เพราะธุรกิจโรงพยาบาลมันเป็นสิ่งที่การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก เพราะเป็นเรื่องของสุขภาพประชาชน รัฐบาลสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยเฉพาะในเรื่องของค่ายา
สรุปคือ การเลือกหุ้นที่ดีนั้นเราต้องดูว่า "หนึ่ง" ธุรกิจมันเติบโตหรือไม่ "สอง" เป็นผู้ชนะหรือไม่ และ "สาม" ราคาหุ้นเป็นอย่างไร ...ซึ่งถ้าราคาหุ้นยังถูกด้วย ตัวนี้สุดยอดเลย
หุ้นตัวที่ว่าเราจะดูผิดหรือดูถูก...สำหรับผมคือ ตัวนี้เมื่อเราดูมานาน สตอรี่ของมันคือเรื่องอะไร จนเมื่อเวลาผ่านไปสัก 1-2 ปี เราต้องรู้สึกแล้วว่าที่เราคิดไว้...มันผิดหรือถูก ถ้าผิดปุ๊บเราต้องขายทิ้ง
"พอร์ตหุ้นของผมต้องไม่มีหุ้นที่ขาดทุน เพราะถ้าตัวไหนที่ขาดทุน...ผมจะขายทิ้งทันที เพื่อไปหาตัวอื่นที่ดีกว่า"
หรือหากถ้าซื้อมาแล้ว ราคาหุ้นกลับขึ้นมา ทำให้เรามีกำไรเป็นเท่าตัว เราก็ต้องไม่ขาย แต่ยิ่งต้องซื้อเพิ่มอีก...เพราะว่าเราเลือกถูกตัวแล้ว ยกตัวอย่างหุ้น "ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า" (STANLY) แม้ตอนนี้ผมจะขายไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ตอนที่ผมเข้ามาซื้อ ราคามัน 5-6 บาท พอขึ้นไปถึง 30-40 บาท ผมก็ยังซื้อเพิ่มต่อไป
เพราะถ้าเรารู้ว่าเราซื้อหุ้นถูกตัว แค่ตัวเดียวก็ทำให้เรารวยได้แล้ว แต่ตัวเดียวก็น้อยเกินไป ควรกระจายออกไป เอาอีกสัก 2-3 ตัวก็ได้
ดร.นิเวศน์ ยังฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า "การลงทุนในหุ้น...ถ้าเป็นไปในลักษณะว่ามันเหนื่อย แล้วก็น่าเบื่อ จะได้ตังค์...แต่ถ้าเหนื่อยด้วย แล้วสนุกด้วย เสียตังค์...ก็ต้องเลือกเอาว่า เราจะลงทุนแบบไหน"