แอบก๊อปปี้วิธีคิดราคาหุ้นพี่ YOYO มา แบบนี้ใช้ได้ไหมครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 24, 2006 10:33 pm
อ้างอิงถึงข่าวดังต่อไปนี้ครับ
----------------------------------------------------------------------
*SE-ED ปรับลดเป้ารายได้-อัตรากำไรสุทธิปีนี้ จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง
Source - IQ Biz
Tuesday, 19 September 2006 16:01
นายทนง โชติสรยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED) บริษัทได้ปรับประมาณรายได้ในปีนี้ลงเหลือ 3,660-3,880 ล้านบาท จากเป้าเดิมที่คาดไว้ที่ 3,800-4,000 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการเมือง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว
ขณะที่ได้ปรับลดอัตรากำไรสุทธิลงด้วยเช่นกัน จากเดิม 5.5-6% มาอยู่ที่ 4.5-5% ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของระบบ ซึ่งเป็นการทยอยลงทุนตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา จำนวน 40 ล้านบาท การทยอยการลงทุนดังกล่าวจะเห็นผลว่ามีการลดค่าใช้จ่ายได้ในปีหน้า
อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทมีสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น การจำหน่ายเสื้อนาโนเฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี สินค้า non-book เข้ามา ทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มเข้ามา
"การที่เรามีสินค้าทั้ง non-book หนังสือในหลวงและการจำหน่ายเสื้อ ช่วยสร้างรายได้ให้ดีขึ้น ซึ่งหากไม่มีอาจทำให้รายได้เราเลวร้ายกว่านี้ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอและคนก็ชะลอการบริโภคไปด้วย" นายทนง กล่าว
สำหรับปีนี้ตั้งเป้าที่จะขยายสาขา 30-40 สาขา โดยได้เปิดสาขาไปแล้ว 13 สาขา จากปีก่อน 190 สาขา ซึ่งจะทำให้ถึงปีนี้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้น 240 สาขา โดยสาขาที่จะเปิดในปีนี้จะใช้งบเฉลี่ย 1.5 ล้านบาท/สาขา โดยงบดังกล่าวจะมาจาก cash flow ของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อใช้ในการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์โดยคาดว่าจะสามารถสั่งซื้อได้ใน 1 ม.ค.ปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้ยอดขายบริษัทเติบโตขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 0.10 บาท/หุ้น/ไตรมาส ซึ่งไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ได้มีการจ่ายไปแล้ว 0.10 บาท/หุ้น เป็นไปตามนโยบายในการจ่ายปันผลของบริษัท แต่ทั้งนี้การจ่ายปันผลก็คงขึ้นอยู่กับผลประกอบการไตรมาส 4 ด้วย แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีเงินในมือหลัก 100 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอในการจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นได้
"ผมอยากให้หุ้นของบริษัทเป็นหุ้นปันผลที่ 7-8% ต่อปี จากอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น(ROE) เฉลี่ย 30% ต่อปี" นายทนง กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีหน้า ยอมรับว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยต่อการตัดสินใจ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ชัดเจนอาจจะทำให้การประมาณการรายได้ในปีหน้าแย่กว่าปีนี้ แต่บริษัทจะมีการประเมินประมาณการในปีหน้าในเดือนธ.ค.นี้ ในทางกลับกันหากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับเข้ามาและกระตุ้นผู้บริโภคได้มากขึ้น
----------------------------------------------------------------------
มือใหม่อย่างผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ...
Worst Case
รายได้: 3,660 ลบ.
มาร์จิน: 4.5%
กำไร: 164.7 ลบ.
จำนวนหุ้น: 331,433,290 หุ้น
EPS: 0.4969
PE: 12
PRICE: EPS*PE = 5.96
DIV 0.60 Per Year = 0.60/5.96 = 10.06%
Best Case
รายได้: 3,880 ลบ.
มาร์จิน: 4.5%
กำไร: 174.6 ลบ.
จำนวนหุ้น: 331,433,290 หุ้น
EPS: 0.5268
PE: 12
PRICE: EPS*PE = 6.32
DIV 0.60 Per Year = 0.60/6.32 = 9.49%
ถ้าอย่างงั้นราคาหุ้นที่เทรดอยู่ที่ 7.45 เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 49 ก็แพงหูฉี่เลยอ่ะดิ ผมคิดอะไรพลาดไปหรือเปล่าครับ ... มือใหม่หัดขับยังงงนิดหน่อย พี่ๆโปรดชี้แนะครับ
ป.ล. ต้นทุนผมอยู่สูงกว่าราคาเทรดปัจจุบันอีกแหนะครับ (7.60 ครับ) อย่างนี้ถือว่าน่ากังวลไหมครับ
ป.ล.2 ขออนุญาตโพสต์ซ้ำ เอามาจากในห้องร้อยคนร้อยหุ้นน่ะครับ
----------------------------------------------------------------------
*SE-ED ปรับลดเป้ารายได้-อัตรากำไรสุทธิปีนี้ จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง
Source - IQ Biz
Tuesday, 19 September 2006 16:01
นายทนง โชติสรยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED) บริษัทได้ปรับประมาณรายได้ในปีนี้ลงเหลือ 3,660-3,880 ล้านบาท จากเป้าเดิมที่คาดไว้ที่ 3,800-4,000 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการเมือง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว
ขณะที่ได้ปรับลดอัตรากำไรสุทธิลงด้วยเช่นกัน จากเดิม 5.5-6% มาอยู่ที่ 4.5-5% ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของระบบ ซึ่งเป็นการทยอยลงทุนตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา จำนวน 40 ล้านบาท การทยอยการลงทุนดังกล่าวจะเห็นผลว่ามีการลดค่าใช้จ่ายได้ในปีหน้า
อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทมีสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น การจำหน่ายเสื้อนาโนเฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี สินค้า non-book เข้ามา ทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มเข้ามา
"การที่เรามีสินค้าทั้ง non-book หนังสือในหลวงและการจำหน่ายเสื้อ ช่วยสร้างรายได้ให้ดีขึ้น ซึ่งหากไม่มีอาจทำให้รายได้เราเลวร้ายกว่านี้ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอและคนก็ชะลอการบริโภคไปด้วย" นายทนง กล่าว
สำหรับปีนี้ตั้งเป้าที่จะขยายสาขา 30-40 สาขา โดยได้เปิดสาขาไปแล้ว 13 สาขา จากปีก่อน 190 สาขา ซึ่งจะทำให้ถึงปีนี้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้น 240 สาขา โดยสาขาที่จะเปิดในปีนี้จะใช้งบเฉลี่ย 1.5 ล้านบาท/สาขา โดยงบดังกล่าวจะมาจาก cash flow ของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อใช้ในการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์โดยคาดว่าจะสามารถสั่งซื้อได้ใน 1 ม.ค.ปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้ยอดขายบริษัทเติบโตขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 0.10 บาท/หุ้น/ไตรมาส ซึ่งไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ได้มีการจ่ายไปแล้ว 0.10 บาท/หุ้น เป็นไปตามนโยบายในการจ่ายปันผลของบริษัท แต่ทั้งนี้การจ่ายปันผลก็คงขึ้นอยู่กับผลประกอบการไตรมาส 4 ด้วย แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีเงินในมือหลัก 100 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอในการจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นได้
"ผมอยากให้หุ้นของบริษัทเป็นหุ้นปันผลที่ 7-8% ต่อปี จากอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น(ROE) เฉลี่ย 30% ต่อปี" นายทนง กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีหน้า ยอมรับว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยต่อการตัดสินใจ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ชัดเจนอาจจะทำให้การประมาณการรายได้ในปีหน้าแย่กว่าปีนี้ แต่บริษัทจะมีการประเมินประมาณการในปีหน้าในเดือนธ.ค.นี้ ในทางกลับกันหากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับเข้ามาและกระตุ้นผู้บริโภคได้มากขึ้น
----------------------------------------------------------------------
มือใหม่อย่างผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ...
Worst Case
รายได้: 3,660 ลบ.
มาร์จิน: 4.5%
กำไร: 164.7 ลบ.
จำนวนหุ้น: 331,433,290 หุ้น
EPS: 0.4969
PE: 12
PRICE: EPS*PE = 5.96
DIV 0.60 Per Year = 0.60/5.96 = 10.06%
Best Case
รายได้: 3,880 ลบ.
มาร์จิน: 4.5%
กำไร: 174.6 ลบ.
จำนวนหุ้น: 331,433,290 หุ้น
EPS: 0.5268
PE: 12
PRICE: EPS*PE = 6.32
DIV 0.60 Per Year = 0.60/6.32 = 9.49%
ถ้าอย่างงั้นราคาหุ้นที่เทรดอยู่ที่ 7.45 เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 49 ก็แพงหูฉี่เลยอ่ะดิ ผมคิดอะไรพลาดไปหรือเปล่าครับ ... มือใหม่หัดขับยังงงนิดหน่อย พี่ๆโปรดชี้แนะครับ
ป.ล. ต้นทุนผมอยู่สูงกว่าราคาเทรดปัจจุบันอีกแหนะครับ (7.60 ครับ) อย่างนี้ถือว่าน่ากังวลไหมครับ
ป.ล.2 ขออนุญาตโพสต์ซ้ำ เอามาจากในห้องร้อยคนร้อยหุ้นน่ะครับ