Thai VI

หรือมีข่าวสารที่เป็นนัยสำคัญครับ...

TISCO แนะนำให้ซื้อครับ ผม post บทวิเคราะห์ในร้อยคนร้อยหุ้นแล้วไปดูได้

ราคาเป้าหมายที่ tisco บอกคือ 26 บาท ผมว่าเวอร์ไปนิดนึงนะ

ขอบคุณมากครับคุณ ayethebing....

น่าอายจัง.... ผมก็เทรดอินเตอร์เนทของทิสโก้น่ะครับ แต่วันนี้ไม่ได้ดูหน้าแรก ก็เลยเข้าไปขายหมูที่ 19-20.....ดีที่ยังเหลือติดปลายนวมไว้ลุ้นเล็กๆ..

เห็นด้วยว่าที่ 26 สูงไปนิดนึง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับตัวอื่นในกลุ่มเคมี ผมว่าก็ยังค่อนข้างถูกนะ..

ขอบคุณ คุณ ayethebing

อ่านวิจัยจาก TISCO แล้วเห็นด้วยเรื่องข้อมูลต่างๆ ส่วนเรื่องราคาไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป้นนักลงทุนระยะยาวมาก ซึ่งอนาคต TCB มีแนวโน้มดีมาก

ยอดขายปีนี้ไม่เติบโต เพราะใช้กำลังการผลิตเต้มที่แล้ว ส่วนปีหน้ายอดขายจะเติบโตขึ้น จากการขยายกำลังการผลิต ส่วนการลงทุนในจีน ตามโครงการจะคุ้มทุนใน1 ปีครึ่ง

บทวิเคราะห์ของ tisco ก็อย่างที่เราทราบนะครับ
ผมมีความเห็นว่า TCB ถึงแม้จะอยู่ในกลุ่มอุตสหกรรมเคมี
แต่ความจริง ผบประกอบการน่าจะเกี่ยวกับอุตหกรรมยานยนตร์
ดังนั้น หากเปรียบเทียบกับกลุ่มเคมี อาจจะไม่ถูกต้องนัก

คำถามอยู่ที่ว่า ถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มยานยนตร์
PE ยิ่งสูงว่า กลุ่มเคมีอีก
คราวนี้ คงต้องให้ วิจารณญานกันให้ดีละครับ

ขอแสดงความยินดีกับผู้ถือหุ้น TCB ด้วยครับ

ที่แปลกใจก้อคือบทความของ tisco ไม่มีอะไรใหม่ที่ไม่รู้มาก่อนเกี่ยวกับพื้นฐานของ tcb สงสัยภาวะตลาดกระทิงทำให้บทความง่ายๆ กลายเป็นตัวกระชากราคาหุ้นได้อย่างง่ายๆ เลยนะเนี่ย

ผมได้รับเมล์จาก มาร์ มีบทความเกี่ยวกับ TCB ด้วย
แต่ไม่รูใครเป็นผู้วิเคราะห์ ลองเอาไปฟังดูนะครับ

TCB.. โดยพื้นฐานแล้วถือเป็น Value Stock ตัวหนึ่ง ที่มีวอลุ่มการซื้อขาย/วันไม่มากนัก และเนื่องจากเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด มีผู้ผลิตผงคาร์บอนเพียง 2 รายในประเทศ โดยบริษัทครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ประมาณร้อบละ 56 และมีรายได้จากการส่งออกประมาณร้อยละ 58 ของรายได้ทั้งหมด จะได้ประโยชน์จากการที่ซื้อวัตถุดิบส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 จากสหรัฐฯ ทำให้ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้คาดว่าไตรมาส 3/2546 ผลการดำเเนนงานจะออกมาดีอย่างเด่นชัด และคาดว่าทั้งปี 46 จะมี EPS ประมาณ 2.0 - 2.1 บาท (ที่พาร์ 1 บาท) ซึ่งถ้าให้ PE 10-12 เท่า (เทียบกับกลุ่มที่ 9-20 เท่า) จะได้ราคาเหมาะสมที่สิ้นปี 46 ที่ 20 -25.20 บาท นั่นหมายความว่าวันนี้ได้ไล่ราคาขึ้นมาเกือบถึงราคา ณ สิ้นปีแล้ว ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีสาเหตุจากข่าวหรือเก็งผลการดำเนินงาน ดังนั้นถ้าซื้อลงทุนถือว่าน่าสนใจ (ให้ yield ประมาณ 6%) แต่ถ้าลงทุนระยะสั้นควรระวังการเทขายทำกำไร

ไม่ทราบว่า อยากจะอ่านข่าวของ TCB ด้วยคนนะครับ ผมซื้อไว้ตั้งนานแล้ว วันนี้มาดูราคาเห็นเพิ่มเป็น 22 บาทกว่าๆ ตกใจเลย ครับ เลยอยากจะขอทราบข้อมูลเพิ่มหน่อย นะครับ

ขอเพิ่มเติมข้อมูลคุณ sirivijj

ปัจจุบัน Bridgestone เป็นผุ้ผลิตอีกราย แต่ผลิตคาร์บอนคนละประเภทซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในยางรถแข่ง ไม่ได้มีผลกระทบกับ TCB เพราะ Bridgestone ยังขอให้ TCB ผลิตให้เพิ่มอีกต่างหาก ทั้งที่ TCB ใช้เต็มกำลังการผลิต

หุ้น TCB ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง แต่รายใหญ่อยากได้ ก็ต้องหลอกล่อให้รายย่อยขาย โดยลากขึ้นลากลงหลายรอบ เมื่อได้จำนวนมากแล้ว หุ้นก็พุ่งดังที่เห็น

สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ไม่หวั่นไหวและมั่นคง ย่อมจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ

I read few months ago that Bridgestones is inveting 1.7 B to build a 40,000 t/y carbon black plant in Rayong. production will start Q2/2004. Will it affect TCB's revenue? The above info may not be accurate, pls recheck from Bridgestone web site.

อยากเรียนเชิญทุกคนไป post ที่ร้อยคนร้อยหุ้น แต่ก้อไม่เป็นไรครับ ผมถือ TCB มาแค่ปีเดียวแต่ก้อติดตามมาตลอด ลองดูความเห็นผมนะครับ

- TCB เป็นบริษัทที่ขายสินค้าผูกขาด อันนี้ผมไม่เชื่อครับ ผงเขม่าดำไม่ผูกขาดหรอกครับเพียงแต่ว่าในประเทศไทยมีแค่ 2 รายเท่านั้น ขณะที่ทั่วโลกมีหลายบริษัทที่ผลิตผงเขม่าดำและมีการแข่งขันกันสูงพอสมควร อย่างไรก้อตาม ด้วยสัดส่วนการส่งออก 50 กว่าเปอร์เซนต์ของ TCB และสินค้าที่มีคุณภาพดี ก้อเลยทำให้ TCB แข่งขันได้ โดยเฉพาะตอนนี้ตลาดในประเทศน่าจะเติบโตสูงเพราะรถขายดีเหลือเกิน

- Bridgestone เท่าที่รู้จะผลิตผงเขม่าดำที่คนละเกรดกับ TCB ใช้แทนกันไม่ได้จึงไม่เป็นคู่แข่งโดยตรงครับ

- TCB ไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินมากนัก เพราะมูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบกับการส่งออกมีมูลค่าใกล้เคียงกัน สิ่งที่มีผลกระทบมากกว่าคือราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันขึ้นต้นทุนขายของ TCB จะขึ้นตามไปด้วย เนื่องจาก CBFO (Carbon Black Feedstock Oil) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ TCB ได้มาจากการกลั่นน้ำมันครับ

- ผมว่า EPS ของปีนี้น่าจะอยู่ที่แค่ 1.8 - 2 บาทแค่นั้น และไม่คิดว่า Q3 จะดีมากนักเมื่อเทียบ qoq กับปีที่แล้ว เหตุผลก้อง่ายๆครับ ปีที่แล้ว Q3
ราคาน้ำมันไม่สูงเท่าปีนี้ครับ

- ผมคิดว่าเงินปันผลของปีนี้คงไม่เกิน 1 บาท (ปีที่แล้วปันผล 0.6 บาท)เพราะเงินสดของ TCB ไปลงทุนในจีนซะเยอะทำให้สภาพคล่องของปีที่แล้วหายไปเยอะ ด้วยราคา 22.7 บาท dividend yield สูงสุดก้อคือ 4.4%

- การลงทุนในจีนเป็นการขยายไปตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมาก ตอนนี้ตลาดรถยนต์ในเมืองจีนขยายตัว เกือบ 200 % ต่อปี ยิ่งโรงงานในจีนเสร็จเร็วเท่าไร TCB ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น คิดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ใน Q2 ปีหน้ากระมัง (อันนี้ไม่แน่ใจ เดาครับ)

TCB ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง แต่บางวันก้อพุ่งกระฉูดเลย ผมก้ออยู่นิ่งๆ ครับ มีเยอะพอสมควรแล้ว ก้อเลยเฉยๆ

ข้อมูลใหม่ใน research ของ TISCO คือ TCB มีการขยายกำลังการผลิตในปีนี้ประมาณ 15% และข้อมูลใหม่ที่ผมเพิ่งทราบ คือ TCB มีโครงการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกในปี 2548 ซึ่งจะทำให้เป็นโรงงานที่ผลิตคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ใครที่สามารถดึงข้อมูลของ TISCO ฉบับเต็มมาในนี้ไได้ น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน ผมขอโทษด้วยที่ดึงข้อมูลไม่เป็น

ผมมีแล้วครับ แต่มันเป็น pdf ไฟล์จะทำยังไงดีเนี่ย เดี๋ยวลองคิดดูก่อนครับ

ไม่ต้องทิ้ง e-mail นะครับ เดี๋ยวผมหาทางก่อน[/img]

เพราะลิ้นนักวิเ้คราห์แท้ๆ..... ลิ่งมาสองวันแล้ว..
ช่างเป็นลิ้นเงินลิ้นทองจริงๆ....
ถ้าไม่มีจรรยาบรรณ...นักวิเคราะห์คงรวยกันทุกคน...

เห็นด้วยกับคุณ ืno name ว่ามีการโยกขึ้นลงเก็บของมาหลายครั้งแล้วครับ..


อีกบริษัทที่จะได้รับประโยชน์ หากราคา TCB ยังทรงตัวระดับนี้ คือ TR
เพราะถือหุ้น TCB อยู่ประมาณ 25 %
งบไตรมาส 1 ของ TR จะบันทึกราีคาแบบ mark to market คงจะบันทึกเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก...

โปรดใช้วิจารณญานครับ เพราะผู้เขียนมีส่วนได้ส่วนเสีย.. :lol:

คุณลูกอีสาน

สิ่งที่ผ่านมาขอให้ผ่านไป ตั้งสติให้ดีแล้วเริ่มใหม่

ส่วนตัว ผมถือหุ้น TCB หลายแสนหุ้น โดนรายใหญ่โยกหลอกหลายครั้ง แต่ไม่เคยหวั่นไหว ไม่ขายแต่ซื้อเพิ่มตลอด เพราะมั่นใจในศักยภาพบริษัทและได้ติดตามมานานพอควร

ข้อมูลที่ใหม่จริงๆ คือ บริษัทจะมีโครงการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกในปี 2548 ซึ่งทำให้บริษัทเป้นผู้ที่มีโรงงานใหญ่ที่สุดในโลก จากประมาณการของ TISCO ค่า PE จะลดลงเหลือ ุ6-7 เท่าในปี 2548
จากปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ 15 เท่า

TR ได้ประโยชน์จากการถือหุ้น TCB โดย TR ถือหุ้น 25% จะบันทึกตามวิธีส่วนได้เสีย ซึ่งคิดตามสัดส่วนกำไรของ TCB แต่ไม่ได้อะไรจากการที่หุ้น TCB ขึ้นนอกจากจะขายหุ้นออก ซึ่งคงไม่ขายแน่นอน
สรุป คือ TR จะได้ประโยชน์ในระยะยาวแต่ในระยะสั้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการที่หุ้น TCB ขึ้น จนกว่า TCB มีกำไรเพิ่มและจ่ายปันผลเพิ่มครับ

สำหรับธุรกิจหลักของ TR ยังคงเผชิญการแข่งขันสูงครับ

โทษทีครับผมสับสนไปหน่อย

TR น่าจะบันทึกเงินลงทุนใน TCB แบบส่วนได้เสียครับ
ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับราคาหุ้นในตลาด แต่ขึ้นอยู่กับกำไรของ TCB
ขอบคุณครับคุณ no name ที่ท้วงติง :lol:

ยอมรับว่าอาจจะไม่เป็น VI ที่แท้จริงครับ เพราะพอหุ้นขึ้นมานิดหน่อยก็มักจะขายไปครับ เพื่อไปซื้อตัวที่ยังถูกอยู่ แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากครับ

คงต้องฝึกฝนความอดทนอีกเยอะครับ ให้เหมือนคุณ no name , คุณ Fitch , คุณ Tanwa ,คุณวิบูลย์ :lol:

(ผมนับถือว่าใจนิ่งจริงๆครับ ขึ้นสองลิ่งแล้วไม่ขาย )

คุณลูกอีสาน

สำหรับผมจะไม่ขายหุ้นเพียงเพราะซิลลิ่ง 2 วันครับ แต่จะขายเมื่อปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางไม่ดี หรือ ราคาแพงเกินไป หรือ มีหุ้นตัวใหม่ที่น่าสนใจกว่า

เพราะการขายหุ้นเพียงเพราะราคาวิ่งแรง อาจทำให้พลาดโอกาสถือหุ้นที่จะกำไร 3-4 เท่าในอนาคตได้
สำหรับผม ไม่ใช่เรื่องใจนิ่งหรือไม่นิ่งครับ ขอให้ให้ความสำคัญกับอนาคตของบริษัทให้มาก

โดยทั่วไปแล้วผมว่าเราไม่น่าถือความเปลี่ยนแปลงในราคาของหลักทรัพย์เป็นประเด็นในการมองว่าหุ้นแม่จะดีหรือไม่ดี เพราะราคาหลักทรัพย์ยังไม่ได้สะท้อนกำไรในแง่เงินสดยกเว้นบริษัทแม่จะขายหุ้นลูกออกไป

การบันทึกแบบส่วนได้ส่วนเสียจะเห็นภาพชัดกว่าครับ เพราะเอากำไรที่เกิดจริงมาบันทึกลงในบัญชี

ระวังการปั่นหุ้นลูกเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้นแม่นะครับ

อันนี้ไม่ได้เจาะจงในกรณีของ TCB กับ TR นะครับ เป็นการกล่าวโดยทั่วไป

อ้าว ถ้างั้น TR ก็ขึ้นอีกซิ เพราะถือ TCB ตั้ง 25 เปอร์เซ็นต์

อืม ลืมไปจิงๆ

คูณ No Name นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ
สงสัยต้องแวะเวียนมาให้ความรู้แก่คนห้องนี้ให้บ่อยขึ้นนะครับ

ขอบคุณครับ

ถ้าว่างจะแวะเข้ามาแสดงความเห็นในสิ่งที่รู้ หากเป็นประโยชน์กับบางท่านในห้องนี้

อีกหนึ่งในหุ้นสภาพคล่องต่ำที่ลิ่งในช่วงนี้

ลองสังเกตดูมีหุ้นหลายตัวที่รับเอาข่าวดีในอนาคตมาตีเป็นมูลค่าหุ้นตอนนี้หมดแล้ว ถ้าสมมติว่าต่อไปมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่มองโลกในแง่ดีเอาไว้จะเกิดอะไรขึ้น

ตอนหุ้นขาขึ้น ทุกคนก็เอาแต่ปัจจัยบวกมาพูดกันทั้งนั้น

**ที่เขียนนี่ไม่ได้ไม่ชอบหุ้น TCB นะครับ เป็นตัวโปรดเหมือนกัน เพราะชอบใจคุณภาพสินค้า แต่ไม่ชอบราคาหุ้นตอนนี้ครับ มันน่าจะค่อยเป็นค่อยไป หรือสะท้อนจากผลประกอบการมากกว่า

จริงๆแล้วดีนะ FE หุ้นขึ้นมากๆ เดี๋ยวตอนลง มันก็จะลงมากๆเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นตอนลงมากๆ ก็อย่าเพิ่งรีบไปรับนะครับ

รอให้ลงให้สุดๆก่อนแล้วค่อยๆเข้าไปรับ ในจังหวะที่พื้นฐาน น่าจะรับได้

เช่นตอนที่พี่ดู AEONTS เห็นมันลงมาตั้งแต่ 250 ลงเหลือ 170 ตอนนั้น สมัยนั้น ดูๆแล้ว ไม่ไหว ก็ปล่อยไป

ข่าวร้ายก็มี ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับกิจการ AEONTS

แต่ราคาลงต่อ 130-140 พี่ก็ไม่ยุ่ง

มันก็ลงต่ออีกจนได้ ลงมาที่ 100 พี่ก็เริ่มคำนวณ ซื้อทั้งบริษัทดูแล้วคุ้ม พี่ก็เข้าซื้อเลย

พี่ Jeng เอา AEONTS มาเล่าให้ผมอิจฉาอีกแล้ว นี่อุตส่าห์แกล้งลืมๆ ไปตั้งนานแล้วนะ

โอยยย..ตาร้อนผ่าวๆ

เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่คอยดูนะ หุ้นสุดเลิฟของผมตัวหนึ่งจะทำให้พี่ตาร้อนบ้างล่ะนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... (แล้วจะชวนท่าน Thanwa มาช่วยกันโม้ด้วยในฐานะผู้ถือหุ้นด้วยกัน)

ฮ่า ฮ่า ฮ่า

FE นี่ท่าทางได้คุยกันไปอีก หลายสิบปีแน่ๆ

.................................................................

เหตุผลคือ น่าจะเป็นบุคคลที่ฝ่ามรสุม ขึ้นลงของหุ้นได้ อีกหลายรอบเลย

คุณ FE

เห็นด้วยเรื่องหุ้นหลายตัวเอาปัจจัยดีในอนาคต มาตีค่าเป้นราคาในปัจจุบัน

เพราะตลาดหุ้นเป็นเรื่องของอนาคต

ทำไมนักลงทุนซื้อหุ้น STANLY ทั้งที่ PE 20 กว่าเท่า

เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่า กำไรของ STANLY จะเติบโตสูงมาก จนค่า PE ลดลงในอนาคต

หากสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นจริง ย่อมส่งผลต่อราคาหุ้นเช่นกัน

ในฐานะที่เป้นนักลงทุนระยะยาวและเน้นปัจจัยพื้นฐาน ผมจึงต้องคอยติดตามผลการดำเนินและข่าวต่างๆ ของบริษัทที่ลงทุนไว้ เพื่อจะไช้ในการตัดสินใจที่จะขายหุ้นออกหรือซื้อหุ้นเพิ่มครับ

แต่อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนครับ

ดอย่าง COKE ของนาย Buffett ซิครับ

ปัจจบันแนวโน้มแย่ลงพอสมควรนะครับ เพราะโดนเครื่องดื่มอื่นตีอย่างหนักครับ อัตราเติบโตแถบไม่มีแล้วครับ ราคาก็ร่วงพอสมควร

ลองอ่านจาก FORTUNE ซิครับ

ที่ว่าแน่ๆ ก็อาจจะไม่แน่นะครับ สมัยนี้ การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าสมัยก่อนเยอะ

ใครได้ข่าวบริษัทผลิตจอคอมพิวเตอร์ จะผลิตโทรทัศน์บ้างครับ

เค้าบอกว่าธรกิจจอคอมฯมี Margin ประมาณแค่ 15% แต่ธรกิจโทรทัศน์มี Margin ถึง 25%

SONY และ SAMSUANG คงจะแย่ละครับ มีคนแข่งเพิ่มขึ้น

เห็นด้วยกับคุณ Chatchai ว่า อนาคตเป้นสิ่งไม่แน่นอน

ผมจึงสรุปในตอนท้ายไงครับว่า

ในฐานะนักลงทุนระยะยาวและเน้นปัจจัยพื้นฐาน ผมจึงต้องติดตามผลการดำเนินงาน ปัจจัยต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัท เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ผมจะยังคงถือหุ้นนั้นอยู่ตราบใดที่แน้วโน้มธุรกิจยังดี หากมีปัจจัยลบจะต้องนำมาวิเคราะห์ว่า จะส่งกระทบต่อบริษัทอย่างไร

การลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องของอนาคตต้องยอมรับว่ามีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนที่ดีและประสบความสำเร็จจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับความไม่แน่นอนที่จะเกิดในอนาคตครับ

"นายแน่มาก" วันนี้ลิ่งที่สามแล้วนะ...

ผมจะแปลกใจมากที่ คุณ No Name,คุณ Thanwa, คุณ ayethebing ยังไม่ได้ขายออกไป...

ณ.ราคานี้ 37.25 พีอีที่ 19.21 เท่า!!

ส่วนผมขายไปหมดแล้ว ได้สูงสุดที่ 29.5 ต่ำสุดที่ 19.5 .

กึ๊ย เหลืออยู่กะติ๊ดเดียวครับ แถมขายไปครึ่งนึงเมื่อเช้านี้ที่ 30 ต้นๆ ลิ่งให้ดูซะเลยครับ

คาดว่า "ข่าวร้าย" ของ TCB กำลังจะออกครับ เลยลิ่งเอาไว้ก่อน พอข่าวออกมาก็ตกมาที่เดิม ราคาจะได้ไม่เสีย