hot fill vs cool fill !?!?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 23, 2006 1:51 pm
สงสัยอะคับถ้าใครยังถือoishiอยู่รบกวนถามคุณตันเรื่องนี้ให้หน่อยสิคับถ้าใครเคยอ่านในหนังสือชีวิตนี้ไม่มีทางตัน
คุณตันจะเลือกเครื่องจักร hot fill เพราะ...
แต่ตอนนี้คู่แข่งกับเปลี่ยนอีกแล้วคุณตันจะทำงัยหรือคับ
และตอนนั้นเลือกผิดหรือป่าวคับ
ไม่มีหุ้นอะเค้าแล้วหรอกแต่สงสัยจิงๆ
อยากรู้ความคิดอะคับ
แล้วจะทำอย่างไร
เอาใจช่วยคับ
อิอิ...
จากbizweekนะคับ
อเซฟติกคูลฟีล "เทคโนโลยี"เพิ่มจุดขาย
"เทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ผู้ประกอบการจึงต้องหาเทคโนโลยีที่ทำให้ได้สินค้ามีรสชาติ คุณค่าใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไทยกำลังเดินตามญี่ปุ่นและไต้หวันที่ใช้เทคโนโลยีแบบเย็นเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว"
ยูนิฟ -ทิปโก้-มาลี กำลังเริ่มสงครามเครื่องดื่มตัวใหม่ด้วยเทคโนโยลีการผลิต Aseptic Cold Filling ที่เดินตามญี่ปุ่นและไต้หวัน ไม่ใช่แค่ต้นทุนที่ลดได้ 5% แต่ความสดของกลิ่นและรสชาติต่างหากที่เป็นจุดขาย ยูนิฟลงทุน 1,300 ล้าน ทิปโก้ 1,000 ล้าน ส่วนมาลีเริ่มต้นสายการผลิตให้แบรนด์โออีเอ็มที่ 200 ล้านก่อนใส่เงินขยายเพื่อแบรนด์ตัวเอง
..............................
เทคโนโลยีการผลิตเครื่องดื่มแบบเย็นหรือ Aseptic Cold Filling กำลังเข้ามาแทนที่สายการผลิตแบบเดิมที่เรียกว่า Hot filling เป้าหมายของเทคโนโยนี้ทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนสินค้าได้อย่างน้อย 5 % ที่ถือว่ามากพอในภาวะต้นทุนสูงเช่นนี้
แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นอยู่ที่จุดขายตรงใจผู้บริโภคที่มองหาสินค้าจากธรรมชาติ เพราะเครื่องดื่มที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ได้กลิ่น รสชาติ และคุณค่าใกล้เคียงธรรมชาติมากกว่าการผลิตแบบ Hot filling
ทั้งนี้เพราะว่าเครื่องดื่มที่ผ่านการผลิตและบรรจุด้วยเครื่องจักรในแบบ Hot filling จะต้องใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อทั้งตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เรียกง่ายๆ ว่าฆ่าเชื้อทั้งเครื่องดื่มและขวด และบรรจุลงขวดในขณะที่อุณหภูมิประมาณ 80-94 องศาเซลเซียส ดังนั้นขวดที่ใช้จึงต้องเป็นพลาสติก ทนความร้อนและมีความหนาพอ และความร้อนที่นานนี่เองที่เป็นตัวทำลายคุณค่าสารอาหารธรรมชาติ
แต่เทคโนโลยีแบบเย็น Cold Filling แม้กระบวนการผลิตจะผ่านความร้อนเช่นเดียวกัน แต่มีขั้นตอนลดความร้อนหรือทำให้เย็น 20-60 นาทีก่อนบรรจุเครื่องดื่มลงขวด การผ่านความร้อนที่น้อยกว่านี้และลดอุณหภูมิลงทันทีนี้เองที่ทำให้เครื่องดื่มที่ได้สูญเสียวิตามินและคุณค่าทางอาหารน้อยกว่า คงกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงธรรมชาติมากกว่า
ทีเซิน หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มยูนิฟ บอกว่า เทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ผู้ประกอบการเครื่องดื่มในไทยจึงต้องมองหาเทคโนโลยีที่ทำให้ได้สินค้ามีรสชาติ คุณค่าใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไทยกำลังเดินตามญี่ปุ่นและไต้หวันที่หันมาใช้เทคโนโลยีแบบเย็นที่ทั้งสองประเทศใช้ระบบการผลิตดังกล่าวเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว
ยูนิฟจึงได้ทุ่มงบประมาณ 1,300 พันล้านบาท ติดตั้งเครื่องจักร Aseptic Cold Filling สำหรับการผลิตน้ำผักผลไม้ ชา และน้ำผลไม้ 30% ในขวดเพ็ท โดยเฉพาะน้ำผลไม้เดลี่ ซี (Daily C) ซึ่งคงวิตามินซีสูง 80% ตามความต้องการวิตามินซีในแต่ละวันของผู้บริโภค
นอกจากนี้ระบบการผลิตแบบเย็นสามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 5% ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนของพลาสติกที่นำมา ทำขวด เพราะการบรรจุในอุณหภูมิห้องจึงใช้พลาสติกที่บางกว่าได้
อย่างไรก็ดีการบรรจุแบบเย็นก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เช่น ต้นทุนที่ลดได้ 5% จะต้องผลิตให้ได้ 2 แสนหีบต่อเดือน
(1 หีบเท่ากับขวดเพ็ท 24 ขวด) โดยปัจจุบันเทคโนโลยีแบบเย็นของยูนิฟ 1 ไลน์ผลิตเครื่องดื่มได้ 6 แสนหีบต่อเดือน ต่างจากแบบ ร้อนจำนวน 2 ไลน์ ผลิตได้ 2 แสนหีบต่อเดือน
"โรงงานของยูนิฟอยู่ที่บ้านแพ้ว จ.นครปฐม มีเครื่องจักรบรรจุร้อน 2 เครื่อง หลังจากติดตั้งเครื่องบรรจุเย็นจะนำเครื่องบรรจุร้อนไปยังประเทศจีน 1 เครื่องเพราะในไทยถ้ามีการลงทุนเพิ่มจะเป็นการลงทุนในเครื่องบรรจุเย็นทั้งหมด"
เขา บอกต่อว่า ระบบการผลิตดังกล่าวจะทำให้เครื่องดื่มยูนิฟเป็นที่ตอบรับของตลาด ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มน้ำผักและผลไม้, ชา, น้ำผลไม้ 30% เดลี่ซี, ยูนิฟไอเฟิร์ม และกาแฟ โดยเฉพาะในตลาดชาคาดว่ายูนิฟจะกลับมามีส่วนแบ่งตลาด 30% ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากลดลงอยู่ที่ 15%
ช่วงกลางปีนี้ส่วนแบ่งตลาดชาพร้อมดื่มลดลงเพราะเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงหันมาลงทุนเครื่องจักรใหม่และให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการบรรจุเย็น ที่จะเป็นจุดขายให้กับผลิตภัณฑ์ยูนิฟ
แต่การโฟกัสในครั้งนี้มุ่งไปยังตลาดชาทั้งตลาดไม่เฉพาะชาเขียวเท่านั้น ซึ่งล่าสุดเปิดตัวชาดำบาร์เลย์แบล็คที โดยชูจุดขายให้เป็นชาตะวันตกเพราะชาเขียวเป็นตัวแทนของชาตะวันออก
ผู้บริโภคไม่สนใจว่าบริษัทลงทุนในการผลิตแค่ไหน ดียังไง พวกเขาสนใจแค่สินค้ารสชาติดี ถูกปากหรือเปล่า แต่เทคโนโลยีใหม่นี้เราจำเป็นต้องเดินสายให้ความรู้ในการผลิตที่ทำให้ได้สินค้ามีคุณภาพพร้อมๆ กับการแจกชิมสินค้า"
ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้ใช้งบการตลาดมากกว่า 300 ล้านบาทและ 60% เน้นไปที่การให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี Aseptic Cold Filling ซึ่งคาดว่าจะทำให้ตลาดชาที่ชะลอตัวตั้งแต่กลางปี 2548 เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% โดยปัจจุบันตลาดชาพร้อมดื่มมูลค่าลดลงจาก 4,500 ล้านในปีที่แล้วคาดว่าจะเหลือ 3,700 ล้านบาทในปีนี้
นอกจากชาแล้วยังมีอีกหลายเซ็กเมนท์ที่บริษัทให้ความสนใจในปีนี้ เช่น เครื่องดื่มให้พลังงานที่ยูนิฟไอเฟิร์มมีส่วนแบ่ง 5% ในตลาดอยู่ในขณะนี้ บริษัทคาดว่าจะโตแบบค่อยเป็นค่อยไป จนมีส่วนแบ่งตลาด 6-7% ภายในสิ้นปี จากตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานมูลค่า 220 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเป็น 300 ล้านบาท นอกจากนั้นแล้วยูนิฟยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดน้ำผลไม้ 40% มีส่วนแบ่ง 34% และเป็น อันดับสองในตลาดน้ำผลไม้ 100% ด้วยส่วนแบ่ง 18% อีกด้วย
เป้ายอดขายปี 2549 ตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท แบ่งออกเป็นจากกลุ่มชาหรือชา 30% กลุ่มน้ำผักและน้ำผลไม้ 40% กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้พลังงานหรือ ยูนิฟ ไอเฟิร์ม 10% กลุ่ม เครื่องดื่มกาแฟ 10% และผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 10%
ทางด้านบริษัททิปโก้ ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หลังจากวางนโยบายการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในเอเชียอยู่ในระหว่างการซุ่มลงทุนเครื่องจักรคูลฟิลกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อผลิตเครื่องดื่มใหม่ในปีนี้เช่นกัน
เช่นเดียวกับ พิศักดิ์วลี เศวตนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตราผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัทมาลีสามพราน บอกว่า มาลีอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตมาสู่ Aseptic Cold Filling เช่นกัน มาลีเริ่มจากการลงทุนเทคโนโลยีนี้ประมาณ 200 ล้านบาทโดยเริ่มจากการรับจ้างผลิตให้ผู้ประกอบการในประเทศ ก่อนการผลิตให้แบรนด์มาลี
"เทคโนโลยีเน้นความปลอดภัย สด คุณค่าใกล้เคียงกับธรรมชาติ และแบรนด์ใหม่ที่อยู่ภายใต้เทคโนโลยีนี้จะออกมาปลายปีนี้ และถ้าตลาดตอบรับมากเราก็พร้อมจะขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อรองรับแบรนด์มาลีด้วย"
การเติบโตกว่า 20% ของน้ำผลไม้มาลีในรูปแบบพาสเจอร์ไรซ์ที่วางจำหน่ายเมื่อกลางปี 2548 มากกว่าตลาดน้ำผลไม้โดยรวมแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญกับเครื่องดื่มที่สด รสชาติ คุณค่าใกล้เคียงกับธรรมชาติและเทคโนโลยีดังกล่าวให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
คุณตันจะเลือกเครื่องจักร hot fill เพราะ...
แต่ตอนนี้คู่แข่งกับเปลี่ยนอีกแล้วคุณตันจะทำงัยหรือคับ
และตอนนั้นเลือกผิดหรือป่าวคับ
ไม่มีหุ้นอะเค้าแล้วหรอกแต่สงสัยจิงๆ
อยากรู้ความคิดอะคับ
แล้วจะทำอย่างไร
เอาใจช่วยคับ
อิอิ...
จากbizweekนะคับ
อเซฟติกคูลฟีล "เทคโนโลยี"เพิ่มจุดขาย
"เทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ผู้ประกอบการจึงต้องหาเทคโนโลยีที่ทำให้ได้สินค้ามีรสชาติ คุณค่าใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไทยกำลังเดินตามญี่ปุ่นและไต้หวันที่ใช้เทคโนโลยีแบบเย็นเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว"
ยูนิฟ -ทิปโก้-มาลี กำลังเริ่มสงครามเครื่องดื่มตัวใหม่ด้วยเทคโนโยลีการผลิต Aseptic Cold Filling ที่เดินตามญี่ปุ่นและไต้หวัน ไม่ใช่แค่ต้นทุนที่ลดได้ 5% แต่ความสดของกลิ่นและรสชาติต่างหากที่เป็นจุดขาย ยูนิฟลงทุน 1,300 ล้าน ทิปโก้ 1,000 ล้าน ส่วนมาลีเริ่มต้นสายการผลิตให้แบรนด์โออีเอ็มที่ 200 ล้านก่อนใส่เงินขยายเพื่อแบรนด์ตัวเอง
..............................
เทคโนโลยีการผลิตเครื่องดื่มแบบเย็นหรือ Aseptic Cold Filling กำลังเข้ามาแทนที่สายการผลิตแบบเดิมที่เรียกว่า Hot filling เป้าหมายของเทคโนโยนี้ทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนสินค้าได้อย่างน้อย 5 % ที่ถือว่ามากพอในภาวะต้นทุนสูงเช่นนี้
แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นอยู่ที่จุดขายตรงใจผู้บริโภคที่มองหาสินค้าจากธรรมชาติ เพราะเครื่องดื่มที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ได้กลิ่น รสชาติ และคุณค่าใกล้เคียงธรรมชาติมากกว่าการผลิตแบบ Hot filling
ทั้งนี้เพราะว่าเครื่องดื่มที่ผ่านการผลิตและบรรจุด้วยเครื่องจักรในแบบ Hot filling จะต้องใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อทั้งตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เรียกง่ายๆ ว่าฆ่าเชื้อทั้งเครื่องดื่มและขวด และบรรจุลงขวดในขณะที่อุณหภูมิประมาณ 80-94 องศาเซลเซียส ดังนั้นขวดที่ใช้จึงต้องเป็นพลาสติก ทนความร้อนและมีความหนาพอ และความร้อนที่นานนี่เองที่เป็นตัวทำลายคุณค่าสารอาหารธรรมชาติ
แต่เทคโนโลยีแบบเย็น Cold Filling แม้กระบวนการผลิตจะผ่านความร้อนเช่นเดียวกัน แต่มีขั้นตอนลดความร้อนหรือทำให้เย็น 20-60 นาทีก่อนบรรจุเครื่องดื่มลงขวด การผ่านความร้อนที่น้อยกว่านี้และลดอุณหภูมิลงทันทีนี้เองที่ทำให้เครื่องดื่มที่ได้สูญเสียวิตามินและคุณค่าทางอาหารน้อยกว่า คงกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงธรรมชาติมากกว่า
ทีเซิน หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มยูนิฟ บอกว่า เทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ผู้ประกอบการเครื่องดื่มในไทยจึงต้องมองหาเทคโนโลยีที่ทำให้ได้สินค้ามีรสชาติ คุณค่าใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไทยกำลังเดินตามญี่ปุ่นและไต้หวันที่หันมาใช้เทคโนโลยีแบบเย็นที่ทั้งสองประเทศใช้ระบบการผลิตดังกล่าวเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว
ยูนิฟจึงได้ทุ่มงบประมาณ 1,300 พันล้านบาท ติดตั้งเครื่องจักร Aseptic Cold Filling สำหรับการผลิตน้ำผักผลไม้ ชา และน้ำผลไม้ 30% ในขวดเพ็ท โดยเฉพาะน้ำผลไม้เดลี่ ซี (Daily C) ซึ่งคงวิตามินซีสูง 80% ตามความต้องการวิตามินซีในแต่ละวันของผู้บริโภค
นอกจากนี้ระบบการผลิตแบบเย็นสามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 5% ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนของพลาสติกที่นำมา ทำขวด เพราะการบรรจุในอุณหภูมิห้องจึงใช้พลาสติกที่บางกว่าได้
อย่างไรก็ดีการบรรจุแบบเย็นก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เช่น ต้นทุนที่ลดได้ 5% จะต้องผลิตให้ได้ 2 แสนหีบต่อเดือน
(1 หีบเท่ากับขวดเพ็ท 24 ขวด) โดยปัจจุบันเทคโนโลยีแบบเย็นของยูนิฟ 1 ไลน์ผลิตเครื่องดื่มได้ 6 แสนหีบต่อเดือน ต่างจากแบบ ร้อนจำนวน 2 ไลน์ ผลิตได้ 2 แสนหีบต่อเดือน
"โรงงานของยูนิฟอยู่ที่บ้านแพ้ว จ.นครปฐม มีเครื่องจักรบรรจุร้อน 2 เครื่อง หลังจากติดตั้งเครื่องบรรจุเย็นจะนำเครื่องบรรจุร้อนไปยังประเทศจีน 1 เครื่องเพราะในไทยถ้ามีการลงทุนเพิ่มจะเป็นการลงทุนในเครื่องบรรจุเย็นทั้งหมด"
เขา บอกต่อว่า ระบบการผลิตดังกล่าวจะทำให้เครื่องดื่มยูนิฟเป็นที่ตอบรับของตลาด ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มน้ำผักและผลไม้, ชา, น้ำผลไม้ 30% เดลี่ซี, ยูนิฟไอเฟิร์ม และกาแฟ โดยเฉพาะในตลาดชาคาดว่ายูนิฟจะกลับมามีส่วนแบ่งตลาด 30% ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากลดลงอยู่ที่ 15%
ช่วงกลางปีนี้ส่วนแบ่งตลาดชาพร้อมดื่มลดลงเพราะเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงหันมาลงทุนเครื่องจักรใหม่และให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการบรรจุเย็น ที่จะเป็นจุดขายให้กับผลิตภัณฑ์ยูนิฟ
แต่การโฟกัสในครั้งนี้มุ่งไปยังตลาดชาทั้งตลาดไม่เฉพาะชาเขียวเท่านั้น ซึ่งล่าสุดเปิดตัวชาดำบาร์เลย์แบล็คที โดยชูจุดขายให้เป็นชาตะวันตกเพราะชาเขียวเป็นตัวแทนของชาตะวันออก
ผู้บริโภคไม่สนใจว่าบริษัทลงทุนในการผลิตแค่ไหน ดียังไง พวกเขาสนใจแค่สินค้ารสชาติดี ถูกปากหรือเปล่า แต่เทคโนโลยีใหม่นี้เราจำเป็นต้องเดินสายให้ความรู้ในการผลิตที่ทำให้ได้สินค้ามีคุณภาพพร้อมๆ กับการแจกชิมสินค้า"
ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้ใช้งบการตลาดมากกว่า 300 ล้านบาทและ 60% เน้นไปที่การให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี Aseptic Cold Filling ซึ่งคาดว่าจะทำให้ตลาดชาที่ชะลอตัวตั้งแต่กลางปี 2548 เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% โดยปัจจุบันตลาดชาพร้อมดื่มมูลค่าลดลงจาก 4,500 ล้านในปีที่แล้วคาดว่าจะเหลือ 3,700 ล้านบาทในปีนี้
นอกจากชาแล้วยังมีอีกหลายเซ็กเมนท์ที่บริษัทให้ความสนใจในปีนี้ เช่น เครื่องดื่มให้พลังงานที่ยูนิฟไอเฟิร์มมีส่วนแบ่ง 5% ในตลาดอยู่ในขณะนี้ บริษัทคาดว่าจะโตแบบค่อยเป็นค่อยไป จนมีส่วนแบ่งตลาด 6-7% ภายในสิ้นปี จากตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานมูลค่า 220 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเป็น 300 ล้านบาท นอกจากนั้นแล้วยูนิฟยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดน้ำผลไม้ 40% มีส่วนแบ่ง 34% และเป็น อันดับสองในตลาดน้ำผลไม้ 100% ด้วยส่วนแบ่ง 18% อีกด้วย
เป้ายอดขายปี 2549 ตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท แบ่งออกเป็นจากกลุ่มชาหรือชา 30% กลุ่มน้ำผักและน้ำผลไม้ 40% กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้พลังงานหรือ ยูนิฟ ไอเฟิร์ม 10% กลุ่ม เครื่องดื่มกาแฟ 10% และผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 10%
ทางด้านบริษัททิปโก้ ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หลังจากวางนโยบายการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในเอเชียอยู่ในระหว่างการซุ่มลงทุนเครื่องจักรคูลฟิลกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อผลิตเครื่องดื่มใหม่ในปีนี้เช่นกัน
เช่นเดียวกับ พิศักดิ์วลี เศวตนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตราผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัทมาลีสามพราน บอกว่า มาลีอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตมาสู่ Aseptic Cold Filling เช่นกัน มาลีเริ่มจากการลงทุนเทคโนโลยีนี้ประมาณ 200 ล้านบาทโดยเริ่มจากการรับจ้างผลิตให้ผู้ประกอบการในประเทศ ก่อนการผลิตให้แบรนด์มาลี
"เทคโนโลยีเน้นความปลอดภัย สด คุณค่าใกล้เคียงกับธรรมชาติ และแบรนด์ใหม่ที่อยู่ภายใต้เทคโนโลยีนี้จะออกมาปลายปีนี้ และถ้าตลาดตอบรับมากเราก็พร้อมจะขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อรองรับแบรนด์มาลีด้วย"
การเติบโตกว่า 20% ของน้ำผลไม้มาลีในรูปแบบพาสเจอร์ไรซ์ที่วางจำหน่ายเมื่อกลางปี 2548 มากกว่าตลาดน้ำผลไม้โดยรวมแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญกับเครื่องดื่มที่สด รสชาติ คุณค่าใกล้เคียงกับธรรมชาติและเทคโนโลยีดังกล่าวให้คำตอบในเรื่องนี้ได้