Robert Monks และ Jang Ha Sung ผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหว
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 23, 2006 7:53 pm
นี่แค่ นิดเดียว อ่านเต็มๆที่
http://www.onopen.com/2006/02/1101
ครับ
http://www.onopen.com/2006/02/1101
ครับ[/quote]
http://www.onopen.com/2006/02/1101
ครับ
นี่แค่ นิดเดียว อ่านเต็มๆที่...
หนึ่งในผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหวที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก (แม้ว่าจะเป็นเพียงโลกแห่ง จรรยาบรรณธุรกิจ ใบเล็กๆ ที่ยังโคจรอยู่ชายขอบของโลกกระแสหลัก ซึ่งเป็นวัตถุนิยมเต็มขั้ว) คือชาวอเมริกันนาม โรเบิร์ต เอ.จี. มังส์ (Robert A.G. Monks) ผู้บุกเบิกมาตรฐานธรรมาภิบาลอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดจนได้รับสมญานามว่า บิดาแห่งธรรมาภิบาลบริษัท มังส์ถูกหลายคนปรามาสว่าเป็น ผู้ทรยศต่อชนชั้นตัวเอง (A traitor to his class ซึ่งต่อมาถูกใช้เป็นชื่อ หนังสือชีวประวัติมังส์) เพราะเขาเกิดในตระกูลผู้ดีเก่าในกรุงบอสตัน ซึ่งสืบทอดเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองในอเมริกา จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่แทนที่จะใช้ชีวิตเป็นทนาย มังส์เลือกที่จะทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการปรับปรุงธรรมาภิบาลบริษัทอเมริกัน
จุดเปลี่ยนชีวิตของมังส์เกิดขึ้นในปี 2516 เมื่อเขาตื่นขึ้นกลางดึกวันหนึ่งในโรงแรมเล็กๆ ด้วยอาการแสบตา น้ำตาไหลไม่หยุด ข้างนอกหน้าต่าง มังส์มองเห็นฟองหมอกสารเคมีสูงกว่าสองเมตร ปกคลุมแม่น้ำแทบทั้งสาย เมื่อเขาถามพนักงานโรงแรมก็ได้รับคำตอบว่า สารเคมีนั้นปล่อยมาจากโรงงานทำกระดาษแห่งหนึ่งทุกคืน เป็นอย่างนั้นติดต่อกันมาหลายปี และชาวบ้านแถวนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ และไม่มีใครคิดว่าจะทำอะไรได้
มังส์เก็บความสะกิดใจเอาไว้ จนกระทั่งอีกหลายปีต่อมา เขาได้เป็นประธานกรรมการบริษัททรัสต์แห่งหนึ่งในบอสตัน ซึ่งทำหน้าที่ออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นแทนลูกค้า ที่ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบันต่างๆ และวันหนึ่งเขาก็ได้รับแบบฟอร์มการใช้สิทธิจากบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงงานกระดาษโรงนั้น นั่นทำให้มังส์ฉุกคิดขึ้นได้ว่า มีคนอย่างเขาหลายสิบคนที่ทำงานในบริษัททรัสต์ต่างๆ ที่รวมกันมีอำนาจควบคุมบริษัทเหล่านี้ผ่านการออกเสียงแทนนักลงทุนสถาบันผู้ถือหุ้นจำนวนมหาศาล มังส์ระลึกได้ว่า เขาสามารถสั่งให้โรงงานนี้หยุดปล่อยสารเคมีลงในแม่น้ำได้ ถ้าเพียงแต่เขาสามารถติดต่อทรัสต์ต่างๆ และกองทุนต่างๆ ที่ถือหุ้นในบริษัทเดียวกัน และอธิบายให้พวกเขาฟังว่าบริษัทนี้กำลังทำอะไรที่ลูกค้าของพวกเขา ในฐานะ เจ้าของบริษัท ไม่น่าจะเห็นด้วย
เมื่อมังส์ค้นพบอำนาจของการถือหุ้น เขาก็ตัดสินใจใช้ชีวิตที่เหลือรณรงค์ให้กองทุนและทรัสต์ต่างๆ หันมาสนใจประเด็นธรรมาภิบาล และเข้ามารับผิดชอบการดำเนินงานของบริษัทมากขึ้น ในทศวรรษ 2520 มังส์ก่อตั้งองค์กรแรกในโลกที่ให้คำปรึกษาด้านธรรมาภิบาล ชื่อ Institutional Shareholder Services หรือ ISS ปัจจุบันเป็นองค์กรด้านนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้คำปรึกษากับนักลงทุนสถาบันทั่วโลกที่ถือหุ้นรวมกันมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ว่าควรโหวตลงคะแนนแทนผู้ถือหุ้นที่แท้จริงซึ่งเป็นลูกค้าของกองทุนเหล่านั้น (proxy voting คือลงคะแนนตามฉันทะที่ได้รับมอบจากผู้ถือหุ้น) อย่างไร ในทางที่จะช่วยปรับปรุงธรรมาภิบาลของบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ และในทศวรรษ 2530 เขาก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุนชื่อ Lens Asset Management และใช้กองทุนนี้เป็นผู้บุกเบิกขบวนการเคลื่อนไหวของผู้ถือหุ้น ด้วยการให้บริการออกเสียงแทนภายใต้แนวทางโหวตที่เน้นการส่งเสริมธรรมาภิบาลบริษัท และตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการบริษัท
นอกจากเหตุผลด้านคุณธรรมและความเป็นธรรม มังส์ยังพยายามชี้ให้ทุกคนเห็นว่า บริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดีนั้นสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนกว่า และให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงกว่าบริษัทที่ขาดธรรมาภิบาล รายงานวิจัยมากมาย เช่นรายงานรายไตรมาสเรื่องธรรมาภิบาลที่จัดทำโดย McKinsey & Co. ชี้ให้เห็นว่า หุ้นของบริษัทที่นักลงทุนมองว่ามีธรรมาภิบาลดีจะมีราคาเฉลี่ยสูงกว่าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนมองว่ามีธรรมาภิบาลไม่ดี ประมาณ 13-14 เปอร์เซ็นต์
...
http://www.onopen.com/2006/02/1101
ครับ[/quote]