จอร์จ ตัน
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 17, 2006 1:02 pm
ลายแทงธุรกิจ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" หุ้นใหญ่ "โกลบอล แอสเซ็ท" 1,100 ล้านเหรียญ
เปิดลายแทงขุมทรัพย์ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ผู้ถือหุ้นใหญ่ กองทุน "โกลบอล แอสเซ็ท" มูลค่า 1,100 ล้านเหรียญฯ (กว่า 4 หมื่นล้านบาท) วันนี้เขากำลังจะกลับมาในบทบาทของ "จอร์จ ตัน" ดีลเมคเกอร์มือฉมัง..ล่าสุดกำลังเจรจาซื้อโบรกเกอร์ และเตรียมนำหุ้นเข้าตลาด 2 บริษัท ภายในปี 2550
ผลพวงจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นอำนาจในค่ำคืนของวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้ เอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ที่ประะกาศตัวชัดว่าเป็นปรปักษ์กับระบอบทักษิณ มาตลอด 3 ปี เตรียมที่จะกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจอย่างเต็มตัว
ในต่างประเทศ "เอกยุทธ" มีชื่อเสียงโด่งดังในชื่อของ "จอร์จ ตัน" เขามีธุรกิจทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ โดยเป็นประธานกรรมการบริหาร เครือโอเรียลเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ และยังมีธุรกิจอยู่ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์
ในอีกบทบาทหนึ่ง เอกยุทธ ยังเป็นอดีตมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) และเป็น "นักเทคโอเวอร์" มือฉกาจ จนเพื่อนๆ ในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ให้เกียรติ เรียกเขาว่า "ไต่กอ" หรือ "พี่ใหญ่"
สำหรับบทบาทในประเทศไทย เอกยุทธ เคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย โดยเสนอความคิดเห็นผ่านเวบไซต์ส่วนตัว 2 แห่ง คือ "ไทยอินไซด์เดอร์ ดอทคอม" และ "เอกยุทธ ดอทคอม" มาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักในฐานะ "เซียนหุ้นพันล้าน" อีกคนในตลาด โดยล่าสุดเขาอ้างกับผู้สื่อข่าว กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 70% ในกองทุน "โกลบอล แอสเซ็ท" มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนแห่งนี้จัดตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ลงทุนในตลาดเงิน และตลาดหุ้นทั่วโลก
เอกยุทธ ยังอ้างด้วยว่า การเล่นหุ้นภายใต้ระบอบทักษิณ 4-5 ปีที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จ "ขี่หุ้นทักษิณ" ได้กำไรร่วมกับพรรคพวกกว่า 14,000 ล้านบาท เฉพาะส่วนตัวได้กำไรมาประมาณ 4,000 ล้านบาท
ท่ามกลางขั้วอำนาจเก่าสลาย เอกยุทธ มองว่า อาจจะทำให้การเล่นหุ้นยากขึ้น (เพราะไม่มีเจ้ามือมาทำหุ้นบิ๊กแคป) แต่เส้นทางความมั่งคั่งก็เปิดกว้างขึ้นเช่นกัน โดยล่าสุดเขาประกาศว่า จะเป็น "นักปั้นกิจการ" ด้วยการเข้า "เทคโอเวอร์" บริษัททั่วราชอาณาจักร...รวมถึงเป้าหมายการซื้อ "บริษัทหลักทรัพย์" เป็นของตัวเอง
เอกยุทธ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ส่งตัวแทนไปเจรจาซื้อโบรกเกอร์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยบอกเป็นนัยๆ ว่า โบรกเกอร์แห่งนี้เพิ่งจะขายหุ้นใหญ่ให้กับนักลงทุนต่างชาติ แต่มีฐานลูกค้ารายใหญ่น้อย
ซึ่งในวงการเชื่อว่า น่าจะเป็น "บล.ยูไนเต็ด" ที่กลุ่มทุนญี่ปุ่น พึ่งจะเข้ามาเทคโอเวอร์ไปจากกลุ่มว่องกุศลกิจ เมื่อไม่นานมานี้
พร้อมกันนี้ เอกยุทธ ยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อใบอนุญาตของ "บล.เอเพกซ์" จาก "บล.แอ๊ดคินซัน" ปัจจุบันมีอยู่ 5 สาขา แต่ขณะนี้ยังตกลงราคากันไม่ได้ โดยต้องการซื้อในราคา 200-300 ล้านบาท เท่านั้น
"ถ้าไม่ได้ราคานี้ก็คงจะรอสักพัก เชื่อว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นที่ซบเซาต่อเนื่องไปถึงปี 2550 อาจจะทำให้บริษัทหลักทรัพย์ 2-3 แห่งต้องการหาผู้ร่วมทุน"
เอกยุทธ วางแผนว่า หลังจากซื้อมาแล้วกลุ่มของตัวเองพร้อมที่จะใส่เงินทุนเข้าไปอีก 4-5 พันล้านบาท เพื่อให้บริษัทเข้มแข็ง โดยมั่นใจว่าฐานลูกค้าไม่เป็นปัญหา เนื่องจาก มีกองทุนของตัวเองชื่อ "โกลบอล แอสเซ็ท" มีขนาดสินทรัพย์ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันลงทุนในประเทศไทย ประมาณ 5-8% (ประมาณ 2.1-3.3 พันล้านบาท)
นอกจากนี้ส่วนตัวยังมีคอนเนคชั่นกับกองทุนในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างมาก
"วิธีการของผม อาจจะให้กองทุน 3-4 รายมาถือหุ้นร่วมกับเรา รายละ 10% จะได้มีออเดอร์ส่งเข้ามา แทนที่จะส่งให้ที่อื่น เพราะทุกวันนี้จะเล่นผ่านโบรกเกอร์สิงคโปร์เป็นส่วนใหญ่"
ในเบื้องต้นวางโครงสร้างรายได้เอาไว้แล้ว คือ จะมาจากรายย่อย 25-30% รายใหญ่ 30% ส่วนอีก 40% เป็นกองทุน โดยปัจจุบันมีกลุ่มเพื่อนๆ ที่มีวอลุ่มเทรดในระดับ 3-5 พันล้านบาทต่อเดือน หลายราย กลุ่มนี้ถ้าไปลงทุนโบรกไหนวอลุ่มจะพุ่งขึ้นทันที สำหรับเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการติด 1 ใน 3 ภายใน 2-3 ปี ด้วยขนาดมาร์เก็ตแชร์ ระดับ 7-8%
เอกยุทธ ยังฝากให้จับตาด้วยว่า นับจากนี้ไปอาจจะเห็นชื่อของเขาเข้าไป "เทคโอเวอร์" กิจการในตลาดหลักทรัพย์ หลายแห่ง
"การเทคโอเวอร์มีแน่ครับ ผมอยู่ในอาชีพนี้มา 20 ปี ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ ผมเข้าไปเทคโอเวอร์น่าจะร่วม 100 บริษัท ที่ผ่านมาก็ทำอยู่แต่ออกหน้าไม่ได้ คราวนี้ผมคงออกมาเอง"
ส่วนแนวทางนั้นจะเข้าไปซื้อบริษัทเน่าๆ เอาสินทรัพย์มาแยกออก แล้วนำไปควบรวมกับบริษัทอื่น เอาของดีมาใส่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จากนั้นก็ "แบล็คดอร์ ลิสติ้ง" (เข้าตลาดหุ้นทางอ้อม) ซึ่งไซส์ที่สนใจจะขนาด 3-5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เอกยุทธ ย้ำว่าธุรกิจที่ใส่เข้าไปใหม่นั้นจะต้องมีคุณภาพ เนื่องจากเราไม่ได้ขายขาด ส่วนใหญ่ยังถือ 20-30% ในพอร์ตลงทุน แต่ให้มืออาชีพเข้าไปบริหารโดยตนเองจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในรายละเอียด แต่ต้องทำกำไรให้ได้ ไม่งั้นปลดออก
"ตอนนี้ถ้ามีธุรกิจอะไรดีๆ เราเอาหมด อยู่ที่ว่าราคาและโอกาสเท่านั้น"
เอกยุทธ ยังบอกด้วยว่า ในปี 2550 จะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น 2 บริษัท โดยบริษัทแรกทำอุตสาหกรรมก่อสร้าง มูลค่าธุรกิจ 4-5 พันล้านบาท ตอนนี้เข้าไปถือหุ้นแล้ว 80% อีก 20% เป็นทีมบริหาร และวิศวกร
"บริษัทนี้เจ้าของเก่าเขาใช้เงินผิดประเภทเราก็เลยได้มา ตอนนี้มีที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว ทำตัวเลขแล้ว จะสรุปสิ้นในปีนี้ ประมาณต้นปีหน้าจะนำเข้าตลาด บริษัทนี้มีงานล่วงหน้าแล้ว 4-5 ปี มีกำไรต่อปี ประมาณ 600-700 ล้านบาท ช่วงแรกเราจะลดกำไรเหลือ 200-300 ล้านบาท ไม่งั้นพอเข้าตลาดไปก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น เข้ามาแล้วต้องสร้างให้มันขึ้นไป เราจะปล่อยมุขหมดทีเดียวไม่ได้ ต้องค่อยๆ ทยอย"
อีกบริษัทจะทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีไร้สาย ไวร์เลส-บรอดแบนด์ บริษัทนี้ถือหุ้นอยู่ 41% และพรรคพวกถืออยู่ 15% (รวมกัน 56%)
"ความจริงสามารถจดทะเบียนในอังกฤษได้ แต่เราอยากดึงเข้าตลาดหุ้นไทย แต่ก็ต้องดูทิศทางลม เพราะปีหน้าคาดว่าตลาดหุ้นจะไม่ค่อยดี อาจจะเลื่อนไปเข้าปี 2551 แทน"
เอกยุทธ กล่าวถึงกลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งว่า ไฮไลต์จริงๆ ของการเทคโอเวอร์อยู่ที่เทคนิคการนำเงินออกมาให้ได้
"Cash Out นี่สำคัญ นักธุรกิจที่ชนะต้อง Cash Out เป็น ไม่ใช่ถือหุ้นไว้เพื่อความเป็นเจ้าของ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผมจะขายบริษัทที่ปั้นมากับมือ เพราะผมไม่ได้ถือไว้ให้ลูก อย่าลืมทุกธุรกิจมีวงจรของมัน ผมว่า ทักษิณ เก่งตรงที่เขา Cash Out เป็น ขายหุ้น SHIN ให้ เทมาเส็ก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับอำนาจก็เลยเป็นปัญหา"
เพื่อนๆ พี่ๆ ในที่นี้ คิดยังไงกันบ้างครับ กับประโยคในวรรคสุดท้ายที่ผมทำตัวหนาไว้
เปิดลายแทงขุมทรัพย์ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ผู้ถือหุ้นใหญ่ กองทุน "โกลบอล แอสเซ็ท" มูลค่า 1,100 ล้านเหรียญฯ (กว่า 4 หมื่นล้านบาท) วันนี้เขากำลังจะกลับมาในบทบาทของ "จอร์จ ตัน" ดีลเมคเกอร์มือฉมัง..ล่าสุดกำลังเจรจาซื้อโบรกเกอร์ และเตรียมนำหุ้นเข้าตลาด 2 บริษัท ภายในปี 2550
ผลพวงจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นอำนาจในค่ำคืนของวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้ เอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ที่ประะกาศตัวชัดว่าเป็นปรปักษ์กับระบอบทักษิณ มาตลอด 3 ปี เตรียมที่จะกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจอย่างเต็มตัว
ในต่างประเทศ "เอกยุทธ" มีชื่อเสียงโด่งดังในชื่อของ "จอร์จ ตัน" เขามีธุรกิจทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ โดยเป็นประธานกรรมการบริหาร เครือโอเรียลเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ และยังมีธุรกิจอยู่ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์
ในอีกบทบาทหนึ่ง เอกยุทธ ยังเป็นอดีตมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) และเป็น "นักเทคโอเวอร์" มือฉกาจ จนเพื่อนๆ ในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ให้เกียรติ เรียกเขาว่า "ไต่กอ" หรือ "พี่ใหญ่"
สำหรับบทบาทในประเทศไทย เอกยุทธ เคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย โดยเสนอความคิดเห็นผ่านเวบไซต์ส่วนตัว 2 แห่ง คือ "ไทยอินไซด์เดอร์ ดอทคอม" และ "เอกยุทธ ดอทคอม" มาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักในฐานะ "เซียนหุ้นพันล้าน" อีกคนในตลาด โดยล่าสุดเขาอ้างกับผู้สื่อข่าว กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 70% ในกองทุน "โกลบอล แอสเซ็ท" มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนแห่งนี้จัดตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ลงทุนในตลาดเงิน และตลาดหุ้นทั่วโลก
เอกยุทธ ยังอ้างด้วยว่า การเล่นหุ้นภายใต้ระบอบทักษิณ 4-5 ปีที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จ "ขี่หุ้นทักษิณ" ได้กำไรร่วมกับพรรคพวกกว่า 14,000 ล้านบาท เฉพาะส่วนตัวได้กำไรมาประมาณ 4,000 ล้านบาท
ท่ามกลางขั้วอำนาจเก่าสลาย เอกยุทธ มองว่า อาจจะทำให้การเล่นหุ้นยากขึ้น (เพราะไม่มีเจ้ามือมาทำหุ้นบิ๊กแคป) แต่เส้นทางความมั่งคั่งก็เปิดกว้างขึ้นเช่นกัน โดยล่าสุดเขาประกาศว่า จะเป็น "นักปั้นกิจการ" ด้วยการเข้า "เทคโอเวอร์" บริษัททั่วราชอาณาจักร...รวมถึงเป้าหมายการซื้อ "บริษัทหลักทรัพย์" เป็นของตัวเอง
เอกยุทธ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ส่งตัวแทนไปเจรจาซื้อโบรกเกอร์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยบอกเป็นนัยๆ ว่า โบรกเกอร์แห่งนี้เพิ่งจะขายหุ้นใหญ่ให้กับนักลงทุนต่างชาติ แต่มีฐานลูกค้ารายใหญ่น้อย
ซึ่งในวงการเชื่อว่า น่าจะเป็น "บล.ยูไนเต็ด" ที่กลุ่มทุนญี่ปุ่น พึ่งจะเข้ามาเทคโอเวอร์ไปจากกลุ่มว่องกุศลกิจ เมื่อไม่นานมานี้
พร้อมกันนี้ เอกยุทธ ยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อใบอนุญาตของ "บล.เอเพกซ์" จาก "บล.แอ๊ดคินซัน" ปัจจุบันมีอยู่ 5 สาขา แต่ขณะนี้ยังตกลงราคากันไม่ได้ โดยต้องการซื้อในราคา 200-300 ล้านบาท เท่านั้น
"ถ้าไม่ได้ราคานี้ก็คงจะรอสักพัก เชื่อว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นที่ซบเซาต่อเนื่องไปถึงปี 2550 อาจจะทำให้บริษัทหลักทรัพย์ 2-3 แห่งต้องการหาผู้ร่วมทุน"
เอกยุทธ วางแผนว่า หลังจากซื้อมาแล้วกลุ่มของตัวเองพร้อมที่จะใส่เงินทุนเข้าไปอีก 4-5 พันล้านบาท เพื่อให้บริษัทเข้มแข็ง โดยมั่นใจว่าฐานลูกค้าไม่เป็นปัญหา เนื่องจาก มีกองทุนของตัวเองชื่อ "โกลบอล แอสเซ็ท" มีขนาดสินทรัพย์ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันลงทุนในประเทศไทย ประมาณ 5-8% (ประมาณ 2.1-3.3 พันล้านบาท)
นอกจากนี้ส่วนตัวยังมีคอนเนคชั่นกับกองทุนในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างมาก
"วิธีการของผม อาจจะให้กองทุน 3-4 รายมาถือหุ้นร่วมกับเรา รายละ 10% จะได้มีออเดอร์ส่งเข้ามา แทนที่จะส่งให้ที่อื่น เพราะทุกวันนี้จะเล่นผ่านโบรกเกอร์สิงคโปร์เป็นส่วนใหญ่"
ในเบื้องต้นวางโครงสร้างรายได้เอาไว้แล้ว คือ จะมาจากรายย่อย 25-30% รายใหญ่ 30% ส่วนอีก 40% เป็นกองทุน โดยปัจจุบันมีกลุ่มเพื่อนๆ ที่มีวอลุ่มเทรดในระดับ 3-5 พันล้านบาทต่อเดือน หลายราย กลุ่มนี้ถ้าไปลงทุนโบรกไหนวอลุ่มจะพุ่งขึ้นทันที สำหรับเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการติด 1 ใน 3 ภายใน 2-3 ปี ด้วยขนาดมาร์เก็ตแชร์ ระดับ 7-8%
เอกยุทธ ยังฝากให้จับตาด้วยว่า นับจากนี้ไปอาจจะเห็นชื่อของเขาเข้าไป "เทคโอเวอร์" กิจการในตลาดหลักทรัพย์ หลายแห่ง
"การเทคโอเวอร์มีแน่ครับ ผมอยู่ในอาชีพนี้มา 20 ปี ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ ผมเข้าไปเทคโอเวอร์น่าจะร่วม 100 บริษัท ที่ผ่านมาก็ทำอยู่แต่ออกหน้าไม่ได้ คราวนี้ผมคงออกมาเอง"
ส่วนแนวทางนั้นจะเข้าไปซื้อบริษัทเน่าๆ เอาสินทรัพย์มาแยกออก แล้วนำไปควบรวมกับบริษัทอื่น เอาของดีมาใส่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จากนั้นก็ "แบล็คดอร์ ลิสติ้ง" (เข้าตลาดหุ้นทางอ้อม) ซึ่งไซส์ที่สนใจจะขนาด 3-5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เอกยุทธ ย้ำว่าธุรกิจที่ใส่เข้าไปใหม่นั้นจะต้องมีคุณภาพ เนื่องจากเราไม่ได้ขายขาด ส่วนใหญ่ยังถือ 20-30% ในพอร์ตลงทุน แต่ให้มืออาชีพเข้าไปบริหารโดยตนเองจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในรายละเอียด แต่ต้องทำกำไรให้ได้ ไม่งั้นปลดออก
"ตอนนี้ถ้ามีธุรกิจอะไรดีๆ เราเอาหมด อยู่ที่ว่าราคาและโอกาสเท่านั้น"
เอกยุทธ ยังบอกด้วยว่า ในปี 2550 จะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น 2 บริษัท โดยบริษัทแรกทำอุตสาหกรรมก่อสร้าง มูลค่าธุรกิจ 4-5 พันล้านบาท ตอนนี้เข้าไปถือหุ้นแล้ว 80% อีก 20% เป็นทีมบริหาร และวิศวกร
"บริษัทนี้เจ้าของเก่าเขาใช้เงินผิดประเภทเราก็เลยได้มา ตอนนี้มีที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว ทำตัวเลขแล้ว จะสรุปสิ้นในปีนี้ ประมาณต้นปีหน้าจะนำเข้าตลาด บริษัทนี้มีงานล่วงหน้าแล้ว 4-5 ปี มีกำไรต่อปี ประมาณ 600-700 ล้านบาท ช่วงแรกเราจะลดกำไรเหลือ 200-300 ล้านบาท ไม่งั้นพอเข้าตลาดไปก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น เข้ามาแล้วต้องสร้างให้มันขึ้นไป เราจะปล่อยมุขหมดทีเดียวไม่ได้ ต้องค่อยๆ ทยอย"
อีกบริษัทจะทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีไร้สาย ไวร์เลส-บรอดแบนด์ บริษัทนี้ถือหุ้นอยู่ 41% และพรรคพวกถืออยู่ 15% (รวมกัน 56%)
"ความจริงสามารถจดทะเบียนในอังกฤษได้ แต่เราอยากดึงเข้าตลาดหุ้นไทย แต่ก็ต้องดูทิศทางลม เพราะปีหน้าคาดว่าตลาดหุ้นจะไม่ค่อยดี อาจจะเลื่อนไปเข้าปี 2551 แทน"
เอกยุทธ กล่าวถึงกลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งว่า ไฮไลต์จริงๆ ของการเทคโอเวอร์อยู่ที่เทคนิคการนำเงินออกมาให้ได้
"Cash Out นี่สำคัญ นักธุรกิจที่ชนะต้อง Cash Out เป็น ไม่ใช่ถือหุ้นไว้เพื่อความเป็นเจ้าของ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผมจะขายบริษัทที่ปั้นมากับมือ เพราะผมไม่ได้ถือไว้ให้ลูก อย่าลืมทุกธุรกิจมีวงจรของมัน ผมว่า ทักษิณ เก่งตรงที่เขา Cash Out เป็น ขายหุ้น SHIN ให้ เทมาเส็ก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับอำนาจก็เลยเป็นปัญหา"
เพื่อนๆ พี่ๆ ในที่นี้ คิดยังไงกันบ้างครับ กับประโยคในวรรคสุดท้ายที่ผมทำตัวหนาไว้