วันอาทิตย์แบบเซ็งๆ เพราะว่าฝนตกหนัก
เดินดูเรื่อยๆ แล้วก็คิดในใจว่า อยากหาหนังสือเล่มนี้ให้เจอ
แล้วก็เจอที่บูท มติชน ตอนที่เกือบจะตัดสินใจกลับอยู่แล้ว
ที่ตั้งใจหา เพราะเพื่อนมันบอกว่า
อ่านแล้ว เข้าใจว่า คุณทักษิณ กลัว "กับดักสภาพคล่อง" มากกว่า "ฟองสบู่แตก"
คุณสนธิ ต้องอ่านแล้ว
คุณทักษิน ก็ต้องเคยอ่านแล้วเหมือนกัน
แต่สงสัยอ่านคนละบทกัน
พี่ๆ ที่อ่านแล้ว มีความเห็นยังไงกันบ้างครับ
บทที่ 3 สัญญาณเตือนที่ถูกเมิน ละตินอเมริกา
... ในปี 1985 ประธานาธิบดีมิเกล เดอ ลา แมดริด เริ่มทำให้ลัทธิของเขาเป็นจริงอย่างรวดเร็ว โดยการเปิดเสรีตลาดเม็กซิโกชนิดถอนรากถอนโคน กล่าวคือ การลดภาษีศุลกากร และลดรายการสินค้านำเข้าที่ต้องขออนุญาตลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลเริ่มนำรัฐวิสาหกิจบางส่วนออกขาย และลดข้อจำกัดการเป็นเจ้าของของต่างชาติ และบางทีสิ่งซึ่งอาจจะสำคัญที่สุดเหนืออื่นใด เดอ ลา แมดริด แต่งตั้งผู้สืบทอดต่อจากเขา...
บทที่ 4 เหตุเกิดที่ญี่ปุ่น
...ไม่เหมือนกับเม็กซิโกในปี 1995 หรือเกาหลีใต้ในปี 1998 ญี่ปุ่นไม่ได้ผ่านช่วงปีของความตกต่ำทางเศรษฐกิจร้ายแรงชัดเจน แปดปีนับตั้งแต่ฟองสบู่แตก จีดีพีที่แท้จริงของญี่ปุ่นลดลงเพียงสอง การว่างงานก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย...
... การโต้ตอบภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบมาตรฐานก็คือ การลดอัตราดอกเบี้ย กล่าวคือ ให้คนยืมคูปองเลี้ยงเด็กอัตราถูกๆ คนพวกเขาเริ่มจะออกไปข้างนอกกันอีก ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยช้าสักหน่อยหลังฟองสบู่แตก แต่ในที่สุดก็ลดมันลงเรื่อยๆ จนเกือบถึงศูนย์ และมันก็ยังคงไม่พอ...
... คำตอบแบบคลาสสิก คำตอบซึ่งควบคู่มาพร้อมกับชื่อของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ก็คือ ถ้าภาคเอกชนไม่ใช้จ่ายมากพอให้เกิดการจ้างงานเต็ม ภาครัฐก็จะรับภาระส่วนที่เหลือให้รัฐบาลกู้ยืมเงิน และใช้เงินเพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนสาธารณะ หากเป็นไปได้ก็เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์ที่ดีด้วย นี่เป็นข้อพิจารณาระดับรองลงไป การลงทุนสาธารณะเป็นการสร้างงานซึ่งทำให้คนอยากจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และสร้างงานมากขึ้นต่อเนื่องไปอีก เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐยุติลงด้วยโครงการลงทุนสาธารณะที่รู้จักกันในนาม "เวิร์ลด์ วอร์ ทู" ...