ธรรมมะจากตลาดหุ้น
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 27, 2006 8:06 pm
พระพุทธเจ้ากล่าวว่าธรรมะที่ท่านค้นพบนั้นมีมากมายเท่าผืนป่าแต่สิ่งที่ควรรู้และควรนำมาปฏิบัตินั้นมีเพียงเท่าใบไม้กำมือเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถสรุปเป็นประโยคสั้น ๆ ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"(พุธทาส/แก่นพุธศาสตร์) ตัวอย่างความยึดมั่นถือมั่นที่เห็นชัด ๆ เช่นการยึดมั่นในของคู่เช่นดี กับไม่ดี เช่นหุ้นขึ้นกับหุ้นตกลองสังเกตุจิตดู เช่นหุ้นบางตัวขึ้น 20%ตอนเช้า :lol: แต่ตอนบ่ายลงมาเกือบติด floor จะเห็นว่าอารมณ์เราเปลี่ยงแปลงได้ตลอดเวลาถ้าเราเอาความยึดมั่นถือมั่นเข้ามาเป็นตัวหลักเราก็จะมองไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง หรือเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวง
เมื่อพิจารณาสูตรคำนวญมูลค่าหุ้นจากการคิดลดเงินปันผลที่ว่า
P=D/k
p= ราคาหุ้น
D= เงินปันผลปีหน้าที่คาดว่าจะจ่าย
k= ผลตอบแทนที่คาด
เงินปันผลที่จะจ่าย(D) เช่นบริษัทกำไรปีหน้า 400 ล้านนโยบายปันผล 50% ก็จ่าย 200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาก็จะเห็นความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาเช่นปีนี้กำไรเยอะก็จ่ายเยอะถ้ากำไรน้อยก็จ่ายน้อย ถ้าปีไหนขาดทุนก็ไม่จ่ายปันผล ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นเองตามเหตุปัจจัยของมัน
ส่วนผลตอบแทนที่คาด(k)ก็คือความยึดมันถือมั่นถือมั่นของเรานั่นเอง บางคนอยากรวยก็ต้องการ k เยอะ ๆ บางคนย้ายเงินจากฝากธนาคารมาก็ต้องการ k ที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากนิดหน่อย แล้วแต่จริตของแต่ละบุลคล
เมื่อเอามาหารกันตามสูตรก็จะได้ราคาหุ้นซึ่งเป็นแค่การให้คุณค่ากับความเป็นเช่นนั้นเอง เท่านั้นถ้าใครเล่นหุ้นโดยยึดราคาหุ้นเป็นสรณะเมื่อหุ้นตกก็จะมาตั้งกระทู้บ่นเป็นประจำ เพราะมองไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองยึดมั่นว่าเงินของกู หุ้นของกู ของกู ๆ ๆ ดังนั้นถ้าจะเล่นหุ้นไม่ให้เป็นทุกข์ ก็ทำตามคำแนะนำของวอเร็น ที่ว่าปิดคอม ไม่ต้องสนใจราคา ดูแค่พื้นฐานว่าเปลี่ยนหรือเปล่า
[/b]
เมื่อพิจารณาสูตรคำนวญมูลค่าหุ้นจากการคิดลดเงินปันผลที่ว่า
P=D/k
p= ราคาหุ้น
D= เงินปันผลปีหน้าที่คาดว่าจะจ่าย
k= ผลตอบแทนที่คาด
เงินปันผลที่จะจ่าย(D) เช่นบริษัทกำไรปีหน้า 400 ล้านนโยบายปันผล 50% ก็จ่าย 200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาก็จะเห็นความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาเช่นปีนี้กำไรเยอะก็จ่ายเยอะถ้ากำไรน้อยก็จ่ายน้อย ถ้าปีไหนขาดทุนก็ไม่จ่ายปันผล ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นเองตามเหตุปัจจัยของมัน
ส่วนผลตอบแทนที่คาด(k)ก็คือความยึดมันถือมั่นถือมั่นของเรานั่นเอง บางคนอยากรวยก็ต้องการ k เยอะ ๆ บางคนย้ายเงินจากฝากธนาคารมาก็ต้องการ k ที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากนิดหน่อย แล้วแต่จริตของแต่ละบุลคล
เมื่อเอามาหารกันตามสูตรก็จะได้ราคาหุ้นซึ่งเป็นแค่การให้คุณค่ากับความเป็นเช่นนั้นเอง เท่านั้นถ้าใครเล่นหุ้นโดยยึดราคาหุ้นเป็นสรณะเมื่อหุ้นตกก็จะมาตั้งกระทู้บ่นเป็นประจำ เพราะมองไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองยึดมั่นว่าเงินของกู หุ้นของกู ของกู ๆ ๆ ดังนั้นถ้าจะเล่นหุ้นไม่ให้เป็นทุกข์ ก็ทำตามคำแนะนำของวอเร็น ที่ว่าปิดคอม ไม่ต้องสนใจราคา ดูแค่พื้นฐานว่าเปลี่ยนหรือเปล่า
[/b]