ธนาคารพาณิชย์ไทย ธุรกิจที่ได้รับการปกป้องเพื่อคนไม่กี่ตระกูล
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 8:25 am
ส่วนหนึ่งจากบทความของ ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
นอกจากนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ก็มีความไม่สมดุลอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากประจำได้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ปัจจุบัน กลับยังคงอยู่ที่ 0.75% ไม่ขยับเลยตั้งแต่กรกฎาคม 2546 เป็นเวลาถึง 3 ปี
ซึ่งมีผลไปลดต้นทุนการเงินของธนาคารพาณิชย์ได้มหาศาล เพราะเงินฝากออมทรัพย์ของทั้งระบบมียอดสูงถึง 2.6 ล้านล้านบาท เป็น 40% ของเงินฝากธนาคารทั้งหมด หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เพียง 1.0% ก็จะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีรายจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกถึง 26,000 ล้านบาทต่อปี ที่สำคัญคือ ผู้ที่รับภาระจากการที่อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ถูกกดต่ำเช่นนี้ก็คือ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยกับธุรกิจขนาดเล็กทั่วประเทศ ซึ่งมีเงินออมจำนวนน้อยในรูปบัญชีออมทรัพย์เท่านั้น
การกดอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ไว้ยังทำให้ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดี (MLR) กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ถ่างกว้างขึ้นจาก 4.75% เมื่อกรกฎาคม 2546 มาเป็น 6.75% ในปัจจุบัน ในขณะที่ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนปัจจุบันก็ถ่างกว้างมากถึงประมาณ 4.25% ทำให้ประเทศไทยมีระบบธนาคารพาณิชย์ที่กินกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ถ่างกว้างมากที่สุดในโลก คิดเป็นส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยทั้งระบบสูงถึงกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี
นโยบายกดอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์และการปล่อยให้ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากถ่างกว้างมหาศาลเช่นนี้ ก็คือ การโอนรายได้จำนวนมหาศาลปีละหลายแสนล้านบาทจากประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ ไปเป็นกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยเพียงไม่กี่ตระกูลนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นผลโดยตรงจากนโยบายของผู้บริหารธปท.ที่จำกัดการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน ปิดกั้นไม่ให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาให้บริการ กีดกันสถาบันการเงินต่างชาติ ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ไทยรวมตัวกันเป็นกลุ่มผูกขาดหรือ "แบงกิ้งคาร์เทล" เอารัดเอาเปรียบประชาชนจากช่องว่างอัตราดอกเบี้ยมโหฬารและการเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสูง ทำให้ประชาชนและธุรกิจไม่มีทางเลือกในการออมเงิน กู้ยืมเงิน และการใช้บริการการเงินอื่นๆ
สิ่งที่ธปท. ได้รับจากการคุ้มครองธนาคารพาณิชย์ไทยให้ปลอดพ้นจากการแข่งขันก็คือ การคงไว้ซึ่งอำนาจสั่งการและควบคุมสถาบันการเงินไทยอย่างกว้างขวางและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนี่คือเหตุผลแท้จริงที่ผู้บริหารระดับสูงของธปท.ดิ้นรนคัดค้านการเปิดเสรีทางการเงินในทุกวิถีทาง รวมทั้งคัดค้านการทำความตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ที่มีข้อบทการเปิดเสรีบริการทางการเงินอยู่ด้วย
ผู้บริหารธปท.อ้างว่า เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินไทย ทั้งที่ประสบการณ์ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เป็นเพราะการคุ้มครองให้ปลอดพ้นจากการแข่งขันมายาวนานนี้เอง ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยกลายเป็นเสือนอนกิน ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่แข่งขัน เป็นผลให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินและสถาบันการเงินล้มมาแล้วหลายครั้งในช่วง 40 ปีนี้
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้บริหารธปท.จะเปิดใจกว้างเลิกอุ้ม "แบงกิ้งคาร์เทล" ยอมเปิดเสรีและส่งเสริมการแข่งขัน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสถาบันการเงินไทยให้ก้าวหน้ารองรับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว?
นอกจากนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ก็มีความไม่สมดุลอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากประจำได้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ปัจจุบัน กลับยังคงอยู่ที่ 0.75% ไม่ขยับเลยตั้งแต่กรกฎาคม 2546 เป็นเวลาถึง 3 ปี
ซึ่งมีผลไปลดต้นทุนการเงินของธนาคารพาณิชย์ได้มหาศาล เพราะเงินฝากออมทรัพย์ของทั้งระบบมียอดสูงถึง 2.6 ล้านล้านบาท เป็น 40% ของเงินฝากธนาคารทั้งหมด หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เพียง 1.0% ก็จะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีรายจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกถึง 26,000 ล้านบาทต่อปี ที่สำคัญคือ ผู้ที่รับภาระจากการที่อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ถูกกดต่ำเช่นนี้ก็คือ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยกับธุรกิจขนาดเล็กทั่วประเทศ ซึ่งมีเงินออมจำนวนน้อยในรูปบัญชีออมทรัพย์เท่านั้น
การกดอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ไว้ยังทำให้ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดี (MLR) กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ถ่างกว้างขึ้นจาก 4.75% เมื่อกรกฎาคม 2546 มาเป็น 6.75% ในปัจจุบัน ในขณะที่ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนปัจจุบันก็ถ่างกว้างมากถึงประมาณ 4.25% ทำให้ประเทศไทยมีระบบธนาคารพาณิชย์ที่กินกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ถ่างกว้างมากที่สุดในโลก คิดเป็นส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยทั้งระบบสูงถึงกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี
นโยบายกดอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์และการปล่อยให้ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากถ่างกว้างมหาศาลเช่นนี้ ก็คือ การโอนรายได้จำนวนมหาศาลปีละหลายแสนล้านบาทจากประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ ไปเป็นกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยเพียงไม่กี่ตระกูลนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นผลโดยตรงจากนโยบายของผู้บริหารธปท.ที่จำกัดการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน ปิดกั้นไม่ให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาให้บริการ กีดกันสถาบันการเงินต่างชาติ ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ไทยรวมตัวกันเป็นกลุ่มผูกขาดหรือ "แบงกิ้งคาร์เทล" เอารัดเอาเปรียบประชาชนจากช่องว่างอัตราดอกเบี้ยมโหฬารและการเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสูง ทำให้ประชาชนและธุรกิจไม่มีทางเลือกในการออมเงิน กู้ยืมเงิน และการใช้บริการการเงินอื่นๆ
สิ่งที่ธปท. ได้รับจากการคุ้มครองธนาคารพาณิชย์ไทยให้ปลอดพ้นจากการแข่งขันก็คือ การคงไว้ซึ่งอำนาจสั่งการและควบคุมสถาบันการเงินไทยอย่างกว้างขวางและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนี่คือเหตุผลแท้จริงที่ผู้บริหารระดับสูงของธปท.ดิ้นรนคัดค้านการเปิดเสรีทางการเงินในทุกวิถีทาง รวมทั้งคัดค้านการทำความตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ที่มีข้อบทการเปิดเสรีบริการทางการเงินอยู่ด้วย
ผู้บริหารธปท.อ้างว่า เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินไทย ทั้งที่ประสบการณ์ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เป็นเพราะการคุ้มครองให้ปลอดพ้นจากการแข่งขันมายาวนานนี้เอง ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยกลายเป็นเสือนอนกิน ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่แข่งขัน เป็นผลให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินและสถาบันการเงินล้มมาแล้วหลายครั้งในช่วง 40 ปีนี้
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้บริหารธปท.จะเปิดใจกว้างเลิกอุ้ม "แบงกิ้งคาร์เทล" ยอมเปิดเสรีและส่งเสริมการแข่งขัน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสถาบันการเงินไทยให้ก้าวหน้ารองรับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว?