Thai VI

บอร์ด HMPRO มีมติเพิ่มทุน 960.80 ล้านหุ้น เสนอขายผถห.เดิม 1: 1 ราคา 1 บาท/รองรับ ESOP

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็น
เตอร์ จำกัด (มหาชน)(HMPRO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีพิจารณา
อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 960,803,219  บาทจากทุนจด
ทะเบียนเดิม 977,343,641 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 1,938,146,860 บาท  
โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 960,803,219 หุ้น  มูลค่าหุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นจัด
สรรหุ้นสามัญใหม่จำนวน  954,638,219  หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัด
ส่วน (Rights Issue) ซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นณ วันที่ 10
พฤศจิกายน 2549  ในอัตราส่วนการจองซื้อ 1 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ใน
ราคาเสนอขายหุ้นละ 1 บาท  และผู้ถือหุ้นเดิมอาจแสดงความจำนงที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม
ทุนนอกเหนือจากสิทธิที่ได้รับจัดสรรในราคาเสนอขายเท่ากัน
และจัดสรรหุ้นสามัญใหม่ไว้รองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่
เสนอขายแก่พนักงานของบริษัท (ESOP-W1 และ ESOP-W2)  ดังนี้ 3.2.1  จำนวน
6,100,000 หุ้น สำรองไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่เสนอขาย
แก่พนักงานของบริษัทครั้งที่ 1/2547 (ESOP-W1)  ที่จะมีการปรับสิทธิตามที่ระบุไว้
ในหนังสือชี้ชวน 3.2.2  จำนวน   65,000 หุ้น   สำรองไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบ
สำคัญแสดงสิทธิที่เสนอขายแก่พนักงานของบริษัทครั้งที่ 1/2548 (ESOP-W2)  ที่จะ
มีการปรับสิทธิตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน และการใช้เงินทุนในส่วนที่เพิ่มเพื่อใช้
ในการขยายสาขาของบริษัท  และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และ
ประโยชน์ที่บริษัทจะพึงได้รับจากการเพิ่มทุน/จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนได้แก่ เพิ่มสภาพ
คล่องให้กับบริษัท    และมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการขยายสาขา
ทั้งนี้  อนุมัติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2549 ในวันที่ 31
ตุลาคม 2549เวลา 10.00 น. ณ. ห้องสาธร 1 เลขที่ 1 อาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี ชั้น 4  
ถนนสาทรใต้แขวงทุ่งมหาเมฆ  เขตสาทร  กรุงเทพมหานคร    เพื่อพิจารณาเรื่อง
ต่าง ๆ ตามระเบียบวาระการประชุมดังต่อไปนี้
วาระที่ 1 รับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2549
วาระที่ 2 พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน  960,803,219  บาท จากทุนจดทะเบียน
       เดิม  977,343,641 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน  1,938,146,860  บาท
       โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 960,803,219  หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท
       พร้อมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 4. เรื่องทุนจดทะเบียนเพื่อ
ให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน
วาระที่ 3 พิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right
Offering)ตามสัดส่วนการถือหุ้นและการสำรองเพิ่มเติมสำหรับการใช้สิทธิตามใบ
สำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของพนักงาน ( ESOP-W1 , ESOP-W2)
วาระที่ 4 พิจารณาเรื่องอื่น ๆ (ถ้ามี)

     ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อกำหนดสิทธิของผู้
ถือหุ้นในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2549 ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม
2549เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมจะแล้วเสร็จ  และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียน
พักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 เวลา 12.00 น. และกำหนดวันจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน
ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2549

ชวยเลยเพิ่งซื้อตอนเช้า 8.3 บาท

แล้ว CAWOW ไม่สนเพิ่มทุนบ้างหรือ

หุ้น HMPRO ขึ้นมาขนาดนี้................................

แต่เพิ่มทุนหุ้นละบาท? ................................

แปลว่า................................

ใครซื้อนี่อยากรู้จัง ซื้อลูกเดียวเลยนะ ทิ้งมาเถอะซื้อเรียบ อยากรู้จังจะมีแรงซื้อถึงไหน

อุ้ก จุกอก กอดไว้เต็มปอดเลย

พี่เจย์โชว แปลว่าไรอะครับ ขยายความให้ฟังหน่อยจิ

แปลว่า

1. หุ้นใหม่ราคาถูกจัง
2. หุ้นใหม่เข้า ราคาน่าจะลงเยอะ

ดังนั้น

ถ้าคิดจะถือ hmpro จะต้องพร้อมเพิ่มทุน
ถ้าไม่คิดจะเพิ่มทุน ต้องขายทิ้งสถานเดียว

เพิ่มทุนแบบไม่อิงราคาหุ้นแบบนี้
ใครไม่จ่ายหุ้นก็ตกไปเท่ากับราคาเฉลี่ยหุ้นเพิ่มทุนกับหุ้นเก่า

อย่าง 8 บาท หลัง XR ก็เหลือ (8+1)/2 = 4.5 บาท
ใครจ่าย 1 บาท ได้หุ้นเพิ่มเสมอตัว ใครไม่จ่าย เจ๊งทันที 3.5 บาท
สรุปคุณจ่ายค่าคุ้มครองราคาหุ้น 1 บาท เพื่อไม่ให้เจ๊ง 3.5 บาท

เป็นเครื่องการันตีอย่างหนึ่งว่าได้เงินครบชัวร์ๆ

N-PARK ก็เพิ่มทุนด้วยวิธีนี้เหมือนกัน บริษัทได้เงินไปเยอะครับ ตามปริมาณจำนวนหุ้นเดิม

เพิ่มทุนแบบอิงราคาหุ้น อย่าง MINT ถือว่ารักษาน้ำใจผู้ถือหุ้นมากกว่า ไม่เกิด dilute มากนัก ถ้าเก่งกล้าสามารถจริง ควร PP ในราคาสูงกว่าตลาดครับ หุ้นก็จะขึ้นตามไปด้วย

tt เขียน:ใครซื้อนี่อยากรู้จัง ซื้อลูกเดียวเลยนะ ทิ้งมาเถอะซื้อเรียบ อยากรู้จังจะมีแรงซื้อถึงไหน

ช๊อตหุ้นไปก่อน  เอาส่วนต่างมาซื้อเพิ่มทุน ?

ถามพี่เจย์ ถ้าผมมี 50000 หุ้น ราคา 8.3 ต้องซ๊อดไปก่อนหรือเปล่าพี่ ผมพอมีเงินเพิ่มทุนหรือขายไปก่อนค่อยซื้อวันที่หุ้นเพิ่มทุนเข้า

ทิ้งไปแล้วครับ

เวลาเป็นหุ้นตัวเองนี่หัวตื้อๆไงก็ไม่รู้ พอเห็นพี่เจย์โชวว่าเลยได้สติ

เฮ้อ ต้องไปหาหุ้นใหม่อีกแล้ว ทำกันด้าย

โศกนาฏกรรม ค้าปลีก

ประเดิมด้วย โฮมโปร ก่อน

ที่ว่าหุ้นค้าปลีก กระแสเงินสดดี

เห็นท่าจะดีไม่พอกับความต้องการเงินทุนมั้งครับ

เห็นแต่ละตัวเพิ่มทุนกันจัง ไม่ว่า SE-ED HMPRO IT MINT MINOR

ไม่ขายหุ้น ก็แจกวอร์

อ่านบทวิเคราะห์บอกว่าจะออก พร๊อตเพอร์ตี้ฟันต์ นี่ทำไมมาเพิ่มทุนหว่า

หนี้เค้าเยอะมั้งครับ หนี้เพิ่มทุกปีเลย
Debt to Equity Ratio ปาเข้าไป 3 เท่ากว่าแล้ว
หากต้องการเงินทุนเพิ่ม เพื่อขยายกิจการอย่างรวดเร็ว
คงจำเป็นจริงๆที่ต้องเพิ่มทุน
ถ้ายังรักยังชอบ คงต้องเกตามไปดูครับ
ถ้าไม่รักไม่ชอบแล้ว ก็ต้องหมอบโยนไพ่ทิ้ง
ความเห็นส่วนตัว เป็นการบริหารที่ค่อนข้าง Aggressive ครับ
ใช้ Leverage ค่อนข้างสูง ถึงแม้กำไรจะโตทุกปี
นี่คงต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเงินทุน ไม่ให้ Leverage สูงจนเกินไป
คงไม่เกี่ยวกับธรรมาภิบาล แต่เป็น Vision และ Management Strategy
ของผู้บริหารที่เลือกบริหารแบบนี้มากกว่า
(แต่ทำร้ายจิตใจรายย่อยจังแฮะ)

ปล. ถ้าเรายังมั่นใจในตัวธุรกิจ แล้วเพิ่มทุนตามก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการ Diluted ครับ

Walmart นี่สโลแกนเขาไม่ค่อยดีกับหุ้นของเขาเลยนะครับ

Walmart - Always low price  :lol:

โมเดิร์นเทรดกำไรมันน้อยน่ะครับ ในช่วง expansion ถ้าไม่เพิ่มทุนก็คงขยายสาขาอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดคู่แข่งไม่ได้

ยังดีกว่าสโลแกนค้าปลีกเมืองไทยครับ ท่านแม่ทัพ

"ไม่ต้องเช็ค ของเราถูกกว่า"

ผมเลยชอบธุรกิจซื้อมาขายไป  

เพิ่มยอดขาย  เพิ่มกำไร  เพิ่ม FCF   ได้โดยไม่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่ม

ผมขอคิดเรื่องการคิดราคาของ HMPRO หน่่อยครับ

หุ้นเก่าเมื่อวานราคา 8.30 บาท หุ้นเพิ่มใหม่ราคา 1 บาท ดังนั้น ราคาสุดท้ายของหุ้น คือ  ราคารวม/จำนวนหุ้นรวม = (8.30+1)/(1+1) = 4.65  ดูแล้วก็เข้าใจดีครับ

แต่ผมสงสัยคือ หุ้นเก่า 8.30 บาท เป็นราคาที่ให้กับราคาทางบัญชีเพียง 2.74 บาท (คือ PB=3.03)  แต่ราคาหุ้นเพิ่มใหม่ที่เรานำไปใช้คำนวณราคาสุดท้ายของหุ้น คือ 1 บาทเป็นราคาทางบัญชี (คือ PB=1)  

ถ้าเราให้ PB ของหุ้นใหม่ 1 บาทเป็น 3.03 เหมือนเดิม  ราคาสุดท้ายจะเป็น (8.30+3.03x1)/(1+1)  = 5.67

ราคาจริงๆขึ้นกับตลาด ไม่ทราบว่าจะใกล้ตัวไหนมากกว่ากันครับ  ในตอนแรกคงใกล้ตัวแรกมากกว่า เพราะทุกคนคำนวณแบบนี้เหมือนกันหมดเลยครับ

[quote="nanakorn"]ผมขอคิดเรื่องการคิดราคาของ HMPRO หน่่อยครับ

หุ้นเก่าเมื่อวานราคา 8.30 บาท หุ้นเพิ่มใหม่ราคา 1 บาท ดังนั้น ราคาสุดท้ายของหุ้น คือ

อืมมม        
อย่างนี้ไม่รู้เรียก inside รึเปล่า  คนที่ซื้อวันนี้ โดน Hanging man เต็มๆ
แถม  Value  181 ล้าน     เยอะสุดในรอบ..........บ เกินกว่า 2 ปี เลยเนี่ย

ยังโชคดีที่ประกาศเพิ่มทุนช่วงบ่าย
เลยได้ราคา7.50บาททุกออเดอร์เลย

ต้องรอดูกันต่อไปว่า หลังเพิ่มทุนแล้วกำไรยังจะเติบโตดีอยู่หรือเปล่า
โดยส่วนตัวผมยังเชื่อมั่นในทีมบริหารครับ

ผมว่าโมเดินเทรดแนวนี้แข่งขันกันน่าดูนะครับ
ที่ขอนแก่น โกลบอลเฮาส์นี่มาแรงเลยครับ
เขาเล่นแนวขายทุกอย่างเกี่ยวกับสร้างบ้าน
เห็นว่าไปเปิดแล้วที่เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด
ผมว่าถ้าเข้าตลาดเมื่อไรคงสนุกครับ

แต่ที่ผมกลัว ก็คือกิจการพวกนี้ไม่ได้ใช้กันทุกวันนะครับ

naris เขียน: แต่ถ้าเราคำนวนจากกำไรที่หามาได้คงตัว หารด้วยหุ้นทั้งหมด(รวมเพิ่มทุนแล้ว) เท่ากับเราได้หุ้นที่มี peสูงกว่าเดิม(ถ้าคำนวนจากราคาข้างบน) เพราะยังไงเราก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 บาท สำหรับกำไรเดิม ถ้าจะให้ pe เท่าเดิมต้องเป็นราคา=4.3 บาทครับ

แต่ผมว่าเดายากครับที่ว่าราคาจะสูงหรือต่ำกว่าที่จะเป็น เพราะปีนี้ก็เห็นมาทั้ง2กรณีแล้ว :lol:

ถ้าเราคิดถึงกำไรใหม่ด้วยล่ะครับ ถ้าเราคิดว่า 1 บาทที่จ่ายเพิ่มไป จะทำให้กำไรเพิ่มด้วย (ถ้าเปรียบกับ Book แล้ว 1 บาทมากอยู่เหมือนกันครับ) โดยอาจจะสมมุติให้ RoA เท่าเดิม  แล้วคำนวณโดยตั้ง PE เท่าเดิม มึนดีเหมือนกันครับ  

กระเหรี่ยงแถวบ้าน เคยบอกไว้ว่า







เวลาที่ผู้บริหารทั่วไปชอบเพิ่มทุนมากที่สุดคือ







เวลาที่วงจรธุรกิจกำลังPEAK





ไม่รู้จะเชื่อดีมั๊ยเนี่ย

nanakorn เขียน:

ถ้าเราคิดถึงกำไรใหม่ด้วยล่ะครับ ถ้าเราคิดว่า 1 บาทที่จ่ายเพิ่มไป จะทำให้กำไรเพิ่มด้วย (ถ้าเปรียบกับ Book แล้ว 1 บาทมากอยู่เหมือนกันครับ) โดยอาจจะสมมุติให้ RoA เท่าเดิม

HI.ผมเอง เขียน:เวลาที่ผู้บริหารทั่วไปชอบเพิ่มทุนมากที่สุดคือ  เวลาที่วงจรธุรกิจกำลังPEAK  ไม่รู้จะเชื่อดีมั๊ยเนี่ย

ถ้าเป็นการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP  อาจจะมีส่วนว่าธุรกิจกำลังดีสุด  เพราะเป็นการขายในราคาใกล้ราคาในตลาด  ซึ่งก็น่าจะได้ราคาที่ดีสุด

แต่ในกรณีนี้  เป็นการขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม  ในราคาพาร์  ยังไงก็ขายหมดครับ  ทุกคนที่ถือหุ้นอยู่ก็ต้องซื้อหุ้นใหม่ครับ  ดังนั้นผมจึงว่าคงสรุปไม่ได้