Thai VI

เวลาเพื่อนๆคิดจะซื้อหรือขาย  ได้วิเคราะห์อะไรกันบ้างครับ  หวังกำไรในการซื้อแต่ละครั้งกี่เปอร์เซ็นต์

ตอนซื้อดูงบการเงินก็แล้ว ดูผลประกอบการณ์ก็ดี ปันผลงาม คาดว่ารวม ๆ จะได้ไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี

แต่พอเพื่อนเค้าขึ้นเรานิ่ง ก็ชักจะไม่พอใจซะนี่ พอของเราลง แทนที่จะดีใจที่ได้ซื้อของที่ถูกกว่าที่เคยซื้อที่ราคาที่เคยพอใจ กลายเป็นกลัวว่าจะติดดอย เสียดายที่ขาดทุน

บางทีก็สับสนเหมือนกันว่า หุ้นที่ซื้อมา ด้วยเหตุผลอะไร .....

ผมว่าหลาย ๆ คนก็เป็นอย่างนี้นะ

1. หุ้นขึ้น 10% ในสัปดาเดียว ขายทำกำไรไปก่อน
2. วิเคราะห์ผิด  คำนวนเลขผิด หรือเห็นสิ่งผิดปกติในงบ
3. เอาเงินไปใช้ครับ ขายตัวที่คิดว่าเน่าที่สุดใน port ทิ้ง

ปีนี้เจอครบ 1 2 3 เลย

[quote="chatchai"]เวลาเพื่อนๆคิดจะซื้อหรือขาย

คาดหวังกำไรประมาณ40-50% แต่ขายหมูที่25-30%

เฮ้อ...

พอมันได้30%นี่ อารมณ์มันไม่ค่อยนิ่งแล้วนะ

ส่วนตัวขาดทุนมักไม่เกิน3-5%

1 วิเคราะห์  ธรรมาภิบาล ก่อน  โดยผมดูจาก โครงสร้างผู้ถือหุ้น ถ้าเป็น หน่วยงานของรัฐ หรือ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถือหุ้นใหญ่  ก็วางใจได้มากกว่า ธุรกิจ เครือตระกูล   นอกจากนั้น ดูประวัติการดำเนินงานที่ผ่านมา
2 เช็คประวัติปันผลและผลประกอบการในอดีตโดยดูย้อนหลังมากที่สุด โดยจะเน้นว่าในปีช่วงธุรกิจอยู่ในขาลงในอดีต  เปรียบเทียบกับราคาหุ้นในช่วงนั้น
3 สภาพธุรกิจว่าผมสามารถเข้าใจได้หรือไม่ เพราะเวลาส่วนใหญ่อยู่กับงานประจำ และแนวโน้มธุรกิจต้องอยู่ในวิสัยที่สามารถประเมินได้ด้วยตัวเอง
4 งบการเงิน  ซึ่งผมไม่สันทัดนัก  แต่ก็ดูตัวเลขทางการเงินอย่างง่ายๆ  เช่น PE  DE  DPS  EPS  ROE EBITDA
5 ราคาหุ้น กราฟทางเทคนิค กระแสข่าวที่จะมาถึง
   ซื้อแล้วมีราคาเป้าหมายในใจ  บางตัว 10% บางตัว 100 % ก็มี

ถ้าราคายังอยู่แถวนี้กันอยู่ ตอนนี้คงไม่มีตัวไหนน่าสนใจให้เปลี่ยนไปเล่นแล้วล่ะ  :roll:

ผมก็สงสัยเหมือนกัน  
เห็นบอกเป็น "VI" กัน  แต่อ่าน ๆ ดูแล้วทำไมเปลี่ยนหุ้นกันบ่อยจัง
ผมแนว ช่างเทคนิค หุ้นที่ผมเข้าตั้งแต่ปี 04 แล้ว
ปัจจุบันก็ยังถืออยู่เลยครับ

[quote="chatchai"]เวลาเพื่อนๆคิดจะซื้อหรือขาย

สำหรับผมแทบไม่ค่อยเปลี่ยนหุ้นเลย

เล่นจริงๆไม่เกิน100ตัว ในรอบปี

มีอยู่ในพอร์ตไม่เกิน10ตัว

บางทีขายไปแล้วไม่ได้หมายความว่าจะไม่ซื้อกลับคืน
ก็แค่ฝากตลาดไว้ก่อนเท่านั้นเอง

อย่างtipco เมื่อ5ปีที่แล้วก็เคยถือลงทุน ได้ปันผลมาด้วย
ก็มาเข้าซื้อใหม่ปีนี้ ก็ขายไปแล้วเหมือนกัน
ฝากตลาดไว้ก่อน วันหลังจะเอาคืน 555

nanchan เขียน:สำหรับผมแทบไม่ค่อยเปลี่ยนหุ้นเลย

เล่นจริงๆไม่เกิน100ตัว ในรอบปี

มีอยู่ในพอร์ตไม่เกิน10ตัว

ผมเล่นจริงๆ แค่ 2-3 ตัว ในรอบปี

มีอยู่ในพอร์ต ที่จริงจัง ไม่เกิน 3 ตัว :lol:

1. ดูธุรกิจก่อนครับ เน้นธุรกิจที่เข้าใจง่าย
2. มองที่ผู้บริหารเท่าที่มองได้ครับ
3. ดูงบการเงิน(ดูไม่ค่อยเป็น) เน้นหนี้สิน เงินสด
4. ประวัติย้อนหลัง เอากำไรไปทำอะไรบ้าง
5. แล้วก็มองอนาคตในการเติบโตครับ

ถือบ้างขายบ้าง
ถ้าราคาหุ้นเกิน-ต่ำกว่าราคาเหมาะสมที่ผมคิดเอาไว้
ผมก็จะซื้อ-ขายครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอนาคตธุรกิจในระยะสั้นด้วยครับ
ส่วนใหญ่ในระยะสั้นหนึ่งปีผมหวัง 15-20% ครับ

ตอนนี้ถืออยู่ 2 ตัวเต็มพอร์ต
ไม่ชอบกระจายถือ เพราะต้องเรียนรู้ธุรกิจหลากหลายเกินไปครับ
(ค่อยๆเก็บความรู้ในธุรกิจแต่ละตัว)
ปีนี้ลงทุนทั้งหมด 4 ตัวแล้วครับ

พยายามทำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ครับ

ส่วนนึงมาจากเงินไม่ค่อยมี เลยไม่ค่อยได้ซื้อขาย 55

ปุย เขียน: ผมเล่นจริงๆ แค่ 2-3 ตัว ในรอบปี

มีอยู่ในพอร์ต ที่จริงจัง ไม่เกิน 3 ตัว :lol:

ผมประกาศตัวเองปี VS ตลอดเวลานะครับ

อีกซัก10ปี จะเป็นVi รอมีเงินเยอะกว่านี้หน่อย

ช่วงหลังมีหุ้นในพอร์ตแบบเน้นๆไม่ค่อยเกิน5ตัวหรอกครับ

ลงทุนประมาณ3เดือน คาดหวังผลตอบแทนประมาณ10-20%เท่านั้นเอง
สามเดือนมานี้ก็ทำได้นะครับ ยังรู้สึกว่าน้อยอยู่เลย
เฮ้อ... โลภจัง

สำหรับผม จิตใจยังไม่สงบนิ่งพอ และฝีมือยังไม่ถึงครับ

บางทีก็วิเคราะห์ผิดก็ขาย บางทีเห็นราคาขึ้นเร็วไปก็ขายเพื่อรอซื้อกลับ บางตัวถึงระยะยาวดูดี แต่เห็นว่ามีแนวโน้มลงค่อนข้างชัดในระยะสั้นก็ขายก่อน ครับ

สรุปยังไม่ถึงขั้นเป็น VI ได้ แต่อาศัยหลักการ VI หลายๆข้อในการตัดสินใจซื้อครับ  :D

เวลาจะซื้อก็ดูว่าคนในเวบ เขาบ่นร้องโอดครวญกับหุ้นตัวไหนบ้าง

หลังจากนั้นก็มาหาสาเหตุที่หุ้นตก หากเห็นว่าสาเหตุเป็นแค่เรื่องชั่วคราว

ก็มาดูวิเคราะห์อะไรไปเรื่อยเปื่อยตามความเข้าใจของตัวเอง

ถ้าพอใจก็ซื้อเลย

ส่วนตอนขายนี่แทบไม่ค่อยได้ขายสักเท่าไหร่

เพราะซื้อทีไรมันตกทุกที พอมันขึ้นมาก็เลยคิดว่าถือมาตั้งนานแล้วถือต่อดีกว่า

ที่ได้ขายไปจริงๆก็เพราะ

1. ดูแล้วไม่ไหวจริงๆ (FANCY)
2. เพิ่มทุน ดูแล้วไม่รู้ว่าเพิ่มแล้วมันดียังไง (SALEE)
3. ขายไปซื้อตัวอื่น (ขาย SE-ED BIGC ซื้อ CMO ผลตัวที่ขายขึ้นเอาๆ ตัวที่ซื้อ ตกเอาๆ)

[quote="tech"]เห็นบอกเป็น "VI" กัน

ขอตามรอยอาจารย์ดร.นิเวศน์ค่ะ ซื้อแล้วถือ

     จนกว่าพื้นฐานแย่ลงถึงเปลี่ยน และไม่โลภเกิน

      ความรู้  พอร์ตยังกำไรค่ะหลังจากตัดตัวที่ขาดทุน

      ถึง60%ออกไป คงต้องเรียนรู้ตลอดเวลาค่ะ

Accidental Hero wrote

นี่คือนิยามของ VI หรือครับ ?

คงไม่ใช่นิยามตรงๆของ VI นะครับ


แต่ผมว่าเป็นลักษณะของ VI ครับ  

เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นบ่อยๆก็ไม่ตรงตามนิยาม VI  และก็ไม่ใช่ลักษณะของVI

บัฟเฟตต์บอกว่าการคาดเดาระยะสั้นๆว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงมีโอกาสถูกและผิด 50/50 เพราะขึ้นอยู่กับจิตวิทยามวลชนและอารมณ์โลภกลัวของmr.market ซึ่งมีความแปรปรวนสูงมากและยากที่จะคาดเดาอย่างแม่นยำ

แต่การยืดระยะเวลาออกไปจะทำให้โอกาสถูกสูงขึ้น เช่นถ้ายืดไป1ปี โอกาสอาจจะเพิ่มเป็น 55/45  

2ปี 60/40
3ปี 70/30
5ปี 80/20
และสำหรับฝีมือระดับบัฟเฟตต์ที่ระยะเวลา10+ปี  เขามั่นใจว่ามีโอกาสถูกมากถึง 95/5 เลยทีเดียว........

1. หลายครั้งได้เงินลงทุนเพิ่ม แล้วตัดใจซื้อตัวเก่า (ณ เวลานั้นๆ) ไม่ลงครับ เพราะแพงเกินไป
2. หลายครั้ง วิเคราะห์ผิด หรือ วิเคราะห์เร็วเกินไป
3. หลายครั้ง วิเคราะห์ดีแล้ว แต่ผ่านมาหลายปี สถานการณ์เปลี่ยน ก็ปล่อยครับ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า ซื้อทิ้งไว้ 5 ปี 10 ปี ได้โดยไม่ขายเลยเนี่ย ยากจริง ๆ

แต่ผมไม่ค่อยเปลี่ยนตัว เพราะว่าตัวใหม่ดีกว่า ตัวเก่าเท่าไหร่ เพราะตัวเก่า ผมเข้าใจมันดีมาก ๆ ถ้าผลตอบแทนไม่ขี้เหร่เกินไป ผมไม่เสี่ยงที่จะเปลี่ยนครับ หรือแม้แต่ขายก่อนซื้อคืนอะไรแบบนี้

ตอบอีกคำถามคือ ผมไม่เคยหวังว่า 30% 50% หรือ 3 เด้ง 5 เด้ง ถึงจะปล่อย ถ้ายังไปเรื่อย ๆ ผมก็ยังจะอยู่กับมันเรื่อย ๆ ครับ นอกเหนือ 3 ข้อแรกเท่านั้น

สามัญชน เขียน:Accidental Hero wrote

คงไม่ใช่นิยามตรงๆของ VI นะครับ


แต่ผมว่าเป็นลักษณะของ VI ครับ

ผมลงทุนแบบมั่วซั่ว แต่มีโชคพอสมควรเลยรอดมาได้ ทำงานหนักมากอยู่เวรแทบทุกวันเลยไม่ค่อยมีเวลาดูพอร์ตตัวเองเท่าไหร่ ปีนี้ขายหมูไป 2 ตัวคือ uvan 31 บาท กับ TTA 25บาท ซื้อเพิ่มของเดิมก็เป็นตัวที่มีอยู่แล้ว MCS 3.36 RATCH 33 PTT 236 SCC 202
เฮ้อ  ยังอีกห่างไกลครับถ้าคิดจะเป็นvi คิดแล้วปลง

 :(  :(  :(

ปีนี้ขายหมูไป 2 ตัวคือ uvan 31 บาท กับ TTA 25บาท

TTA  ขายที่  25  ขายหมู ???  งง ครับ  จะซื้อหมูกลับตอนนี้ ยังมีกระดูกทำน้ำแกงแถมอีกนะครับ :lol:

ราคาหุ้นมัน dynamic ครับถือตลอดไม่ได้
บางตัวขายไปก็ซื้อใหม่ บางตัวขายขาดไปเลย
ยกเว้นแต่บลูชิพเท่านั้นครับที่ผมไม่เคยขายเลย
ถ้าหุ้นมันแกว่งตัวน้อยจะไม่ซื้อขายเลยครับ

ส่วนใหญ่ก็ตั้งเป้าการซื้อแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า 20% บางตัวก็มากกว่านี้มากบ้างน้อยบาง
ส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนตัวถืออยู่บ่อยๆเพราะ
1. หุ้นที่ผมเล่นหลายตัวไม่ใช่หุ้นที่ Perfect อะไรมาก ผมไม่กล้าถือนาน ถ้าได้กำไรในระดับที่พอใจก็ขาย ส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าถือไม่เกินปี (ส่วนพวกหุ้นที่ดีมากๆ ผมถือเกิน 1 ปีซะส่วนใหญ่)
2. หุ้นหลายตัวที่ถือมันชอบบังเอิญวิ่งแรง จนผมคิดว่ามันเกินมูลค่ามันไป ผมเลยต้องขาย
3. เจอตัวใหม่แล้วชอบกว่าตัวเดิม คุณภาพดีกว่า ราคาถูกกว่าผมก็ขาย

จากประสบการณ์ของผม หุ้นที่เรากำไรเพราะเราวิเคราะห์ "ปัจจัยพื้นฐาน" ออก ซื้อปุ๊บจะไม่ค่อยวิ่งทันที มีหลายครั้งที่ต้องติดดอยอยู่พักใหญ่ด้วย หลังจากนั้นอยู่ดีๆ จะมีวันหนึ่งทีข่าวดีๆ ของมันเข้ามากระทบตลาด แล้วมันก็วิ่งรวดเดียวไม่ลงมาอีกเลย

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะไม่สามารถบอกได้เลยว่า "เมื่อไร" หุ้นจะวิ่ง

เพราะฉะนั้นผมจึงมักต้องถือยาวอยู่เสมอ เพราะผมดูเทคนิคไม่เป็น

การวิเคราะห์แนวพื้นฐาน ถ้าซื้อแล้ววิ่งทันทีจะต้องเป็นความบังเอิญมากๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะเราได้บอกคนอื่นไปด้วยว่าเราคิดว่าตัวนี้มันดี ก็เลยช่วยกันซื้อกันใหญ่ ถ้าแบบนี้สุดท้ายแล้วมันจะร่วงลงมาใหม่ เพราะมันไม่ได้ขึ้นเพราะพื้นฐานจริงๆ แต่ขึ้นเพราะซื้อตามกัน

หุ้นที่ทำกำไรให้มากๆแบบขึ้นเป็น100%ส่วนใหญ่มักสร้างความอึดอัดหลังจากที่ตัดสินใจซื้อเพราะราคาไม่ไปไหนจนบ่อยครั้งไม่แน่ใจว่าเราวิเคราะถูกรึเปล่า..ก็โชคดีที่ทนถือไว้บ้าง..แต่ก็มีที่ปล่อยไปก่อนเยอะเหมือนกัน 8)

ขุดมาอ่านขอรับ