ปี 47 แบงค์จะกำไรเพิ่มขึ้นมาก
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2003 9:25 pm
"ดีบีเอสไทยทนุ"พร้อมเคลียร์แคปส์ปีหน้าวงเงิน 6.7 พันล. เหตุแบกภาระดบ.เกือบ 800 ล.ต่อปี
ดีบีเอสไทยทนุ"พร้อมเคลียร์แคปส์ 6.7 พันล้านบาทปีหน้า ระบุที่ผ่านมาแบกภาระดอกเบี้ย 777 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ผลขาดทุนสะสม 3.2 หมื่นล้านบาทยังไม่เร่งจัดการ เผยไตรมาสแรกสินเชื่อโตแล้ว 2-3% จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 10%
นายพรสนอง ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ เปิดเผยว่า ธนาคารมีนโยบายที่จะจัดการหุ้นกู้ด้อยสิทธิควบหุ้นบุริมสิทธิ หรือแคปส์ ที่ธนาคารมีอยู่ 6.7 พันล้านบาทในปีหน้า เนื่องจากในแต่ละปีธนาคารมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ย ถึง 11% หรือคิดเป็น 777 ล้านบาท ซึ่งหากธนาคารสามารถจัดการภาระการจ่ายดอกเบี้ยได้ ก็จะทำให้ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 777 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ธนาคารยังไม่สามารถระบุได้ว่า ธนาคารจะใช้วิธีการใดในการจัดการแคปส์ดังกล่าว
"ปีหน้าเราจะเคลียร์แคปส์ให้ได้ เพราะดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายแต่ละปีเป็นเรื่องที่ขมขื่นมาก หากหมดภาระตรงนี้ได้ก็จะสบายใจมากขึ้น และเราเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน บีไอเอสเราตอนนี้มีอยู่ 12.6% แต่ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้วิธีการใดจัดการ เพราะเรามีทางเลือกในการจัดการเยอะ ทั้งการรีไฟแนนซ์ หรือคืนทั้งหมด หรือคืนในบางส่วน " กรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ กล่าว
นายพรสนอง กล่าวด้วยว่า สำหรับผลขาดทุนสะสมที่ธนาคารมีอยู่ 3.2 หมื่นล้านบาทนั้น ขณะนี้ธนาคารยังไม่เร่งที่จะดำเนินการล้างขาดทุนสะสมที่มี แม้พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจะเปิดทางไว้ แต่ธนาคารจะพยายามที่จะเร่งสร้างผลกำไรให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับแบงก์
"การล้างขาดทุนสะสมต้องใช้เวลาแน่นอน เมื่อไหร่ผู้ถือหุ้นถามเราก็ต้องกลับไปดู แต่เราจะเร่งสร้างกำไรให้เร็ว และน่าตื่นเต้นกว่านี้ โดยต้องมีผลิตภัณฑ์ให้มากกว่านี้ ให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น เพื่อความมั่นคงของแบงก์"
นายพรสนอง ยังได้กล่าวถึงนโยบายการตั้งสำรองของธนาคารว่า ธนาคารมีนโยบายที่จะสำรองให้สูงไว้ก่อน โดยที่ผ่านมาธนาคารได้สำรองไปแล้วประมาณ 130-140% แม้ว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของธนาคาร จะได้รับการแก้ไขไปหมดแล้ว แต่ในระยะยาวการสำรองในระดับสูง จะส่งผลดีกับธนาคารในแง่การขยายตัวของสินเชื่อ และในแง่ของผลประกอบการ ที่สามารถเอาสำรองที่มีอยู่โอนกลับมาเป็นรายได้ในอนาคตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ กล่าวต่อว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตสุทธิ 2-3% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อในปีนี้โต 10% หรือเพิ่มขึ้น 7.7 พันล้านบาท จากฐานสินเชื่อสิ้นปีที่มีอยู่ประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อทั้งรายใหญ่และราย่อย
โดยในปีนี้ธนาคารจะมุ่งเน้นการขยายตัวสินเชื่อ ไปในธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ที่ยังมีพื้นที่การแข่งขันอยู่ แต่จะเป็นการแข่งด้านราคา และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่รองรับความต้องการลูกค้าได้ รวมไปถึงการปล่อยสินเชื่อ
ดีบีเอสไทยทนุ"พร้อมเคลียร์แคปส์ 6.7 พันล้านบาทปีหน้า ระบุที่ผ่านมาแบกภาระดอกเบี้ย 777 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ผลขาดทุนสะสม 3.2 หมื่นล้านบาทยังไม่เร่งจัดการ เผยไตรมาสแรกสินเชื่อโตแล้ว 2-3% จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 10%
นายพรสนอง ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ เปิดเผยว่า ธนาคารมีนโยบายที่จะจัดการหุ้นกู้ด้อยสิทธิควบหุ้นบุริมสิทธิ หรือแคปส์ ที่ธนาคารมีอยู่ 6.7 พันล้านบาทในปีหน้า เนื่องจากในแต่ละปีธนาคารมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ย ถึง 11% หรือคิดเป็น 777 ล้านบาท ซึ่งหากธนาคารสามารถจัดการภาระการจ่ายดอกเบี้ยได้ ก็จะทำให้ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 777 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ธนาคารยังไม่สามารถระบุได้ว่า ธนาคารจะใช้วิธีการใดในการจัดการแคปส์ดังกล่าว
"ปีหน้าเราจะเคลียร์แคปส์ให้ได้ เพราะดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายแต่ละปีเป็นเรื่องที่ขมขื่นมาก หากหมดภาระตรงนี้ได้ก็จะสบายใจมากขึ้น และเราเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน บีไอเอสเราตอนนี้มีอยู่ 12.6% แต่ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้วิธีการใดจัดการ เพราะเรามีทางเลือกในการจัดการเยอะ ทั้งการรีไฟแนนซ์ หรือคืนทั้งหมด หรือคืนในบางส่วน " กรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ กล่าว
นายพรสนอง กล่าวด้วยว่า สำหรับผลขาดทุนสะสมที่ธนาคารมีอยู่ 3.2 หมื่นล้านบาทนั้น ขณะนี้ธนาคารยังไม่เร่งที่จะดำเนินการล้างขาดทุนสะสมที่มี แม้พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจะเปิดทางไว้ แต่ธนาคารจะพยายามที่จะเร่งสร้างผลกำไรให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับแบงก์
"การล้างขาดทุนสะสมต้องใช้เวลาแน่นอน เมื่อไหร่ผู้ถือหุ้นถามเราก็ต้องกลับไปดู แต่เราจะเร่งสร้างกำไรให้เร็ว และน่าตื่นเต้นกว่านี้ โดยต้องมีผลิตภัณฑ์ให้มากกว่านี้ ให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น เพื่อความมั่นคงของแบงก์"
นายพรสนอง ยังได้กล่าวถึงนโยบายการตั้งสำรองของธนาคารว่า ธนาคารมีนโยบายที่จะสำรองให้สูงไว้ก่อน โดยที่ผ่านมาธนาคารได้สำรองไปแล้วประมาณ 130-140% แม้ว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของธนาคาร จะได้รับการแก้ไขไปหมดแล้ว แต่ในระยะยาวการสำรองในระดับสูง จะส่งผลดีกับธนาคารในแง่การขยายตัวของสินเชื่อ และในแง่ของผลประกอบการ ที่สามารถเอาสำรองที่มีอยู่โอนกลับมาเป็นรายได้ในอนาคตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ กล่าวต่อว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตสุทธิ 2-3% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อในปีนี้โต 10% หรือเพิ่มขึ้น 7.7 พันล้านบาท จากฐานสินเชื่อสิ้นปีที่มีอยู่ประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อทั้งรายใหญ่และราย่อย
โดยในปีนี้ธนาคารจะมุ่งเน้นการขยายตัวสินเชื่อ ไปในธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ที่ยังมีพื้นที่การแข่งขันอยู่ แต่จะเป็นการแข่งด้านราคา และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่รองรับความต้องการลูกค้าได้ รวมไปถึงการปล่อยสินเชื่อ