หน้า 1 จากทั้งหมด 1

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 12:52 pm
โดย สุมาอี้
ถ้าพอร์ตมีเงินสดเหลือ 2 แสนบาทกับมีหุ้นอยู่หนึ่งตัวคือหุ้น A ซื้อมา 1 แสนบาท ตอนนี้ขายได้ 2 แสนบาท และคุณก็คิดว่าราคานี้ fair value พอดี

คราวนี้คุณไปเจอหุ้นตัวหนึ่งคือหุ้น B ซึ่งคุณคิดว่ามีราคาที่น่าลงทุนมากอยากจะซื้อสัก 2 แสนบาท คุณจะทำอย่างไรระหว่าง

เอาเงินสดที่เหลือในพอร์ตมาซื้อ

หรือ

ขายหุ้น A เอาเงินออกมาซื้อ

ชอบอย่างไหนมากกว่ากัน?

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 12:55 pm
โดย คนเรือ VI
ก็เอาส่วนกำไรมาซื้อตัวใหม่ครับ

ผมมักจะมีเงินสดเหลือในพอร์ตเสมอครับ เผื่อเอาไว้

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 1:22 pm
โดย ksnk
ถ้าหุ้น B ซึ่งคุณคิดว่ามีราคาที่น่าลงทุนมากๆๆๆๆๆๆๆ
ผมจะ
เอาเงินสดที่เหลือในพอร์ตมาซื้อ

และ

ขายหุ้น A เอาเงินออกมาซื้อ
:lol:  :lol:

ถ้าให้พิจารณาก็คงต้องเปรียบเทียบว่าบริษัท A ที่ fair value มีอนาคต(growth, risk) เป็นอย่างไรถ้าเทียบกับบริษัท B ที่มีราคาน่าลงทุนมาก

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 1:34 pm
โดย jaychou
เท ... เอ้ย เคาะขายหุ้น A มาซื้อ หุ้น B

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 4:02 pm
โดย booklover
ถ้ามั่นใจBมากกว่า ว่าดีกว่าAก็ขายหมดแล้วซื้อตัวใหม่B

ครับ แล้วจะพยายามหาเงินเพิ่มอีกเยอะๆมาซื้อเพิ่มอีกครับ

ถ้ามั่นใจสุดๆ จะขายทองให้หมดเลยแล้วเอามาซื้ออีกครับ

:D

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 4:45 pm
โดย sunrise
ขายหุ้น a มาซื้อหุ้น b ครับ

ถ้าหุ้น b ดีมากๆ จริงๆ เอาเงินที่อยู่ในกระเป๋ามาซื้อเพิ่มด้วย  8)

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 5:16 pm
โดย keng56
ขายหุ้นAครึ่งนึงได้มา1แสนบวกเงินสด1แสนซื้อหุ้นตัวใหม่ 8)

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 6:13 pm
โดย Doraemon
ในเมื่อราคามันไปถึง fair value แล้วก็ไม่มีเหตุจะถือต่อไปอีก และ B น่าลงทุนอย่างมาก...

ขาย A ให้เกลี้ยง+เงินสดอีก 2 แสน เอาไปซื้อ B คับผม

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 6:19 pm
โดย Capo
เอาเงินสดมาซื้อครับ
เหตุผลประกอบด้วย
1. ถ้าเงินอยู่เฉย ๆ ส่วนตัวผมก็ทำได้แค่ฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยต่ำต้อย
2. และสมมติเป้าหมายมูลค่าการซื้อไว้ที่สองแสนอยู่แล้ว ก็พอดี ๆ กับเงินสดที่มีอยู่ นั่นคือเงินสดดอกเบี้ยต่ำ มีเพียงพอกับเป้าหมายในการซื้ออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรบกวน A
3. Fair Price คิดจาก Discount Rate ที่เราคาดหวังอยู่แล้ว ดังนั้นถือต่อไปก็คงจะได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งคงจะมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์แน่นอน
4. โดยความนิยมส่วนตัว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ มักจะไม่นิยมถือเงินสดเป็นประมาณมากเกินไปครับ ซึ่ง 200,000 สำหรับผมถือว่ามากเกินไป

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 10:14 pm
โดย Rocker
ถ้าอนาคตหุ้น B จริงละก็

ขายหุ้น A เพื่อเอาทุนคืน 100000

นําเงินสด 100000+เงินจากA100000 ซื้อหุ้น B=200000บาท

จะเหลือเงิน 100000 และมูลค่าหุ้น A 100000ใน port ไม่ขายหมดเนื่องจาก
สมมุติว่าAมีอนาคตที่ดี ฉะนั้นหุ้นก็เพิ่มตามมูลค่า

money management

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2006 10:50 pm
โดย สุมาอี้
เทคนิคแพรวพราวกันจริงๆ คับ  :D

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 7:47 am
โดย Muffin
ถ้าตอบตรงคำถามจริงๆ
หมายถึงว่า อยากได้ B แค่ 2 แสนนะครับ

ผมจะขาย A ออก 1 แสน บาท แล้วเอาเงินสดอีก 1 แสนบาท เข้าซื้อ B 2 แสนบาทครับ
ทำให้ พอร์ทกลายเป็น มี A 1 แสนบาท, B 2 แสนบาท และ เงินสด 1 แสนบาทครับ

แต่ถ้าไม่มีคำว่า "อยากได้ B 200,000 บาท" ผมก็จะขาย A ออกทั้งหมด แล้วเอาเงินที่ได้จากขาย A รวมกับเงินสดอีก 200,000 บาท ซื้อ B ไปทั้งหมดเลย
ทำให้ พอร์ทกลายเป็น B 400,000 บาท
:oops:

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 11:59 am
โดย naris
ต้องดูคุณภาพของหุ้นทั้ง2ตัวในระยะยาว และ การตีมูลค่าของเราเมื่อเทียบกับตลาดครับ

เช่น ผมเคยคิดว่าหุ้น A= mint ที่ 6บาทกว่าๆ peตอนนั้นที่ประมาณ20เท่า upside ไม่น่าจะเหลือมาก :?
เมื่อเจอหุ้น B=MCS ราคาประมาณ2.7-2.8 ก็คิดว่าชัวร์100%
:shock:
ก็เลยขายmint มาซื้อ mcs ทั้งหมด

แล้วก็กลายเป็น mint ขึ้นมาประมาณ50%  ส่วน mcs ขึ้นมาประมาณ30% :wall:

(แต่ตอนนี้ขายmcsไปหมดแล้วครับ เจอกิ๊กใหม่ :oops: )

สรุปว่ายังไงก็ช่างสูตรพี่คลายเคลียดยังใช้ได้ สำหรับคนที่เจอกิ๊กใหม่กลัวสวยแต่รูป จูบไม่หอม  และกิ๊กเก่าที่คุณภาพคับแก้วและ ยังรักกันอยู่ เหยียบเรือ2แคม ก็จำเป็นครับ :lol:

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 12:14 pm
โดย Rocker
วิธีพี่คลายเครียด คล้ายกับคุณ เทพ  
เลย

เอาทุนคืน ซึ่งหลายๆคนๆคงทําแบบเดียวกัน :rofl:

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 1:27 pm
โดย nanchan
ผมก็ว่าวิธีเหยียบเรือสองแคม น่าจะเหมาะดี
เพราะส่วนมากหุ้นที่ขึ้นมาที่ราคาfair มักจะขึ้นต่อไปที่ราคาไม่แฟร์

ส่วนหุ้นที่ยังไม่ขึ้น จะขึ้นเมื่อไรไม่รู้


ถ้าผมจะใช้วิธีสวิทช์หุ้น แบบเหมาทั้งlot ผมจะใช้กลับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน
และมีพื้นฐานใกล้เคียงกัน

อย่างเช่นล่าสุด psl กะ tta ผมก็ซื้อไว้ทั้ง2ตัว

วันหนึ่งpslขึ้นมา35.25 ผมก็ขาย35.25 28/7/49 เพราะเห็น ttaลงมา21.6 เลยมาซื้อttaแทน
ก็ขายยกล๊อตแหละครับ
พออีกไม่กี่วัน psl ลงมา33.75 34 ผมก็เอาเงินส่วนที่เหลือมาซื้ออีกที


วิธีผมอาจจะมองระยะสั้นมากไปหน่อย
โปรดใช้วิจารณาญานในการรับอ่าน

Re: money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 2:04 pm
โดย worapong
สุมาอี้ เขียน:ถ้าพอร์ตมีเงินสดเหลือ 2 แสนบาทกับมีหุ้นอยู่หนึ่งตัวคือหุ้น A ซื้อมา 1 แสนบาท ตอนนี้ขายได้ 2 แสนบาท และคุณก็คิดว่าราคานี้ fair value พอดี

คราวนี้คุณไปเจอหุ้นตัวหนึ่งคือหุ้น B ซึ่งคุณคิดว่ามีราคาที่น่าลงทุนมากอยากจะซื้อสัก 2 แสนบาท คุณจะทำอย่างไรระหว่าง

เอาเงินสดที่เหลือในพอร์ตมาซื้อ

หรือ

ขายหุ้น A เอาเงินออกมาซื้อ

ชอบอย่างไหนมากกว่ากัน?
โจทย์มันดูเหมือนง่ายแต่ที่จริงซับซ้อนนะครับ
ถ้าแฟร์แวลยู่หมายถึงมูลค่าที่ได้จากการคิดลดกระแสเงินสดด้วยดอกเบี้ยที่พอสมควรแล้วละก็ ไอ้อัตราดอกเบี้ยที่พอสมควรนี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าเงินสดที่ถืออยู่ หรือหุ้นที่ถืออยู่มีค่ามากกว่ากัน จากความรู้อันจำกัดของผมพบว่าหนังสือส่วนใหญ่เวลาคำนวณมักเอาดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะยาวมาเป็นอัตราคิดลด ซึ่งปัจจุบันอยู่ราวๆ 5-6% แต่ในหนังสือส่วนใหญ่ใช้ 9-10% มาคิดลด เค้าบอกว่าถ้าดอกเบี้ยพันธบัตรต่ำกว่าสิบก็ให้เอาสิบมาคิดลดเลย ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นเอน่าจะมีมูลค่าสูงกว่าเงินสด ถ้ามีทางเลือกแค่สองทาง การเอาเงินสดมาซื้อหุ้นน่าจะทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวดีกว่าครับ ที่สำคัญคือในความคิดส่วนตัวของผม การถือหุ้นสักสี่ห้าตัวก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าถือตัวเดียวครับ เพราะผมเองไม่ได้เก่งถึงขนาดว่าคำนวณแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นไปอย่างที่คำนวณเป๊ะๆ บางครั้งบริษัทก็ทำได้ดีกว่าที่คิด แต่บางครั้งก็ทำได้แย่กว่านั้น ผมเองจึงชอบที่จะมีหุ้นมากกว่าหนึ่งตัวในพอร์ต ผมจึงเลือกการเอาเงินสดที่เหลือมาซื้อหุ้นบีครับ แต่ผมก็เห็นว่ามีพี่ๆหลายคนที่เลือกหุ้นตัวเดียวแล้วทำได้ดีมากๆนะครับ ซึ่งดีกว่าหุ้นสี่ห้าตัวในพอร์ตของผมพอสมควรเลยครับ แต่คนที่จะทำได้แบบนั้น ผมคิดว่ามีจำนวนจำกัด เค้าต้องเก่งมากจริงๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ครับ

ตอบครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 3:25 pm
โดย tanate
ขายหุ้น A ออกไป 100,000 บาท แล้วนำเงินที่ได้ + เงินสดในมือ 100,000 บาท ไปซื้อหุ้น B ส่วนเงินที่เหลือ 100,000 บาท เผื่อซื้อเฉลี่ยต้นทุน B กรณีที่หุ้นตกลงมามาก  หุ้นAที่เหลืออยู่ถือยาวววว กินเงินปันผล เพราะต้นทุนเหลือต่ำมากๆ

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 4:46 pm
โดย วัวแดง
เป็นผมนะ.......

เงินสดซื้อหุ้น b 2แสน ,หุ้นa เก็บไว้ก่อน......

เมื่อเจอหุ้น c ที่มั่นใจคล้ายๆ หุ้นb จึงขายหุ้นa มาซื้อหุ้นc 2แสน......

ผมไม่เก็บเงินสด(สำหรับซื้อหุ้น) ถ้ามั่นใจตัวไหนก็ซื้อไปเลย เงินสดทำรายได้ให้ผมน้อยมาก :D

ถ้าคิดว่าถือเงินสดเพื่อรอโอกาสดีๆ ผมไม่ทำ ถ้ามีโอกาสดีๆจริง ผมขายหุ้นทุกตัวเพื่อมาซื้อ....

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 8:35 pm
โดย chatchai
ผมคาดเดาว่าวิธีหา fair value ของคุณสุมาอี้  คือ FCF

ดังนั้น  ถ้าสมมุติ  ผลตอบแทนที่คำนวณ fair value ไว้ที่ 10%

หุ้น A ที่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ fair value  แสดงว่าถ้าเราถือลงทุนต่อ  ก็จะได้ผลตอบแทนในรูปกระแสเงินสดอิสระ 10% ต่อปี

หุ้น B  มีราคาตลาดที่น่าลงทุนมาก  ก็แสดงว่าต้องต่ำกว่า fair value  ซึ่งถ้าเราลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนในรูปกระแสเงินสดอิสระมากว่า 10% ต่อปีมากพอควร

เป็นผมก็คงขายหุ้น A  ออก  แล้วบวกเงินทั้งหมด  ซื้อ หุ้น B  ครับ

ปล. เห็นบางคนวัดผลตอบแทนจากราคาตลาด  เราไม่รู้หรอกครับว่าในอนาคตอันใกล้ราคาตลาดของ A และ B  จะขึ้นหรือลงมากกว่ากัน  เพราะราคาตลาดในระยะสั้นคงไม่สัมพันธ์กับ fair value ซักเท่าไร

money management

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2006 8:56 pm
โดย สุมาอี้
[quote="chatchai"]
หุ้น A ที่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ fair value

money management

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 06, 2006 10:34 am
โดย 007-s
สำหรับดิฉันคิดว่า อยู่ที่กลยุทธด้วยค่ะ
โจทย์ที่ให้มายังไม่ละเอียดพอ จึงต้องถามก่อนว่า สองแสนที่เหลือนั้น คิดเป็นจำนวนเงินสด กี่เปอเซนต์ของเงินลงทุนแท้จริง

ถ้าสองแสน คือ 66.66% ของเงินลงทุนจริง และทุนหุ้น a หนึ่งแสนนั้นเป็นแค่ 33.33% ของเงินลงทุน (กรณีเงินต้นมีสามแสน,มีหุ้นในปอดแค่หุ้น a ตัวเดียว)

สำหรับดิฉันแล้ว คิดว่าพอร์ทแบบนี้ มีหุ้นน้อยเกินไป

โดยเฉพาะถ้าบอกว่า พบแล้ว หุ้นที่มีค่าพอที่จะเป็นตัวที่สองในพอร์ท ถูกมาก ดีมาก อยู่ในจุดที่พร้อมจะขึ้น ...อะไรก็แล้วแต่

งั้นทำไมไม่ตัดสินใจเอา ส่วนของ 66.66% มาลุยล่ะ ทั้งๆที่ปล่อยไว้มันก็ลดค่าตัวมันลงอยู่ตลอดเวลา การที่เงินอยู่เฉยๆบางครั้งอาจเป็นอันตรายมากกว่า การที่เงินอยู่ในหุ้นที่มาถึงราคา แฟร์แวลุ่แล้ว (ยิ่งถ้าคำนวนที่แฟร์แวลู่แล้ว ถ้าอัตราปันผลยังตอบแทนได้ดีกว่าดอกเบี้ยหรือเงินเฟ้อ ยิ่งไปใหญ่)

ทีนี้ในทางกลับกัน
ถ้าสองแสนที่เหลือ คือเป็น 10% ของทุนแท้จริงที่ สองล้านบาท
และหุ้น a มีสัดส่วนการลงทุนแค่ 5% ของเงินลงทุนแท้จริง

อันนี้ก็ต้องพิจารณาหน่อยค่ะ
แรกเลยคือ เอ๊ะ หุ้น a เดิมที่ถืออยู่นี่นะ ขึ้นมาได้ร้อยเปอเซนต์ (ต้องดูว่าใช้เวลาแค่ไหน และขึ้นมาแนวไหน ...ขึ้นมามากเพราะ เดิมที่ลงทุนมันอยู่ต่ำแวลู่มากๆๆๆ หรือ ขึ้นมามาก เพราะบริษัทมีความสามารถในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง )
แล้ว เอ...ต้องกลับไปนอนคิดหน่อยแล้ว ว่าเราจะขายหรือ ควรจะหาจังหวะซื้อหุ้น a เพิ่มขึ้นอีกหน่อย กันแน่
แล้วก็ อืม...ดูแล้วไงๆ หุ้น b ดีกว่า a แน่นอน เอาล่ะ ลุยหุ้น b มันทั้งหมด สองแสนที่เหลือนี่ดีกว่า (แปลว่าถือหุ้น b =10%ในพอร์ท)

อ้าว...เป็นปัญหาให้คิดอีกอ่ะค่ะ ...สองตัวที่ว่าดีนี่รวมกันแล้ว 15% เอง
เอ๋...อีกตั้ง 85% มันไปลงอยู่ในตัวไหนล่ะ งั้นต้องกลับไปดูแล้วมั้งคะ ว่าอี85% นี่มันดีกว่า 15% สองตัวนี้หรือไม่

ก็ สำหรับดิฉันคือ จะให้ความสำคัญในกลยุทธการจัดการทีม ไม่น้อยไปกว่าการคัดเลือกนักเตะ ค่ะ


:D

money management

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 06, 2006 8:37 pm
โดย Doramon007
ได้ความรู้อีกเป็นกระบุง  :)

money management

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 06, 2006 9:51 pm
โดย Doraemon
[quote="สุมาอี้"][quote="chatchai"]
หุ้น A ที่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ fair value

money management

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 06, 2006 10:13 pm
โดย สุมาอี้
ขอโทษคุณโดราเอมอนด้วย  :bow:  ไม่ได้ตั้งใจจะ quote ชื่อแบบนั้น

ผมก็เห็นด้วยกับการขาย A ทิ้งให้หมด เอาเงินที่ได้บวกเงินสดที่เหลืออยู่ไปซื้อ B เพราะทั้งการถือ A ต่อไปและการถือเงินสดจะมี NPV=0 แต่การถือ B มี NPV>0

เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ ตรงคำว่า หุ้นที่ถึง fair value แล้ว ไม่มีเหตุจะต้องถือต่อไปเท่านั้น  

(20 บาท ต้องเป็น PV หรือเปล่า?)

money management

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 06, 2006 10:35 pm
โดย Doraemon
โอวว...จะขอโทษผมไปทำไมครับ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย จริงๆ จะ quote ชื่อผมอีกกี่ทีก็ได้ ถือเป็นเกียรติครับ :D

จะว่าไปแล้วผมเองก็ใช้คำพูดผิดไปจริงๆ ที่ว่าไม่มีเหตุจะให้ถือต่อไปแล้ว เพราะจริงๆ ยังได้ที่ WACC อยู่อย่างที่ว่ากัน  :oops:
(20 บาท ต้องเป็น PV หรือเปล่า?)
ผมว่า FV กับ PV มันเหมือนกันนะ เพราะ FV ก็คือคำที่เราใช้เรียก PV ของ free cash flow ต่อหุ้น ไม่ใช่หรือครับ?? (งงอีกแล้ว ดีจังเลยครับกระทู้นี้ได้ถกกันเยอะดี)

money management

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 06, 2006 10:39 pm
โดย สุมาอี้
Doraemon เขียน:
ผมว่า FV กับ PV มันเหมือนกันนะ เพราะ FV ก็คือคำที่เราใช้เรียก PV ของ free cash flow ต่อหุ้น ไม่ใช่หรือครับ?? (งงอีกแล้ว ดีจังเลยครับกระทู้นี้ได้ถกกันเยอะดี)
เข้าใจล่ะ ผมไปนึกว่า FV หมายถึง Future value  :oops: