Thai VI

2 - 3 ปีที่ผ่านมาผมซื้อหุ้นเน้นปันผลทิ้งไว้ ก็ได้ผลตอบแทนระดับหนึ่ง ช่วงหลังๆ ญาติพี่น้องก็มาฝากเล่น ก็เน้นเอามาลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ก็ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

ก็มีญาติเอาเงินมาให้เพิ่มอีก (ญาติเยอะมั่กๆ) เลยเกิดแนวคิดว่า เปิดบริษัทโดยเน้นเอาเงินไปลงทุนในหุ้นซะเลยดีไม๊ ผมมองว่าในกรณีเกิดรายได้หรือค่าใช้จ่ายทุกอย่างมีความชัดเจน อีกทั้งเป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้ถึงการเติบโตของกองทุนเล็กๆ ของผม

ึจึงอยากปรึกษาท่านผู้รู้ว่าควรเปิดบริษัทหรือไม่ มีผลดีผลเสียอย่างไร...ขอบคุณมากครับ

แบบ D1  หรือเปล่า  :lol:


ผมว่าหลายคนที่เคยคิดก็จะติดเรื่องภาษีนิติบุคคล

เปิดบริษัทซื้อหุ้น

ข้อดี
1. ขาดทุนหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
2. กู้เงินมาซื้อหุ้น ดอกเบี้ยหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
3. หักค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้

ข้อเสีย
1. กำไรไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
2. เงินปันผลไม่มีเครดิตภาษีเงินปันผล

นึกออกเท่านี้ครับ

Kao เขียน:เปิดบริษัทซื้อหุ้น

ข้อดี
1. ขาดทุนหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
2. กู้เงินมาซื้อหุ้น ดอกเบี้ยหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
3. หักค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้

ข้อเสีย
1. กำไรไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
2. เงินปันผลไม่มีเครดิตภาษีเงินปันผล

นึกออกเท่านี้ครับ

คุณ kao ครับผมเคยได้ฟัง ดร.สุวรรณพูดทำนองว่า
ถ้าให้บริษัทกู้เงินจากเรา(ผู้ถือหุ้นใหญ่) อย่างนี้เราได้กำไร 2 เด้ง

-ดอกเบี้ยที่บริษัทกู้
-ถ้าลงทุนหุ้นได้กำไร เราผู้ถือหุ้นใหญ่ก็กำไร

แต่หักลบกันแล้วไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือเปล่าครับ

ลูกอิสาน เขียน: คุณ kao ครับผมเคยได้ฟัง ดร.สุวรรณพูดทำนองว่า
ถ้าให้บริษัทกู้เงินจากเรา(ผู้ถือหุ้นใหญ่) อย่างนี้เราได้กำไร 2 เด้ง

-ดอกเบี้ยที่บริษัทกู้
-ถ้าลงทุนหุ้นได้กำไร เราผู้ถือหุ้นใหญ่ก็กำไร

แต่หักลบกันแล้วไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือเปล่าครับ

ประเด็นนี้น่าสนใจ ต้องลองคำนวณดูครับ
แต่ก็สงสัยว่าทำไมลูกๆดร.สุวรรณจึงถือหุ้นในนามบุคคลธรรมดา :lol:

เท่าที่ผมทราบหากจัดตั้งเป็นคณะบุคคล น่าจะแก้ปัญหาเรื่องภาษีนิติบุคคลได้ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าคณะบุคคลหักค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังเข้าใจว่าการจดทะเบียนเป็นคณะบุคคลนั้นไม่มีการระบุสัดส่วนการถือหุ้นว่าใครถือเท่าไรซึ่งอาจเป็นจุดอ่อนสำหรับคนที่ต้องการความชัดเจนเรื่องสัดสวนการถือหุ้น  หากผมเข้าใจผิดส่วนใดช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ

[quote="dude"]เท่าที่ผมทราบหากจัดตั้งเป็นคณะบุคคล น่าจะแก้ปัญหาเรื่องภาษีนิติบุคคลได้ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าคณะบุคคลหักค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังเข้าใจว่าการจดทะเบียนเป็นคณะบุคคลนั้นไม่มีการระบุสัดส่วนการถือหุ้นว่าใครถือเท่าไรซึ่งอาจเป็นจุดอ่อนสำหรับคนที่ต้องการความชัดเจนเรื่องสัดสวนการถือหุ้น

เงินเยอะๆ ถือหุ้นบริษัทหนึ่งเกินกว่า 25% จะได้รับสิทธิ์รายได้ปันผล ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว

หรือไม่งั้นก็เอาบริษัทเข้าตลาด จะได้สิทธิ์รับปันผลไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียวเช่นกัน ไม่ว่าจะถือหุ้นเท่าไหร่

แต่บริษัทส่วนตัวของเราเอง สร้างสรรค์รายจ่ายขึ้นมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กำไรนิดเดียว จ่ายภาษีนิดเดียวได้ แต่อาจไม่คุ้ม

ปล. ถ้าผมมีเงินหลายๆล้าน จะทำครับ

ตั้งบริษัท กำไรเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ยังไงก็ไม่คุ้มครับ ถือในนามบุคคลธรรมดาดีกว่า Capital Gain ไม่ต้องเสียภาษี

คุณ kao ครับผมเคยได้ฟัง ดร.สุวรรณพูดทำนองว่า
ถ้าให้บริษัทกู้เงินจากเรา(ผู้ถือหุ้นใหญ่) อย่างนี้เราได้กำไร 2 เด้ง

-ดอกเบี้ยที่บริษัทกู้
-ถ้าลงทุนหุ้นได้กำไร เราผู้ถือหุ้นใหญ่ก็กำไร

สมมุติว่า ไม่คิดเรื่องภาษีและเรื่องอื่นๆ คิดแต่เรื่องกำไร 2 เด้ง อย่างเดียว สมมุติว่า เราเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายเดียว บริษัทกำไร 100 บาทก่อนรายจ่ายดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้เรา (ถ้ามี)   ถ้าบริษัทไม่ได้กู้เราไว้ 100 บาทก็เป็นของเราทั้ง 100 บาท (ไม่ว่าจะทิ้งไว้ในบริษัทหรือจ่ายเป็นปันผล)  ถ้าบริษัทกู้เราไว้ เราก็จะได้ดอกเบี้ย ซึ่งก็จะหักจาก 100 บาทนี้ ที่เหลือก็เป็นเงินของเราในฐานะผู้ถือหุ้นแต่เพียงคนเดียว  สรุปก็ได้ 100 บาทเท่าเดิม

เราจะได้เปรียบ ในกรณีที่มีผู้ถือหุ้นหลายคน  แต่เราเป็นผู้ให้กู้ โดยผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่ได้ให้กู้หรือให้กู้น้อยกว่าเรา  กรณีนี้ เราก็จะได้ดอกเบี้ยก่อน โดยดอกเบี้ยจะต้องจ่ายให้เสมอไม่ว่าบริษัทจะกำไรหรือขาดทุน  เงินที่เหลือจากการจ่ายดอกเบี้ย ก็แบ่งกันระหว่างผู้ถือหุ้นทั้งหมดซึ่งรวมตัวเราด้วย  เมื่อเทียบกับผู้ถือหุ้นอื่นๆที่จำนวนเงินที่ลงไปมีปริมาณเท่ากับเรา (เงินที่ลงไปคือเงินหุ้นรวมเงินให้กู้)  ก็ถือว่าเป็นการลดความเสี่ยง

ถ้าผมเป็นคุณ yossawat

ผมจะศึกษาว่า Buffett ทำแบบไหนน่ะครับ

แล้วก็ประยุกต์ใช้เอา

mee เขียน:ตั้งบริษัท กำไรเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ยังไงก็ไม่คุ้มครับ ถือในนามบุคคลธรรมดาดีกว่า Capital Gain ไม่ต้องเสียภาษี

เห็นด้วยครับ เรื่องไม่ได้ยกเว้นภาษี cap gain นี่เป็นข้อเสียที่ถือได้ว่าทำให้ข้อดีอื่นๆ ตกไปหมดเลยครับ สำหรับในไทย

[quote="nanakorn"]
สมมุติว่า ไม่คิดเรื่องภาษีและเรื่องอื่นๆ คิดแต่เรื่องกำไร 2 เด้ง อย่างเดียว สมมุติว่า เราเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายเดียว บริษัทกำไร 100 บาทก่อนรายจ่ายดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้เรา (ถ้ามี)

เป็นแบบ D1 คงไม่ดีมั้งครับ พวกเราก็รู้กันนี่ว่า Cash Company แล้วกลายเป็น Holding Company น่ะ มันไม่เหมาะ

มันไม่เหมือนของวอร์เรนหรอกนะครับ ที่บริษัทเบิร์กไชน์เอง ก็ยังมีธุรกิจหลักให้เงินไหลเข้ามาเหมือนกัน แต่ Cash Company มันไม่มีเงินไหลเข้ามาเลย มีแต่ไหลออก