คอนโดใกล้ MRT/BTS
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 05, 2006 8:19 am
ขอคำแนะนำเกี่ยวกับ คอนโดใกล้ MRT/BTS (เดินได้) ที่คุ้มค่าครับ
เห็นภาพกระจ่างเลยครับสุมาอี้ เขียน:ไปดู Life@รัชดา-ลาดพร้าว มา ตกใจ เดี๋ยวนี้คนแย่งกันซื้อคอนโดเหมือนเงาะในตลาดเลย -_-'
:lol:ba_2l เขียน: ถามได้กว้างจริงๆครับพี่หวี จะซื้อเอาไว้อยู่เองหรือลงทุนครับ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ Biz weekเจาะทำเลร้อน"รัชดา-ลาดพร้าว" เอพี-แลนด์-พลัสเปิดศึกคอนโดฯ
คอนโดมิเนียมระดับกลาง ราคาตั้งแต่ 6-8 หมื่นบาท/ตารางเมตรในกรุงเทพฯ ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากตลาดค่อนข้างมาก ความร้อนแรงยังมีต่อเนื่อง ผู้ประกอบการอสังหาฯทุกระดับ ต่างเปิดโครงการประชิดทำเลช่วงชิงดีมานด์ "รัชดา-ลาดพร้าว" กันคึกคัก
ที่อยู่อาศัยประเภท คอนโดมิเนียม ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลายโครงการ ไม่ว่าจะเปิดขายขึ้นเมื่อใด ก็มักจะได้รับการอุดหนุนจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่ทางกลับกัน คอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีข้อจำกัดและเหมาะสมกับผู้บริโภคบางกลุ่มเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่อง ราคา ทำให้มีการขยายทำเลจากย่านใจกลางเมือง ไปสูย่านอื่นที่เป็นแหล่งชุมชนรอบนอก หรือพื้นที่ซึ่งการคมนาคมสะดวก
การเปิดตัวที่คึกคักของสินค้าคอนโดมิเนียมในระดับราคา 6-8 หมื่นบาท สะท้อนได้จากสถิติข้อมูลของบริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ณ ไตรมาส 3/2549 จำนวนคอนโดมิเนียมระดับกลางมีมากถึง 39,117 ยูนิต คิดเป็นกว่า 90% จากคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ที่มีทั้งสิ้น 43,046 ยูนิต และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สอดคล้องกับผลวิจัยของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ระบุว่า ตลาดคอนโดมิเนียมยังเป็นตลาดที่มีการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลาง ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดมิเนียมมียอดขายรวม 8,825 ยูนิต มากกว่ายอดขายทั้งปี 2548 ที่มียอดขาย 8,260 ยูนิต อย่างไรก็ตาม ในตลาดมีห้องชุดเหลือขายอยู่อีก 8,000 ยูนิต และครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่อีก 7,000 ยูนิต ขณะที่ความต้องการซื้อต่อปีอยู่ที่ 12,000 ยูนิต
ด้วยความที่ยังเป็นสินค้าที่มีตลาดรองรับ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ขนาดกลาง หันเข้าสู่ตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องการผลิตสินค้าเพิ่ม เสริมทางเลือกให้ผู้บริโภค เพื่อดันยอดขายรวม เมื่อมีผู้เล่นมากขึ้น ก็เลี่ยงไม่พ้นที่วงจรธุรกิจนี้จะเข้ามาแข่งขันเพื่อแย่งแชร์ตลาด จับกลุ่มมนุษย์เงินเดือน และเปลี่ยนกลุ่มผู้ที่อยู่อาศัยประเภทเช่ามาเป็นการซื้อที่อยู่อาศัยของตนเองในอัตราการผ่อนที่เท่ากับอัตราค่าใช้จ่ายเดิม หรือไม่ก็สูงกว่าเล็กน้อย
การขึ้นโครงการที่อยู่อาศัยประเภท คอนโดมิเนียม ในระดับราคากลาง-ล่าง นั้น จะกระจุกตัวอยู่บางทำเล เช่น สุขุมวิทตอนปลาย ลาดพร้าวตอนปลาย และย่านพระราม 3 ความคึกคักในการเปิดตัวสินค้าประเภทดังกล่าวมีให้เห็นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 นี้ และปัจจุบันจะเริ่มเห็นโครงการในระดับราคาดังกล่าว กระจายสู่ทำเลอื่นๆ มากขึ้น ในย่านพาณิชยกรรม ย่านธุรกิจห้างสรรพสินค้า และในพื้นที่ที่มีอพาร์ตเมนต์ให้เช่า
ทำเลที่น่าจับตามองและคาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมราคาดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ย่านปิ่นเกล้า, สะพานใหม่, หลักสี่, งามวงศ์วาน, พระรามที่ 3 เชื่อมต่อพระประแดง รวมถึงทำเลที่อยู่ตามโครงการข่ายรถไฟฟ้าใต้ดิน ย่านถนนเส้นรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว ในอดีตผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าตลาดคือ แอล.พี.เอ็น. แต่ขณะนี้ทั้ง พลัส พร็อพเพอร์ตี้, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ต่างวางแผนเปิดโครงการขายแข่งกันอย่างคึกคัก
จากทำเลรัชดา-ลาดพร้าว ถัดไปไม่ไกลจะเป็นที่ดินของกลุ่ม แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ มีที่ดินกว่า 3 ไร่ บริเวณลาดพร้าว 21 ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน บริเวณลาดพร้าวตัดกับถนนรัชดาภิเษก ตามแผน กลุ่ม แอล.พี.เอ็น.จะขึ้นคอนโดมิเนียมตั้งแต่ปี 2547 พร้อมกับได้เปิดขายห้องชุดไปแล้วได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายค่อนข้างดี แต่เนื่องจากติดปัญหาการคัดค้านจากผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง ไม่สามารถสร้างเป็นคอนโดมิเนียมได้ ล่าสุดกำลังอยู่ระหว่างปรับแผนใหม่ เบื้องต้นจะสร้างเป็นทาวน์เฮ้าส์
ขณะที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ในกลุ่มแสนสิริ หลังจากคอนโดวัน ลาดพร้าว 15 บนเนื้อที่ประมาณ 308 ตารางวา ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ล่าสุดได้ซื้อที่ดินในย่านลาดพร้าว 18 เพิ่มอีก 1 แปลง ขนาดที่ดินกว่า 530 ตารางวา ซื้อมาในราคากว่า 1 แสนบาท/ตารางวา ตามแผนจะสร้างเป็นคอนโดมิเนียมสูง 9 ชั้น จำนวน 142 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่ม 30 ตารางเมตรปัจจุบันได้เริ่มเปิดขายแล้วในราคาเริ่มต้นกว่า 1.39 ล้านบาท เฉลี่ยราคาขายเริ่มต้น 5.4 หมื่นบาท/ตารางเมตร
ส่วนบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือเอพีนั้น หลังจากการเปิดขายคอนโดมิเนียม Life@Tha-Phra มูลค่าโครงการ 1.1 พันล้านบาท นั้น ปัจจุบันยอดขายไปกว่า 50% แล้ว บริษัทได้ขยายฐานตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางเพิ่มอีก 1 โครงการ โดยใช้แบรนด์ Life ที่ล่าสุดได้ลงทุน 150 ล้านบาท ซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1 แปลง เนื้อที่ 4 ไร่ ปากซอยลาดพร้าว 36 ซึ่งเดิมเป็นบ้านของ "สมหมาย ฮุนตระกูล" ตามแผนพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม 2 อาคาร จำนวนกว่า 470 ยูนิต ราคาขายประมาณ 4-4.5 หมื่นบาท/ตารางเมตร
การรุกเข้าสู่ตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางโดยใช้แบรนด์ Life จะต้องฉีกตลาดออกไป เพราะมีหลายบริษัทที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้า บริษัทจึงวางเป้าจับลูกค้าในกลุ่ม Gen-Y ซึ่งเป็นกลุ่มคนในวัยที่เรียกว่าเด็กแนว อายุ 25-32 ปี เริ่มทำงานมาแล้วประมาณ 5-7 ปี
ด้านบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หลังจากที่ได้ซื้อที่ดินประมาณ 14 ไร่ แยกรัชดา-ลาดพร้าว ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีลาดพร้าว 150 เมตร ซึ่งเดิมเป็นของกลุ่มสวนสยาม ไปมีแผนผุดคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ The Room บนเนื้อที่ 10 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จก่อนขาย พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์สูง 16 ชั้น 2 อาคาร และสูง 19 ชั้น 2 อาคาร จำนวนยูนิตรวม 801 ยูนิต มีห้องชุดให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอนขนาดพื้นที่ 40 ตารางเมตร และห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ประมาณ 60 ตารางเมตร และมีขนาดพื้นที่ 61 ตารางเมตร ในบางยูนิตที่อยู่หัวมุมซึ่งมีจำนวนไม่มาก โครงการมีพื้นที่จอดรถได้ประมาณ 500 คัน ขณะที่เนื้อที่ที่เหลือ 4 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท และมีแผนจะพัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ในอนาคต
แม้รูปแบบการพัฒนาโครงการจะเป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จก่อนขาย แต่ด้วยภาวะการแข่งขันของตลาด ประกอบกับการสร้างคอนโดมิเนียมค่อนข้างใช้เวลานานกว่าการสร้างที่อยู่อาศัยในแนวราบ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จะต้องพลิกเกมการตลาดด้วยการประยุกต์รูปแบบการขายล่วงหน้า มาผสมผสานกับจุดแข็งที่มีด้วยการ...
มิกซ์แคมเปญการเงินกับระยะเวลาการก่อสร้างเสร็จพร้อมส่งมอบให้ลูกค้า...ผ่านสูตร !! การออมเงินกับ LH Bank หรือแบงก์แลนด์ ภายใต้โปรแกรม Home Savings Package พร้อมกับการเปิดให้ผู้ที่สนใจลงสิทธิการจองห้องชุด
เมื่อวันที่ 7-8 ตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา แลนด์ฯได้เปิดให้ผู้สนใจยื่นเอกสาร Approve กับแบงก์แลนด์ หากผ่านการอนุมัติจากแบงก์แลนด์ ลูกค้าจะได้รับบัตรคิวลงสิทธิเลือกห้องในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2549 พร้อมกันนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้สนใจเปิดบัญชีเงินฝากพิเศษระยะเวลา 15 เดือน ในช่วงเวลา 11-17 ตุลาคม 2549 โดยผู้ที่สนใจจองสิทธิห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน ฝากเงินเดือนละ 16,000 บาท ขนาด 2 ห้องนอน ฝากเงินเดือนละ 24,000 บาท
โดยลูกค้าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ +0.50% จากแบงก์แลนด์ (ณ วันที่ 19 ก.ย.2549 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์พิเศษอยู่ที่ 3.50%) การจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายเมื่อครบกำหนด 15 เดือน และในการลงสิทธิจองห้องชุดนั้น ลูกค้า 1 ราย สามารถลงสิทธิจองห้องชุดได้ไม่เกิน 3 ห้อง
จากข้อมูลที่ได้ในวันที่ทางโครงการเปิดให้ผู้ที่สนใจยื่นเอกสารเมื่อวันที่ 7-8 ตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ากลุ่มคนที่สนใจส่วนใหญ่จะเป็นวัยหนุ่ม-สาว วัยทำงานอายุไม่เกิน 30-35 ปี และถึงแม้ราคาขายต่อตารางเมตรจะยังไม่ระบุชัด แต่กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะซื้อได้ต้องมีรายได้อย่างน้อย 4-5 หมื่นบาท
ราคาเริ่มต้นต่อตารางเมตรจะอยู่ในระดับกว่า 6 หมื่นบาท ราคาที่ว่านี้ยังไม่เป็นราคาที่ชัดเจน เพราะต้องรอให้โครงการสร้างเสร็จก่อนถึงจะกำหนดราคาขายที่ชัดเจน ... เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายรายหนึ่งกล่าวให้รายละเอียดกับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week "
การเปิดตัวโครงการดังกล่าว เป็นการทำต่อเนื่องจากโครงการ The Room สุขุมวิท 79 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อ่อนนุช จำนวน 300 ยูนิตๆ ละ 40 ตารางเมตรขึ้นไป รวมมูลค่า 700-800 ล้านบาท โดยแนวทางการทำการตลาดนั้น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ได้ใช้โปรแกรม Home Savings Package ซึ่งเป็นโปรแกรมการเตรียมความพร้อม ที่กล่าวไปแล้วทุกๆ ฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งลูกค้า-แลนด์ฯ และแบงก์แลนด์ โดยในส่วนของลูกค้าที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ สามารถเปิดบัญชีเงินฝากพิเศษที่ได้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยตามเงื่อนไข
8) ใช่แล้วครับ พี่redbull จริงๆด้วยHVI เขียน:เดาว่ามาจากสำเหร่เนี่ยน่าจะเป็นคุณกระทิงแดง
ปัจจุบันผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย
นานๆ ว่ายน้ำที ที่คอนโดนั่นแหละครับ
ไปเล่นแบดกับพี่พอใจเนี่ย
ผมกลัวจะโดนลูกตบน้องๆทีมชาติ อ่ะครับ
เดี๋ยวจะพาลเบื่อขี้เกียจเล่นกับพวกฝีมือไม่ถึง ฮา...
"สุวรรณภูมิ"ทำเลทองปี'49 รัชดา-ลาดพร้าวคอนโด สุดฮอต
ทำเลที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากที่สุดในปี 2549 ย่อมหนีไม่พ้นทำเลทองใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการของสนามบินใหม่แห่งนี้ มีผลให้คนที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน จำเป็นต้องย้ายที่อยู่อาศัยเข้ามาใกล้บริเวณดังกล่าว ส่วนทำเลรัชดา-ลาดพร้าว ครองใจผู้นิยมซิตี้ คอนโด
ผลการวิจัยและสำรวจของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ จำกัด สรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2549 ว่า ตลาดบ้านเดี่ยว มีสัญญาณที่ชะลอตัวลง สวนทางกับตลาดคอนโดมิเนียม ที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก ซึ่งในปีที่ผ่านมามีปัจจัยลบเรื่องราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และภาวะการเมือง ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และมีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค
จากการสำรวจโครงการบ้านจัดสรร ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2549 มี 609 โครงการ ยูนิตเสนอขายทั้งสิ้น 39,406 ยูนิต ลดลง 11% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2548 ในจำนวนนี้แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 25,190 ยูนิต จาก 456 โครงการ และโครงการทาวน์เฮ้าส์ 14,216 ยูนิต จาก 153 โครงการ
ซัพพลายทิศเหนือล้น...สำหรับจำนวนยูนิตที่เสนอขายยังคงกระจายตัวในพื้นที่ทิศเหนือ 14,871 ยูนิต (38%) ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงที่สุดในทุกทำเล และพบว่า โครงการทาวน์เฮ้าส์มีอัตราการเติบโตมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เมื่อพิจารณาระดับราคาที่เปิดขาย พบว่า โครงการบ้านเดี่ยวราคาตั้งแต่ 3-5 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงสุด 37% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ที่เปิดขายมากที่สุดอยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท (43%)
บ้านเดี่ยวยอดขายลด 13%. ด้านยอดขายโครงการบ้านเดี่ยวในทุกพื้นที่อยู่ที่ 37% ปรับลดลง 13% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 โดยมียอดขายเฉลี่ยลดลงเช่นกันอยู่ที่ 3.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ จาก 5.3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ
สุวรรณภูมิกวาดยอดขายปี 2549. พื้นที่ทิศตะวันออกหรือฝั่งใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ มียอดขายสูงสุด 46% และยอดขายเฉลี่ย 5.2 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนพื้นที่ทิศเหนือและทิศใต้ มียอดขายต่ำสุดที่ 29% และยอดขายบ้านเดี่ยวในพื้นที่ทิศเหนือปรับลดจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ถึง 26% โดยมียอดขายเฉลี่ยลดลงอยู่ที่ 2.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ จาก 9.8 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ เนื่องจากมีปริมาณยูนิตเปิดขายสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ
ยอดขายทาวน์เฮ้าส์ลดฮวบ 27%. สำหรับยอดขายโครงการทาวน์เฮ้าส์ในทุกพื้นที่อยู่ที่ 43% ลดลงกว่า 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2548 และมียอดขายเฉลี่ย 6.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ โดยพื้นที่ทิศใต้และทิศเหนือมียอดขายสูงสุด 57% และ 45% ตามลำดับ ตัวเลขยอดขายทาวน์เฮ้าส์ในทิศใต้และทิศเหนือ ที่สวนทางกับบ้านเดี่ยว สะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์ของทาวน์เฮ้าส์ในโซนนี้ มีมากกว่าบ้านเดี่ยว
คอนโด รัชดา-ลาดพร้าว ฮอตสุด. ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลัง 2549 มีโครงการใหม่เปิดขายทั้งสิ้น 56 โครงการ จำนวน 17,637 ยูนิต เติบโตจากช่วงครึ่งปีแรกถึง 78% (เพิ่มขึ้น 7,260 ยูนิต) หรือตลอดทั้งปี 2549 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายทั้งสิ้น 27,550 ยูนิต ขยายตัวกว่า 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2548
พบว่า 1 ใน 3 ของจำนวนห้องชุดเปิดขายใหม่ กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่รัชดาภิเษก-ลาดพร้าว โครงการเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่มีราคา 1-3 ล้านบาท และเน้นปริมาณห้องชุดประเภทสตูดิโอและ 1 ห้องนอนเป็นหลัก ซึ่งโครงการใหม่เริ่มกระจายตัวเข้าสู่เขตชุมชน หรือพื้นที่เมืองที่ใกล้ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้า (Sub Center)
สำหรับยอดขายสะสม ณ ปี 2549 อยู่ที่ 91% เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 0.6% ปริมาณยูนิตเหลือขายอยู่ระหว่าง 3-13% โดยพื้นที่พหลโยธินมีจำนวนห้องชุดเหลือขายต่ำที่สุดเพียง 3% (333 ยูนิต) และพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจมียอดเหลือขายมากที่สุด 13% (1,859 ยูนิต)
ยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2549 ทั้งสิ้น 18,095 ยูนิต สูงกว่ายอดขายตลอดทั้งปี 2548 ถึง 9,926 ยูนิต หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.2 เท่าตัว โดยพื้นที่รัชดาภิเษกยังคงมียอดขายสูงสุด 6,785 ยูนิต สุขุมวิท 3,303 ยูนิต ธนบุรี-ริมแม่น้ำ 2,182 ยูนิต และพหลโยธิน 2,162 ยูนิต
พญาไทราคาเพิ่มสูงสุด 34% ด้านราคาขายห้องชุดเฉลี่ยปรับขึ้น 11% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2548 เพราะต้นทุนในการก่อสร้าง และราคาที่ดินมีการปรับขึ้น โดยพื้นที่พญาไทปรับขึ้นราคาขายมากที่สุด 34% หรือเพิ่มขึ้น 19,280 บาทต่อตารางเมตร เป็น 75,280 บาทต่อตารางเมตร รองลงมาพื้นที่สุขุมวิท 10% หรือปรับเพิ่มขึ้น 7,818 บาท เป็น 83,103 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจยังคงเป็นพื้นที่ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมราคาขายเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 91,198 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นจากช่วงเดียวกัน 4% หรือเพิ่มขึ้น 3,426 บาทต่อตารางเมตร
จับตาปี 2550 ทำเลส่วนต่อขยายมาแรง แผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ที่ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการมองที่จะพัฒนาโครงการบนพื้นที่ที่มีการเดินทางที่สะดวกแล้ว และมีระบบคมนาคมที่ดีรองรับอยู่แล้ว แต่ทำเลใจกลางเมืองที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้ต้องมองหาทำเลรองที่ใกล้เคียงมาพัฒนาแทน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่จะเป็นสินค้าฮอตของปีนี้ จะขยายตัวมากขึ้นในทำเลที่เป็นซับ เซ็นเตอร์ หรือพื้นที่ใกล้เคียงกับส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ Biz Week