หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 4:44 pm
โดย MarginofSafety
วันนี้เห็นนักวิเคราะห์ท่านหนึ่งหยิบดัชนีตัวนี้มาให้ดู
บอกว่าดัชนีความกลัวเริ่มปรับตัวลง แสดงว่าความกังวลเริ่มลดลง
เลยหยิบ Graph มาให้ดูกันเล่นๆครับ
จะเห็นว่า VIX กับ S&P500 แปลผกผัน (Negative Correlation) กันอย่างมีนัยสำคัญ

เดาเล่นๆว่า หาก SET ปรับตัวตามตลาดต่างประเทศ น่าจะมี Rebound ให้เห็นกันบ้าง
ดูกันเล่นๆนะครับ อย่าจริงจังมาก

รูปภาพ

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 5:38 pm
โดย yoyo
ถ้าเจ้า VIX นี่เป็น lead indicator คงดีนะครับพี่ HVI จะได้ดักทางล่วงหน้าได้ แต่นี่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าวันพรุ่งนี้นักลงทุนจะกลัวหรือกล้า เลยยังซื้อขายหุ้นตามไม่ถูกซะที

ปล. พี่ HVI นี่อ่านเยอะจังนะครับ เจออะไรใหม่ๆมาให้เพื่อนได้อ่านกันอยู่ประจำเลย

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 5:43 pm
โดย nanchan
Ole Ole Ole

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 6:14 pm
โดย สามัญชน
มีใครนำทฤษฎี chaos มาทำนายดัชนีไหมครับน้องเฮ็ด......

เคยเห็นฮาริ เซลดอนใช้ทฤษฎีอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายจิตวิทยามวลชนได้อย่างแม่นยำ  ว่ากันว่าใช้ chaos เป็นรากฐาน(โดยไม่รู้ตัว)นะครับ

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 6:20 pm
โดย สามัญชน
สีเขียวคือความกลัวใช่ไหมครับ  ผมดูแล้วรู้สึกมันเพิ่งจะเริ่มขึ้นนะ  และยังขึ้นได้อีกเยอะ ไม่ใช่ลง .... หรือเปล่า ??????

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 6:52 pm
โดย MarginofSafety
[quote="สามัญชน"]มีใครนำทฤษฎี chaos มาทำนายดัชนีไหมครับน้องเฮ็ด......

เคยเห็นฮาริ เซลดอนใช้ทฤษฎีอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายจิตวิทยามวลชนได้อย่างแม่นยำ

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 7:01 pm
โดย MarginofSafety
[quote="สามัญชน"]สีเขียวคือความกลัวใช่ไหมครับ

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 7:10 pm
โดย MarginofSafety
[quote="ba_2l"]Read Less, More TV

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 21, 2006 8:14 pm
โดย สามัญชน
เห็นดร.นิเวศน์(หรือบัฟเฟตต์  ไม่แน่ใจ)เคยบอกว่า  ราคาหุ้นจะไต่กำแพงแห่งความกังวล

ความกลัวกับความกังวลน่าจะเป็นอะไรที่คล้ายๆกันและไปด้วยกันได้ กลัวทำให้เกิดกังวล กังวลก็ก่อให้เกิดความกลัว แต่กรณีนี้เท่ากับมันสวนทางกันเลยนะ  ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น........

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 2:43 pm
โดย MarginofSafety
[quote="สามัญชน"]เห็นดร.นิเวศน์(หรือบัฟเฟตต์

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 3:29 pm
โดย สามัญชน
หมายความว่า ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆแม้จะมีความกังวลเป็นกำแพงคอยกั้นเป็นระดับๆก็ตาม

ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าตีความถูกไหม 555  :lol:
แบบว่าตีความตามตัวอักษรอ่ะครับ อิอิ
ที่จริงมั่วหนะครับ.... :rofl:  :rofl:  :rofl:

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 4:19 pm
โดย ForrestGump
ที่ผมเข้าใจ ไต่กำแพงแห่งความกังวล คือ ถ้าคนกังวล จะทำให้ระมัดระวังตัว การซื้อหุ้นก็จะค่อยๆ ซื้อไปตามพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุผล  ถ้าแบบนั้น ราคาระดับสูงจะอยู่ได้ไม่นาน และตกแรงในที่สุด ถึงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง

จากบทความเรื่อง ข่าวร้าย ของ ดร.นิเวศน์ครับ

แต่หุ้นตกที่ผ่านมา ประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากคือ รู้งี้ๆๆๆๆ วันหลังนะ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ถ้าได้คืนนะ ฯลฯ

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 4:25 pm
โดย สามัญชน
ที่ผมเข้าใจ ไต่กำแพงแห่งความกังวล คือ ถ้าคนกังวล จะทำให้ระมัดระวังตัว การซื้อหุ้นก็จะค่อยๆ ซื้อไปตามพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุผล  ถ้าแบบนั้น ราคาระดับสูงจะอยู่ได้ไม่นาน และตกแรงในที่สุด ถึงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง
เยี่ยมครับ ......

กังวล -----> ระมัดระวัง
กลัว  ------> ทิ้งหุ้นเลย

อืม........แม้จะอยู่กลุ่มคล้ายๆกัน  แต่ด้วยระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน  ทำให้ผลลัพภ์ออกมาต่างกันลิบลับ  ใช่ไหมครับ.....

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 4:39 pm
โดย MarginofSafety
แปะบทความดังกล่าวมาให้อ่านกันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวมาแจมครับ...
ความโลภ ความกลัว

วอเร็น  บัฟเฟตต์  เคยพูดเกี่ยวกับการลงทุนว่า  ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังโลภ  เราต้องพยายามกลัว  และในขณะที่คนทั่วไปกำลังรู้สึกกลัวนั้น  เราต้องพยายามโลภ




                       ในช่วงนี้คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคงจะโลภ  เพราะการทำเงินดูเหมือนจะง่ายและเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ  ภาวะเศรษฐกิจ  การเมือง  การเงิน  ตลาดหุ้นและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนดูเหมือนจะมีทิศทางเดียวคือดีขึ้นและจะดีขึ้นเรื่อย ๆ  เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นมหาศาล  และนี่คือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนเกิดความโลภ


                       Value Investor  จำนวนมากก็คือปุถุชนดังนั้นความโลภจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากโดยเฉพาะเมื่อเห็นเพื่อน ๆ นักลงทุนและนักเก็งกำไรทำเงินจากการลงทุนในหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว  แต่คำแนะนำของผมก็คือในภาวะอย่างนี้เราต้องพยายามกลัว  เช่น  กลัวว่าหุ้นจะปรับตัวลง  กลัวว่าหุ้นที่ราคาขึ้นไปมาก ๆ จะตกลงมาเมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน  กลัวว่าเศรษฐกิจที่ร้อนแรงจะชะลอตัวลง  กลัวว่าผลการดำเนินงานของกิจการจะไม่เป็นไปดังคาดและพยายามหาเรื่องอื่น ๆ มากลัวอีกหลายเรื่อง




                       แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ  อย่ากลัวจนต้องขายหุ้นทิ้ง  ถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นเพื่อที่จะรอให้ดัชนีปรับตัวลงมาเพื่อ รอซื้อหุ้นถูก  เพราะการออกจากตลาดหุ้นอาจจะทำให้เสียโอกาสกำไรมหาศาลหากตลาดไม่ปรับตัวลงแต่กลับปรับตัวขึ้นไปอีกมาก    Value Investor  พันธุ์แท้จะไม่ออกจากตลาดหุ้นถ้าไม่คิดว่าหุ้นทั้งตลาดมีราคาแพงเกินไปมาก  ซึ่งในความเห็นของผมไม่ใช่เวลานี้




                       คำถามก็คือ  เราควรกลัวแค่ไหน?  กลยุทธ์การลงทุนควรจะเป็นอย่างไร?  




ผมคงไม่สามารถตอบคำถามให้แต่ละคนได้  เพราะความโลภและความกลัวของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน  แต่จะให้แนวทางคร่าว ๆ ว่าในความเห็นของผมซึ่งค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม  และไม่ใช่คนที่โลภมากเท่าไรนัก  ผมคิดว่า:



การลงทุนในหุ้นกลุ่มรีแฮบโก้หลายหุ้นในขณะนี้เป็นการลงทุนที่เกิดจากความโลภ  และคนลงทุนไม่ได้คิดถึงความกลัวหรือไม่ได้ พยายาม  กลัวเท่าที่ควร  เหลุผลก็คือ  บริษัทที่เข้าอยู่ในแผนฟื้นฟูนั้นถึงแม้ว่าหลาย ๆ บริษัทจะมีโอกาสออกจากแผนได้  แต่ฐานะการเงินก็ยังไม่ดีนัก  หนี้ยังคงมากในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมักจะมีน้อย  ที่สำคัญกำไรที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่กำไรจริงที่เกิดจากผลการดำเนินงานปกติ    ส่วนใหญ่มักจะเป็นกำไรที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้  กำไรที่เกิดจากการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นก็มักจะยังไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว  สรุปได้ว่าธุรกิจยังไม่มีความแน่นอน




ที่สำคัญกว่าเรื่องฐานะและผลการดำเนินงานก็คือเรื่องราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรีแฮปโก้หรือหุ้นที่เพิ่งออกจากการฟื้นฟูใหม่ ๆ  ซึ่งหลายบริษัทมีราคาสูงขึ้นไปมาก  หรือมูลค่าหุ้นของบริษัทมีค่าสูงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ  ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะนักลงทุนที่ไม่ได้วิเคราะห์หุ้นอย่างลึกซึ้งจะมองไม่เห็น  ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าหุ้นมีราคา ไม่แพง  จึง  น่าลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับการฟื้นตัวของกิจการ




หุ้นรีแฮปโก้ส่วนใหญ่มักจะมีการแปลงหนี้เป็นทุนจำนวนมาก  ทำให้มีจำนวนหุ้นมากว่าปกติ  หลาย ๆ บริษัทยังมีวอแรนต์ที่ยังไม่ได้ถูกใช้สิทธิแต่ก็มีโอกาสที่จะแปลงมาเป็นหุ้น  หุ้นจำนวนมากเหล่านี้จะมาเป็นตัวหารหรือตัวแบ่งกำไรทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคตต่ำลงมาก  เพราะฉะนั้นแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรีแฮปโก้จะดูเหมือนต่ำไม่ถึง  10  บาทต่อหุ้น  แต่ถ้าคิดถึงค่า P/E  ที่คิดจากกำไรปกติของบริษัทแล้ว  อาจจะบอกได้ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพงมาก




การลงทุนในหุ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลาย ๆ บริษัทที่เพิ่งมีผลกำไรพุ่งพรวดจากการปรับโครงสร้างหนี้  และ/หรือจากการขายบ้านหรือคอนโดมีเนียมในช่วงนี้ผมรู้สึกว่าน่าจะเกิดจากความโลภมากกว่าความกลัว  เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ได้ปรับตัวขึ้นไปมากเป็นหลาย ๆ เท่า ๆ จากราคาหุ้นที่ผ่านมาเพียงปีหรือสองปี




ความกลัวของผมในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์นั้นมีหลายเรื่อง  แต่ที่สำคัญก็คือเวลาที่อสังหาริมทรัพย์บูมนั้น  ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาเล่นในตลาดได้อย่างไม่จำกัด  และทำได้อย่างรวดเร็ว  ฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นฟองที่เกิดได้เร็วและรุนแรงแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึงและเราได้เห็นมาแล้ว  ดังนั้นก่อนที่ Value Investor  จะลงทุนในธุรกิจนี้จึงควรพยายามกลัวไว้บ้างก็จะดีครับ



ดีกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะผู้เล่นหน้าใหม่เข้าตลาดไม่ได้ก็คือธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งได้รับประโยชน์เต็มที่จากการที่ตลาดหุ้นบูมในช่วงนี้  แต่ก็เป็นธุรกิจที่ควรกลัวด้วยเหมือนกันเพราะธุรกิจหลักทรัพย์นั้นมีช่วงดีและช่วงเลวร้ายสลับกันมาตลอดและไม่สามารถคาดการณ์ได้  ดังนั้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีราคาแพงคือมีค่า P/E สูงมาก ๆ จึงมีความเสี่ยงที่สูงและอาจทำให้เกิดความเสียหายมากได้ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป




หุ้นของกิจการที่ผลิตและขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นวัฎจักรเช่นหุ้นของบริษัทปิโตรเคมี  หุ้นของบริษัทเรือ  หุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับเกษตรกรรมที่กำลังมีราคาพุ่งขึ้นนั้น  แม้ว่าจะมีคนบอกว่าราคาจะยังพุ่งขึ้นหรือสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งนั้นก็เป็นหุ้นที่ควรพยายามกลัวด้วยเหมือนกัน




เพราะราคาของผลิตภัณฑ์ที่สูงมากนั้นอาจจะชักนำให้ผู้ผลิตขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วและทำให้ราคาตกลงมาเร็วกว่าที่คิด  ทำให้กำไรของกิจการลดลงเร็วกว่าที่คาด  และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเกินพื้นฐานอาจจะตกกลับลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม




ที่เขียนมาทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นการคาดการณ์ว่าหุ้นเหล่านั้นไม่ควรจะลงทุน  มีความเป็นไปได้ว่าหุ้นที่ ร้อน  เหล่านั้นจะร้อนต่อไปและคนที่เข้าไปลงทุนก็มีกำไรอย่างมากและรวดเร็วต่อไปและคนที่ โลภ เป็นผู้ชนะ  แต่สำหรับ Value Investor ที่มุ่งมั่นในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและลงทุนระยะยาวมากนั้น  เวลานี้ควรเป็นเวลาที่ต้อง พยายามกลัว เพื่อการเป็นผู้ชนะในระยะยาว

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 10:54 pm
โดย nanchan
ช่วงที่1
ปี96-97 ความกลัวไต่ระดับขึ้นพร้อมSPX
แสดงว่ายังมีความกังวลอยู่บ้าง

ช่วงที่2
ความกลัวลดลง แต่SPX ยังขึ้นต่อ
ช่วงนี้แสดงให้เห็นว่า คนเริ่มมั่นใจมากขึ้น ความกังวลเริ่มลดลง

จน11/11/98 ความกลัวกระเด็งขึ้นอย่างเร็วไปสูงมาก แสดงให้เห็นว่า
คนกลัวจนไร้เหตุผล จึงทำให้ไม่ลังเลที่จะเทขายให้SPXลดลงอย่างเร็ว

ช่วงที่3 ปลายปี98-00 Side way
อาจเนื่องจากความไร้เหตุผลที่แท้จริงของหุ้นที่ไร้เหตุผลทางพื้นฐานรองรับว่าทำไมมันจึงตก เมื่อได้คิดความกลัวก็เริ่มหายไป จึงทำให้ความกลัวลดลง
ความกล้าเข้ามาแทน SPX จึงขึ้นต่อได้ จากปัจจัยหนุนของช่วงที่1

ช่วงที่4 5/11/00-8/11/00  Diverเจ๊ง
ช่วงนี้ความกลัวลดลง แต่SPX ก็ไต่ขึ้นมาระดับสูง และก็SIde wayต่อ
ผมว่าช่วงนี้เป็นDiverเจ๊ง เพราะความกลัวลดลงแรง แต่SPXไม่ตอบสนองในทางขึ้น ตามธรรมชาติ เมื่อกลัวลด SPX จะขึ้น

ช่วงที่5 11/1101 - 8/11/02 ภาพปรากฎ
เมื่อDiverเจ๊งมา ก็มีสองทางคือรวยจัดกะจนจัด
ความกลัวเริ่มเข้ามาเยือนอย่างแท้จริง ตอบสนองภาพแห่งความกังวลก็เริ่มปรากฎ SPX จึงรูดลงตอบสนองความกลัวมาเรื่อยๆ และก็Side wayซักระยะ
ก่อนจะขึ้นไป

ช่วงที่6 11/11/03-2/11/06
ความกลัวลดลง SPXขึ้น เป็นปกติ

ช่วงที่7 จะเป็นไงต่อไปน้า...

ตอนนี้ความกลัวอยู่ระดับปานกลาง

ไม่มีกฎตายตัวในอารมณ์ที่สิงสถิตในราคาหุ้นที่ผันผวน

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 10:56 pm
โดย nanchan
ผมมั่วๆนะครับ อย่าใส่ใจอะไรมาก