Thai VI

'เราอยู่ในวงการเดียวกัน ซึ่งหากเข้าไปเก็บหุ้นในกระดาน 5 หรือ 10 % แล้วค่อยแจ้ง
ตลาดฯถือว่าไม่เป็นมิตร แต่เราได้มีการแจ้งก่อนที่จะเข้าไปซื้อหุ้น ถือว่าเข้าไปอย่างเป็นมิตร
และหลังจากเข้าซื้อหุ้นแล้วคงมีการคุยกันอีกครั้งเรื่องการเข้าบริหาร' นายสมพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่มีแผนที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการ STPI โดยเบื้องต้นคณะ
กรรมการมีมติให้เข้าไปซื้อหุ้นบนกระดานในสัดส่วนเพียง 10% ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม - 3
ตุลาคม 2549 ส่วนในอนาคตจะเข้าไปซื้อเพิ่มหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้
เขากล่าวต่อว่า MCS ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะเข้าไปซื้อหุ้น STPI  ที่ระดับราคาใดบ้าง
แต่คงจะอยู่ในวงเงิน 70 ล้านบาท ตามที่กรรมการอนุมัติ แต่ทั้งนี้ หากราคาหุ้น STPI ปรับตัว
เพิ่มขึ้นมาก MCS ก็อาจจะพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นใหม่อีกครั้ง โดยอาจจะไม่เข้าไปซื้อหุ้น STPI
ก็ได้
'หากราคาหุ้น STPI แพงไปก็ไม่ซื้อ ซื้อหุ้นถูกหรือแพงเป็นสิทธิ์ของเรา ซึ่งไม่ได้
กำหนดไว้ว่าจะซื้อที่ราคาไหนบ้าง แต่อยู่ในวงเงิน 70 ล้านบาท' นายสมพงษ์ กล่าว
โดยเม็ดเงินที่ MCS จะนำไปใช้ในการซื้อหุ้น STPI จำนวน 70 ล้านบาทนั้น มาจาก
เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเอง

EAKEPON เขียน:
ปัญหาคือ
stpi นี้เป็นหุ้น ดี ราคาถูก สมควร จะ ซื้อ หรือเป่า
รบกวนช่วยกัน วิเคราะห์ ด้วยคับ
ขอบคุณ ครับ  :D

2.ร่วมกันซื้อวัตถุดิบ เพื่อผลประโยชน์ของราคาวัตถุดิบ
  3.เพิ่มกำลังการผลิต และร่วมกันรับงานขนาดใหญ่ๆ

jaychou เขียน:เฮียชิ บอกจะไปซื้อของเมืองจีนไม่ใช่เหรอ

jaychou เขียน:เฮียชิ บอกจะไปซื้อของเมืองจีนไม่ใช่เหรอ

แล้วทำไมมาซื้อเหล็กไทยซะล่ะ

ซื้อปริมาณมากพอที่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เชียวนะ 10% น่ะ รายใหญ่มีแค่ 6% เอง

ไม่ต้อง Take Over หรอก แค่นี้ก็พอแล้ว

ถ้าซื้อสูงกว่านี้
เขามีจะผลกับ การลงบัญชีอย่างไรละคับ

ประวัติความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงในอำนาจการควบคุมบริษัทและลักษณะการประกอบธุรกิจที่สำคัญ
ปี 2518 บริษัทก่อตั้งขึ้น เพื่อการดำเนินธุรกิจผลิตหม้อไอน้ำและภาชนะความดัน โดยเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท
ปี 2533 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 150 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 98  และได้ขยายการดำเนินธุรกิจด้านการผลิตผลิตภัณฑ์โครงสร้างเหล็กซึ่งใช้ในการก่อสร้างและติดตั้ง โดยมีกำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปีและได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท Sino-Thai Pressure Vessel and Iron Works (STP&I) จำกัด
ปี 2537 บริษัทได้ย้ายสถานที่ตั้งไปยังโรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ทำให้บริษัทมีกำลังผลิตรวม 30,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ในส่วนของ Zone-2 บริษัทได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ปี 2538 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 175 ล้านบาท และมีพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ คือ บริษัท โตโมเอะ  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ญี่ปุ่น) และบริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี (ไทยแลนด์) จำกัด โดยถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 7.14 และ 3.32 ตามลำดับ อีกทั้งยังมีการขยายกำลังการผลิตเป็น 50,000 ตันต่อปี  
ปี2539 บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 250 ล้านบาท และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปี 2544 บริษัทได้เพิ่มการดำเนินการประกอบกิจการผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก วัตถุดิบ ท่อ ท่อประปา ถัง       ถังบรรจุก๊าซหุงต้ม ถังบรรจุน้ำมัน และอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้ในการก่อสร้างทุกชนิด ตลอดจนซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าว รวมทั้งการรับจ้างประกอบเครื่องอบ เครื่องจักร เครื่องกลและชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดและได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท
ปี 2546 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันจำนวน 100,000 หุ้น และมีมูลค่าที่ตราไว้ 1,000 บาทต่อหุ้น โดยคิดดอกเบี้ยอัตราคงที่ร้อยละ 5.25 ต่อปี มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และกำหนดชำระคืนเงินต้น 5 ปี นับจากวันที่ออกหุ้นกู้ โดยได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 30 ตุลาคม 2546
ปี 2547 บริษัทได้ร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัท คลัฟ ซิโน-ไทย จำกัด ซึ่งเป็นการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวในสัดส่วน ร้อยละ 50 กับ บริษัท คลัฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อรองรับการขยายงานด้านรับเหมาก่อสร้างในธุรกิจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ








(2)   ภาพรวมของการประกอบธุรกิจและลักษณะประเภทธุรกิจ

1)  ลักษณะประเภทธุรกิจ
บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2518 และมีประสบการณ์ในธุรกิจแปรรูปโครงสร้างเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กมากว่า 30 ปี โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งสิ้นประมาณ 40,000-50,000 ตัน/ปี สำหรับงานโครงสร้างเหล็ก ส่วนงานท่อ มีกำลังการผลิตสูงสุดเท่ากับ 900,000 Diameter-Inch ต่อปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของเหล็กและโครงสร้างเหล็กที่มีผลต่อพื้นที่ในการทำงานอีกด้วยโดยบริษัทมีโรงงาน 2 แห่งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
ในปี 2548 เนื่องจากบริษัทมีการขยายตัวของรายได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 200 นั้น บริษัทจึงได้มีการขยายพื้นที่ทำงานเพิ่มขึ้น โดยเช่าพื้นที่ตามระยะเวลาของสัญญางานประมาณ 2 ปี ในจังหวัดระยอง เพื่อให้สามารถรองรับงานโครงการขนาดใหญ่ได้เสร็จตามกำหนดระยะเวลา  โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ผลิตโครงสร้างเหล็กในปริมาณเกือบ 40,000  ตัน และงานท่อกว่า 400,000 Diameter-Inch ซึ่งงานส่วนใหญ่เป็นงานโครงสร้างขนาดใหญ่และมีการใช้อัตรากำลังการผลิตได้อย่างเต็มที่
บริษัทมีบริษัทย่อย 2 บริษัท คือ บริษัท เอส ที ไอ ที จำกัด และบริษัท คลัฟ ซิโน-ไทย จำกัด อีกทั้งยังมีบริษัทร่วมอีก 1 บริษัท คือ Inter-IMC Pte Ltd โดยมีรายละเอียดดังนี้

ชื่อบริษัท ประเภทกิจการ ทุนเรียกชำระแล้ว
(บาท) สัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น (%)
1. บริษัท เอส ที ไอ ที จำกัด
จำหน่ายและให้เช่าเครื่องมือ เครื่องจักรในการก่อสร้างรวมทั้งบริการด้านวิศวกรรม 50,000,000 100
2. บริษัท คลัฟ ซิโน-ไทย จำกัด ผลิตโครงสร้างโลหะสำหรับงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น Platform และส่วนประกอบต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างโลหะในงานก่อสร้างอื่นๆด้วย 30,000,000 50
3.  Inter-IMC Pte Ltd. รับเหมาก่อสร้าง 500,000 เหรียญสิงคโปร์ 46

2)  ลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทย่อย
- บริษัท เอส ที ไอ ที จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2542 เป็นตัวแทนจำหน่ายและบริการสินค้าเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอุตสาหกรรมการผลิต รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าและบริการสินค้าหลายประเภท คือ Tower Crane ยี่ห้อ LIEBHERR จากประเทศเยอรมนี Concrete Pump และ Mortar Machine  ยี่ห้อ PUTZMEISTER จากประเทศเยอรมันนี Special  High Pressure Cleaner ยี่ห้อ Dyna Jet จากประเทศเยอรมนี   Crane พับติดรถบรรทุกยี่ห้อ ATLAS จากประเทศเยอรมนี เครื่องกำเนิดไอน้ำ ยี่ห้อ IHI จากประเทศญี่ปุ่น เครื่องอัดลม ยี่ห้อ CompAir จากประเทศอังกฤษ เครื่องวางท่อร้อยสายใต้ดินระบบ HDD (Horizontal Directional Drilling) ยี่ห้อ TERRA จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้บริการ Slipform, Formworks และเป็นตัวแทนจำหน่าย Mast Climbing Platform ยี่ห้อ  Scanclimber และ Genie Industries จากประเทศฟินด์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการให้บริการด้านวิศวกรรมและบริการหลังการขาย
- บริษัท คลัฟ ซิโน-ไทย จำกัด  ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2547 โดยเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัทกับ   บริษัท คลัฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งมีบริษัทแม่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในประเทศออสเตรเลียที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรมและก่อสร้าง โดยเฉพาะในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยได้ร่วมลงทุนกันเพื่อประกอบธุรกิจโครงสร้างโลหะสำหรับงานอุตสาหกรรม (Steel Structure) ซึ่งเป็น Platform และเป็นส่วนประกอบต่างๆสำหรับอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เคมีภัณฑ์ เหมืองแร่และโรงผลิตไฟฟ้า รวมถึงโครงสร้างโลหะในงานก่อสร้างอื่นๆด้วย

3)  ลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทร่วม
- Inter-IMC  Pte Ltd.     เป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีความชำนาญงานก่อสร้างทางด้านประกอบและติดตั้งระบบท่อ ติดตั้งเครื่องจักร โครงสร้างเหล็กของโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป เช่น โรงงานปิโตรเคมี     โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานผลิตยา โรงไฟฟ้า โรงบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น  โดยในปัจจุบันบริษัทรับงานในประเทศสิงคโปร์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
บริษัทมีนโยบายการแบ่งการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม คือ ให้มีนโยบายการกำหนดราคาโดยใช้ราคาตลาดในกรณีที่มีรายการค้าระหว่างกันในกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัท

(3)  โครงสร้างรายได้ของบริษัทและบริษัทย่อย  
(หน่วย : ล้านบาท)
รายได้ ดำเนินการ
โดย % การถือ 2548 2547 2546
หุ้นของบริษัท จำนวนเงิน % จำนวนเงิน % จำนวนเงิน %
1. งานแปรรูปโครงสร้างเหล็ก STP&I/CST 50 1,942.35 73.12 552.07 66.36 668.57 66.05
2. งานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กอื่นๆ STP&I - 405.65 15.32 99.16 11.92 155.09 15.32
3. รายได้จากการขายและบริการ STP&I / STIT/CST 100/50 307.00 11.56 180.73 21.72 188.59 18.63
รวม 2,655.00 100.00 831.96 100.00 1,012.25 100.00
หมายเหตุ: งานแปรรูปผลิตภัณท์อื่นๆ ได้แก่ งานประกอบและเชื่อมท่อ ภาชนะความดัน ผลิตภัณฑ์

กำลังการผลิตสูง
บริษัทสามารถออกแบบและผลิตงานเหล็กตามความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายรูปแบบด้วยกำลังการผลิตที่สูงประมาณ 50,000-60,000 ตันต่อปี และมีเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตอย่างเพียงพอและเหมาะสม โดยบริษัทมีโรงงานอยู่    2 แห่ง คือ
1) โรงงานชลบุรี  ตั้งอยู่ที่  เลขที่ 69 หมู่ 3 แขวงคลองตำหรุ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีเนื้อที่กว่า 56 ไร่
2) โรงงานระยอง ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 45/10 หมู่ 4 ถนนบ้านล่าง-หนองบอน แขวงนิคมพัฒนา กิ่งอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยองมีเนื้อที่กว่า 48 ไร่ โดยสามารถขยายกำลังการผลิตได้โดยการทำงานที่โครงการนั้นๆ หรือการเช่าโรงงานเพื่อรับงานเพิ่มเติมได้อีก

ba_2l เขียน: