Thai VI

สวัสดีครับ นานๆมาที่ วันนี้ผมขอคำชี้แนะเรื่องPico หน่อย คือผมทำmodel ของหุ้นตัวนี้แล้วมูลค่าออกมาสูงมาก (อาจถึง 5.3บาท) ก็เลยไม่รู้ว่าตกหล่นตรงไหนหรือเปล่า กรุณาท่านที่รู้เรื่องในเชิงคุณภาพ (ไม่ใช่ตัวเลข) มาเล่าให้ฟังกันหน่อย เผื่อพวกเราจะได้ซื้อหุ้นถูกกัน

เท่าที่ผมรู้คือ
1 กิจการเติบโตดี ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต
ปี          03     04     05     06 3Q only
ยอดขาย 449   642   720   770
กำไร      30     41     42     53


2 รักษามาจิ้นได้ดีสมำเสมอ คือไม่ต้องตัดราคาเพื่อการแข่งขันในระดับที่รุนแรงเกินไป ธุรกิจมีระดับการ ซื้อซ้ำ (repeat purchase) อยู่ในระดับปานกลาง
(ดูตารางประกอบ)
-   Gross Margin Net Income
Q1 2003  24% 2%
Q2 2003 25% 7%
Q3 2003 28% 6%
Q4 2003 33% 10%
Q1 2004 28% 7%
Q2 2004 24% 7%
Q3 2004 26% 4%
Q4 2004 30% 8%
Q1 2005 28% 7%
Q2 2005 23% 7%
Q3 2005 21% -5%
Q4 2005 30% 8%
Q1 2006 25% 7%
Q2 2006 23% 7%
Q3 2006 25% 6%

3 Operating Cashflow เป็นบวก ถึงแม้จะโตอย่างรวดเร็ว
Year                        2003    2004    2005    2006
Net Income             30     41     41     53
Operatign Cash Flow  36     2       70     52
Free Cashflow           30    -4.7     59     22

4 Investments หลักของธูรกิจอยู่ใน working capital (mostly customer financing) ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่หมุนเร็ว แถมยังดีลกับลค. รายใหญ่ โอกาศที่ลค.จะเจ๊ง แล้วปิดหนีต่ำ

5 ไม่มีหนี้ (ตามสไตล์value investor) Cash เพียบ เงินสด/ต่อหุ้น0.78บาท ต่อราคา 3.30 บาท

ผมให้ ยอดขายของ Picoโต10% ไปอีก 5ปี จากนั้นอัตราการเติบโตก็ตกลงมาอยู่ที่5% (เท่าๆกับประเทศไทย) 10%ดูแล้วไม่ใช่เรื่องยากดูจากผลงานในอดีต (picoโต 19%ต่อปี ใน4 ปีที่ผ่านมา) และกระแสการใช้event marketing ในปัจจุบัน
ส่วนอัตรากำไร ผมให้ Gross margin 25%, Net margin 6%
ส่วน Discount Rate ผมให้ 15.5% เป็นอย่างต่ำ มูลค่าแท้จริงอยู่ที่ 5.30บาทครับ

ใครมีความรู้เพิ่มเติมของ pico ก็มาเล่าให้ฟังกันนะครับ

ขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมถือตัวนี้อยู่ด้วย ผมมีอยู่มากกว่า20% ในPort และมีต้นทุนอยู่ที่ 2.08 บาทครับ

คำถามคือ ทำอย่างไรให้โตได้ 10% ในตลอด 5 ปีและ 5% ต่อๆไปโดยไม่สะดุดครับ

ตั้งแต่เข้ามา แตก par ไปรอบนึงแล้วครับ
ราคาขึ้นมากกว่า 150 % แล้วครับ
ผมมีอยู่หน่อยนึง

เหตุที่รายได้สูงเนื่องจากการเพิ่มสินค้า คือ พิพิธภัณฑ์ ซึ่งเดิมทีแล้ว PICO ถนัดเฉพาะการสร้าง booth และ exhibition โดยเฉพาะงานเกี่ยวกับรถยนต์ หัลงจากเข้าตลาดก้เริ่มขยับงานเกี่ยวกับ event นอกสถานที่ โดยลูกค้าใหญ่ยังมาจากค่ายรถยนต์ ต่อมาเพิ่มงานด้านสร้างพิพิธภัณฑ์ โดยได้งานใหญ่ของภาครัฐ ในปีนี้ยังมีการรับรู้รายได้สูงพอสมควร น่าจะเคิบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% แต่ในปีหน้า ตอนนี้ยังมีคำถามอยู่ครับ
งานด้าน Booth&Exhibition คงยังคงต้องแข่งขันกับรายใหม่ๆที่เข้ามามากขึ้น
งานด้านพิพิธภัณฑ์ใหม่ๆ คงไม่มากนัก
งาน events ใหญ่ๆ คงต้องขึ้นอยู่กับ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
สรุปว่า ปีหน้า คงจะลำบากพอสมควร กำไรที่ได้คงต้องน้อยลง หากยังต้องการรักษาระดับรายได้ให้คงที่ หรือมากขึ้น เป็นการบ้านที่ท้าทายผู้บริหารมากทีเดียวครับ...

โฆษณา-อีเวนท์ภาครัฐเดี้ยง ธุรกิจป้ายคอตกงบเลือกตั้งสูญ

26 กันยายน 2549 11:07 น.
ผลพ่วงคณะปฏิรูปฯยึดอำนาจ วงการโฆษณา-อีเวนท์จับตารัฐบาลรักษาการ ระบุปีหน้างบภาครัฐหดตัว คาดเม็ดเงินโฆษณาหายจากระบบ 2 พันล้าน ด้านธุรกิจอีเวนท์ประเมินงบหน่วยรัฐวูบ 1 พันล้าน ป้ายโฆษณารับผลกระทบ พรรคการเมืองยกเลิกจองพื้นที่ ชวดงบเลือกตั้งปลายปี


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ลอกมาให้ดู  ไม่confirm นะครับ

จะรอดูไว้ห่างๆครับ ไว้พิจารณา

jaychou เขียน:คำถามคือ ทำอย่างไรให้โตได้ 10% ในตลอด 5 ปีและ 5% ต่อๆไปโดยไม่สะดุดครับ

แบบนี้ถามง่ายแต่ตอบยากนะพี่เจ

ไม่แน่นอนหรอกครับ ว่าจะโต 10% ผมดูจากแนวโน้มการเติบโตของแต่ละส่วนธุรกิจในอดีตหน่ะครับ

Growth Rate 2,004 2,005 LTM 2006
Exhibition     1%   -11%   13%
Event Mkt     96%   18%   24%
Museum       64%  73%   96%  
Printing         48%   -14%   66%
Other           2527%  60%   29%
Core Revenue 43%  12%   33%
แล้วก็อย่างที่บอก ธุรกิจอีเวน มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เป็นทีเป็นที่นิยมก็เพราะเป็นเครื่องมือการตลาดที่ได้ผลแบบจับต้องได้จริงๆ บริษัทหลายๆแห่งจึงเลือกใช้
ส่วนที่โต5%นั้น ผมแค่ให้โตตามเศรฐกิจของประเทศไทยเท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้าจะตอบคำถามให้ชัดๆ ก็ขอตอบด้วยวิธีนี้ละกัน ผมอยากให้ดูRangeของมูลค่าแท้จริง ที่แปรผกผันไปกับอัตราการเติบโต แล้วอยากให้พวกเรามาFocusกันที่ความความสามารถในการเติบโตของบริษัทกัน

ถ้าธุรกิจไม่โตเลยตลอดไป มูลค่าแท้จริงจะอยู่ที่ 2.87บาท จะมองราคานี้ว่าเป็นfloorก็ได้
ส่วนราคาปัจจุบัน ที่3.4บาท ถ้าคำนวนย้อนกลับ จะแปลว่าตลาดคาดว่าหุ้นตัวนี้จะโต 3%:2% (ระยะสั้น:ระยะยาว) ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำมาก ผมว่านะ
ถ้าโต 5%:2% มูลค่าแท้จริงอยู่ที่ 3.86บาท
ถ้าโต 10%:5% (ที่คำนวนตอนแรก) จะอยู่ที่ 5.46บาท
ทีนี้ก้ขึ้นอยู่กับjudgementของเราว่า ความสามารถในการเติบโตของธุรกิจนี้จะเป็นเท่าไหร่
ใครมีinputเพิ่มเติมก็บอกกันเข้ามานะครับ ผมจะได้เอาเข้าไปประกอบในmodel แล้วเอามา update ให้ดูกัน

yoyo เขียน: แบบนี้ถามง่ายแต่ตอบยากนะพี่เจ

สำหรับบางบริษัท ไม่ยากเลยครับ ก็แค่บอกว่ามีแผนขยายสาขาหรือขยายกำลังผลิตเท่านั้นเท่านี้ นั่นคือ growth company ตัวจริงเสียงจริง ดูตัวอย่างได้จาก PTTEP ในหนังสือของท่านแม่ทัพครับ

ส่วนการดูอดีตแล้วเอามาทำนายอนาคต บางท่านเรียกว่าขับรถโดยดูกระจกมองหลังครับ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าธุรกิจมันเริ่มตันหรือยัง ดูง่ายๆ ก็ชาเขียวไงครับ ถ้าเอา Growth ปีก่อนๆมาคิดไปไกลๆ จะได้มูลค่าหุ้นสูงมากๆ แต่....

ผมคิดว่าถ้าไม่มีแผนชัดเจนเรื่องการเติบโต จะเอา growth มาคิด NPV ก็กระไรอยู่นะ มันทำให้มูลค่าต่างกันมาก อย่างที่พี่ปาล์มลองแสดงให้ดูใหม่ครับ

ผมถือ PTTEP ทุนสองหลักต้นๆ แต่ปริมาณน้อยมากครับ พูดไปคงไม่มีผลต่อราคาหุ้น

Mr. Boo เขียน:

ลอกมาให้ดู

ปิโก  ได้งานพืชสวนโลก
ปีนี้เลยโอเค
ปีหน้าว่ากันใหม่
:lol:

พรรคพวกเล่าว่า  PICO พยามหลีกเลี่ยง พอร์ตไม่ค่อยมีเอี่ยวกับ งบรัฐบาลมากเท่าไหร่ ???!!! ไม่เหมือนอีกรายหนึ่ง ???!!!


cmo  ????

สำหรับบางบริษัท ไม่ยากเลยครับ ก็แค่บอกว่ามีแผนขยายสาขาหรือขยายกำลังผลิตเท่านั้นเท่านี้ นั่นคือ growth company ตัวจริงเสียงจริง ดูตัวอย่างได้จาก PTTEP ในหนังสือของท่านแม่ทัพครับ

บางบริษัทจริงๆครับ ในตลาดหุ้นจะมีกี่บริษัทเชียวละพี่เจย์ที่ให้ข้อมูลแผนอนาคตขนาด PTTEP ส่วนใหญ่ก็เจอแต่ที่ผู้บริหารออกมาพูดล่วงหน้า 1-2 ปี (หรือจะเอาแบบ D1 ดีครับ วางแผนไว้ยาวเลย  :lol: )

มีหุ้นตัวไหนที่มีแผนการเติบโตที่เห็นเป็นรูปธรรมบ้าง ลอง list กันออกมาดูมั้ยครับ  

พวก retail น่าจะมีหลายตัวนะครับ เพราะทำแผนการเติบโตง่ายสุดแล้ว

เกือบลืม...

สผ.ปรับแผนการเติบโตใหม่เนื่องจากความล่าช้าในโครงการอาทิตย์แล้วนะครับ ดังนั้นแผนการเติบโตจะไม่เหมือนในหนังสือเปี๊ยบ มูลค่าหุ้นที่วัดได้ก็จะไม่เท่าเดิมไปด้วย  

[quote="สุมาอี้"]เกือบลืม...

สผ.ปรับแผนการเติบโตใหม่เนื่องจากความล่าช้าในโครงการอาทิตย์แล้วนะครับ ดังนั้นแผนการเติบโตจะไม่เหมือนในหนังสือเปี๊ยบ มูลค่าหุ้นที่วัดได้ก็จะไม่เท่าเดิมไปด้วย