Thai VI

สามตัวนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไง

เพราะไปอ่านเอกสารตอนที่เกิดวิกฤติเศษษฐกิจไม่ได้กล่าวถึงPEแต่กล่าวROA กับROEประกอบไว้

ตกลงตัวไหนมันจะสะท้อนความชัดเจนมากกว่ากันใจตัวSET

เพิ่ม PEของตลาดไม่รวมบริษัทที่ขาดทุนหรือติดC
แต่ไม่มีการทำROAหรือROEรวมของตลาด
หรือแม้แต่ROAหรือROEของอุตสาหกรรมด้วย

น่าแปลกไม่ครับ

และยิ่งหลักของVIบ้างตัวที่จับได้ เน้นพวกROAหรือROEสูงๆๆ ด้วย

... สุภาษิต
   เตือนใจ
   ผู้ชายอย่างเราๆนะ........
  ว่า.......
  ดูช้างต้องดูหาง
  ดูนางต้องดูแม่
  แต่ให้แน่ๆต้องดูแม่ยาย


  ผมก็เป็นฝ่ายไปตีโพยตีพายแปลงเป็น.....
  ถ้ามองพีอีให้เหมือนน้อง
  ค่าอาโออีคงเหมือนแม่
  แต่ให้แน่ๆอย่าลืมมองอาโอเอของแม่ยาย

       
  คิดแล้วเขินๆ หยิบจับอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราว
  เห็นเป็นรูปร่างขึ้นมาในความรู้สึกว่า......

  ค่า PE ไม่ได้มีไว้ให้ตามหา
    เพราะว่ามันอยู่ใกล้ตัวเราทุกคน  
    เราสร้างมันขึ้นมาด้วยสิ่งที่เราทำลงไปในแต่ละวัน    

    สิ่งที่เราเลือกว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะให้กับมันเมื่อ
    วันปิดงบมาถึง."

    ^O-O^

ถ้าจำไม่ผิด มีถามกันบ่อย ตอบกันบ่อย ลองค้นหาจากกระทู้เก่าๆดู ผมว่ามีเพียบ

งานนี้ต้องขอทีมงาน
ช่วยทำเป็นกระทู้ที่ถามบ่อยได้ไหมเนี่ย
เพราะในนี้กระทู้ดีๆๆเริ่มหายไปอยู่หน้าหลังๆๆค้นยากครับ

เอาพีอีก่อนนะคับ พีอีจะเป็นตัวบอกคร่าวๆว่ามันแพงหรือถูก เพราะมันบอกว่าราคาหุ้นตอนนี้เป็นกี่เท่าของกำไร แต่มันบอกว่าบริษัทนี้ดีหรือไม่ดีไม่ได้เลยครับ กำไรที่เอามาคิดอาจจะทำได้แค่ครั้งเดียวในรอบห้าปี แล้วหลังจากนั้นร่วงลงตลอดก็ได้
roa คือกำไรของกิจการเทียบกับทรัพย์สิน ถ้ามันสูงๆแล้วยั่งยืนด้วย อันนี้ดี แล้วถ้าในอนาคตสามารถขยายกิจการ โดยที่ยังสามารถรักษา roa สูงๆได้อีก อันนี้ก็ดีมาก
roe คล้ายๆ roa แต่จะเป็นการดูกำไรเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น จะไม่เอาหนี้มาคิดด้วย
ถ้าเราดูสามตัวนี้แล้วดูข้อมูลเชิงคุณภาพอื่นๆประกอบ การลงทุนก็จะมีเหตุมีผล แล้วก็น่าจะทำกำไรได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของผู้จัดการกองทุนได้ครับ โดยเฉพาะคนที่พอร์ตยังไม่ใหญ่มากครับ