เมื่อเจ้าตลาดผ้าอ้อมเด็กพูดถึงตลาดผ้าอ้อม
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 29, 2006 2:45 pm
มามี่โพโค กับแผนสร้างแบรนด์และพัฒนาตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปในไทย แจง 2 ปีใช้สื่อประชาสัมพันธ์ครบวงจร ควบคู่การตลาดเชิงรุก ณ จุดขาย ส่งให้ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรวมมูลค่า 2,200 ล้านบาท รุกสื่อการขายและตลาดมากขึ้น หวังรักษาตำแหน่งผู้นำและพัฒนาสู่ตลาดสินค้าคุณภาพสำหรับเด็ก
นายยูคิฮิโร คิมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ-ชาร์ม
(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดและการสร้างแบรนด์ มามี่โพโค ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในไทยว่า มามี่โพโค เป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่พัฒนาเข้าสู่ตลาดประเทศไทยครั้งแรกในปี 2543 โดยวางตำแหน่งการตลาดไว้ที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพในระดับราคาที่สูงกว่าคู่แข่งขันรายอื่นในตลาดเล็กน้อย
แผนการใช้สื่อและสร้างแบรนด์ในระยะ 2 ปี เน้นหนักเรื่อง การทำตลาดผ่านสื่อโทรทัศน์ การแจกสินค้าตัวอย่าง และจัดรายการส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย เพื่อสร้างการรับรู้และยอมรับจากตลาด ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวถึงปัจจุบัน การทำตลาดในลักษณะดังกล่าวประสบความสำเร็จ
โดยมีดัชนีชี้วัดความสำเร็จจากสัดส่วนการตลาด ปัจจุบัน มามี่โพโค มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 30.5% รองลงมาเป็น แพมเพิร์ส 31.3% และฮักกี้ 14% จากมูลค่าตลาดรวมผ้าอ้อมสำเร็จรูป 2,200 ล้านบาท มีการเติบโตประ มาณ 12-13% แยกเป็นสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมและกลุ่มราคาประหยัดในส่วน 50:50 กลุ่มพรีเมี่ยมมีผู้ทำตลาดประมาณ 3 แบรนด์ ได้แก่ แพมเพิร์ส มามี่โพโค และฮักกี้ส์ ขณะที่กลุ่มราคาประหยัดมีผู้ทำตลาดมากกว่า 10 แบรนด์ อาทิ ดรายเพิร์ส เบบี้เลิฟ เพ็ทเพ็ท ฯลฯ
ตลาดผ้าอ้อม แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ เน้นคุณภาพ และเน้นราคาเป็นหลัก ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการทำตลาด ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องส่วนแบ่งการตลาดเป็นหลัก แต่ต้องการสร้างการยอมรับ และเพิ่มปะมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อม ให้ตลาดรวมขยายตัว ประมาณ 12-15% ตามมาด้วยวัตถุประสงค์ของการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้
จากการพัฒนาตลาดและสร้างแบรนด์เป็นระยะเวลา 2 ปี มีเกณฑ์ชี้วัดถึงการยอมรับในตัวสินค้า ประมาณ 80% อีก 50% ของตลาดเป็นการใช้ซ้ำ เป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพสินค้าเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
การแข่งขันในตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปมีแนวโน้มสูงขึ้นมาก และในอนาคตจะแรงมากขึ้น เพราะธรรมชาติสินค้าของผ้าอ้อมที่ใช้แล้วทิ้ง ทำให้ตลาดมีวงจรที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุผู้ใช้แต่ละช่วง ประมาณช่วงละ 3 ปี (ทารกแรกเกิด-3 ปี) ดังนั้นการทำตลาดก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามช่วงอายุของตลาดด้วย ด้วยเหตุนี้หลักในการทำตลาดและส่งเสริมการขายคือ ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าไปใช้ และยังคงใช้อย่างต่อเนื่อง
หน้าที่สำคัญของเราคือ สืบหาความต้องการของบรรดาคุณแม่ให้ได้ว่ามีอะไรบ้าง ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ต้องการประสิทธิภาพในการซึมซับ และไม่รั่วซึม เป็นหลัก ดังนั้นต้องพัฒนาประสิทธิภาพสินค้าให้ตอบสนองความต้องการส่วนนี้ให้ได้ ซึ่งแต่ละแบรนด์ที่อยู่ในตลาดจะมีความจงรักภักดีในตราสินค้า (Loyalty) แตกต่างกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานภาวะ ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปว่า ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาได้เป็นอย่างดี ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี ขณะที่ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่มีมูลค่าตลาดประมาณ 100-150 ล้านบาท
นายยูคิฮิโร คิมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ-ชาร์ม
(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดและการสร้างแบรนด์ มามี่โพโค ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในไทยว่า มามี่โพโค เป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่พัฒนาเข้าสู่ตลาดประเทศไทยครั้งแรกในปี 2543 โดยวางตำแหน่งการตลาดไว้ที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพในระดับราคาที่สูงกว่าคู่แข่งขันรายอื่นในตลาดเล็กน้อย
แผนการใช้สื่อและสร้างแบรนด์ในระยะ 2 ปี เน้นหนักเรื่อง การทำตลาดผ่านสื่อโทรทัศน์ การแจกสินค้าตัวอย่าง และจัดรายการส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย เพื่อสร้างการรับรู้และยอมรับจากตลาด ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวถึงปัจจุบัน การทำตลาดในลักษณะดังกล่าวประสบความสำเร็จ
โดยมีดัชนีชี้วัดความสำเร็จจากสัดส่วนการตลาด ปัจจุบัน มามี่โพโค มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 30.5% รองลงมาเป็น แพมเพิร์ส 31.3% และฮักกี้ 14% จากมูลค่าตลาดรวมผ้าอ้อมสำเร็จรูป 2,200 ล้านบาท มีการเติบโตประ มาณ 12-13% แยกเป็นสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมและกลุ่มราคาประหยัดในส่วน 50:50 กลุ่มพรีเมี่ยมมีผู้ทำตลาดประมาณ 3 แบรนด์ ได้แก่ แพมเพิร์ส มามี่โพโค และฮักกี้ส์ ขณะที่กลุ่มราคาประหยัดมีผู้ทำตลาดมากกว่า 10 แบรนด์ อาทิ ดรายเพิร์ส เบบี้เลิฟ เพ็ทเพ็ท ฯลฯ
ตลาดผ้าอ้อม แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ เน้นคุณภาพ และเน้นราคาเป็นหลัก ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการทำตลาด ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องส่วนแบ่งการตลาดเป็นหลัก แต่ต้องการสร้างการยอมรับ และเพิ่มปะมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อม ให้ตลาดรวมขยายตัว ประมาณ 12-15% ตามมาด้วยวัตถุประสงค์ของการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้
จากการพัฒนาตลาดและสร้างแบรนด์เป็นระยะเวลา 2 ปี มีเกณฑ์ชี้วัดถึงการยอมรับในตัวสินค้า ประมาณ 80% อีก 50% ของตลาดเป็นการใช้ซ้ำ เป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพสินค้าเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
การแข่งขันในตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปมีแนวโน้มสูงขึ้นมาก และในอนาคตจะแรงมากขึ้น เพราะธรรมชาติสินค้าของผ้าอ้อมที่ใช้แล้วทิ้ง ทำให้ตลาดมีวงจรที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุผู้ใช้แต่ละช่วง ประมาณช่วงละ 3 ปี (ทารกแรกเกิด-3 ปี) ดังนั้นการทำตลาดก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามช่วงอายุของตลาดด้วย ด้วยเหตุนี้หลักในการทำตลาดและส่งเสริมการขายคือ ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าไปใช้ และยังคงใช้อย่างต่อเนื่อง
หน้าที่สำคัญของเราคือ สืบหาความต้องการของบรรดาคุณแม่ให้ได้ว่ามีอะไรบ้าง ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ต้องการประสิทธิภาพในการซึมซับ และไม่รั่วซึม เป็นหลัก ดังนั้นต้องพัฒนาประสิทธิภาพสินค้าให้ตอบสนองความต้องการส่วนนี้ให้ได้ ซึ่งแต่ละแบรนด์ที่อยู่ในตลาดจะมีความจงรักภักดีในตราสินค้า (Loyalty) แตกต่างกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานภาวะ ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปว่า ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาได้เป็นอย่างดี ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี ขณะที่ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่มีมูลค่าตลาดประมาณ 100-150 ล้านบาท