หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:48 pm
โดย สุมาอี้
ว่ากันว่าทุกประเทศก่อนเปิดตลาดอนุพันธ์ ตลาดหุ้นจะพุ่ง เป็นอย่างนี้มาแล้วทุกประเทศ

คำอธิบายอย่างหนึ่งก็คือ รายใหญ่ที่คิดจะปั่นตลาดอนุพันธ์ต้องการมีหุ้นในมือเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีปริมาณมากพอที่จะสร้างจิตวิทยาในตลาดอนุพันธ์ได้

อีก 2 เดือน ตลาดอนุพันธ์บ้านเราก็จะเปิดแล้ว อีกหน่อยวอลุ่มคงเยอะกว่าตัวตลาดหลักทรัพย์เองเสียอีก (ประเทศอื่นเป็นแบบนั้น) และดูเหมือนต่างประเทศก็ไล่ซื้อหุ้นไทยมาตลอดอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมดกำลังใจ นี่ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการเมื่องป่านนี้ไม่รู้ SET จะวิ่งไปไกลขนาดไหนแล้ว

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:03 pm
โดย CK
มีเหตุผลน่าสนใจมากครับ

มิน่า หุ้นหลักทรัพย์เริ่มขยับ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:16 pm
โดย ปรัชญา
ท่าทางจะเป็นดังผู้พันและท่านแม่ทัพว่านั่นแล

ใครได้ประโยชน์บ้างครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:30 pm
โดย worapong
ถ้าตลาดอนุพันธ์เปิดแล้วมีโวลุ่มเยอะจริงๆ ใครได้ประโยชน์บ้างครับ นอกจากตลาดหลักทรัพย์นะครับ เพราะผมเห็นว่าเรามีตลาดหลักทรัพย์มาสามสิบปีแล้ว โบรกเกอร์รวยๆก็ไม่เยอะ แต่ตลาดเองรวยมากนะครับ มีทรัพย์สินประมาณสามหมื่นล้านทีเดียว ที่จริงน่าจะเอาบมจ. ตลาดอนุพันธ์ มาเทรดกันด้วยนะครับ ถ้าเอามาไอพีโอที่บุคแวลยูนะ ผมจะซื้อแล้วถือยาวเลยครับ อ้อ เกือบลืม แล้วใครจะเสียประโยชน์บ้างครับ วานผู้รู้ช่วยบอก

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:53 pm
โดย สุมาอี้
ผมยังคิดไม่ออกว่าใครจะเสียประโยชน์ครับ การมีตลาดอนุพันธ์ดีกว่าไม่มีเพราะทำให้ทุกคนมีทางเลือกมากขึ้นครับ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องเล่นก็ได้

ตลาดอนุพันธ์จะดีมากๆ สำหรับคนที่ชอบเก็ง SET ว่าอีก 3 เดือน 6 เดือนจะวิ่งไปที่เท่าไร เพราะถ้าชอบทำอย่างนั้นอยู่แล้ว การเข้าไปเล่นตลาดอนุพันธ์จะใช้ทุนน้อยกว่าการเข้าไปเล่นตลาดหลักเป็นอย่างมาก ปกติ SET เป็นดัชนีดังนั้นความผันผวนจะน้อย โอกาสในการเก็งกำไรจึงไม่สูง จากเดิมถ้าทายว่าอีก 3 เดือน SET จะวิ่งขึ้น 5% แล้วทายถูก ก็ได้กำไร 5% แต่ถ้าซื้ออนุพันธ์แทนจะกำไรมากถึง 50% ใน 3 เดือน

เห็นดังนี้แล้วผมจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมตลาด commodities เช่น น้ำมันดิบ จึงเป็นตลาด futures ไม่ใช่ spot เพราะถ้ามีตลาด future อยู่แล้วไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไปเล่นตลาด spot

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:55 pm
โดย MarginofSafety
ผมคิดว่า คงไม่ใช่ Zero Sum ในลักษณะที่ต้องมีผู้เสียและผู้ได้ประโยชน์ครับ แต่เป็นการพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีประสิทธิภาพ โดยวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของตลาดอนุพันธ์ก็คือการบริหารความเสี่ยง (risk management) หรือการถัวความเสี่ยง (Hedging) ซึ่งคู่สัญญาจะได้ประโยชน์ นอกเหนือจากนั้นก็ยังเป็นการทำให้ตลาดสินทรัพย์อ้างอิงมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 3:28 pm
โดย buglife
ผมก็รอเอาตลาดหลักทรัพย์ เข้าตลาดอยู่เนี่ยะอ่ะ
ไม่ยอมเอาเข้าสักที  

:twisted:  :twisted:  :twisted:

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 8:06 pm
โดย คัดท้าย
HVI เขียน:ผมคิดว่า คงไม่ใช่ Zero Sum ในลักษณะที่ต้องมีผู้เสียและผู้ได้ประโยชน์ครับ แต่เป็นการพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีประสิทธิภาพ โดยวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของตลาดอนุพันธ์ก็คือการบริหารความเสี่ยง (risk management) หรือการถัวความเสี่ยง (Hedging) ซึ่งคู่สัญญาจะได้ประโยชน์ นอกเหนือจากนั้นก็ยังเป็นการทำให้ตลาดสินทรัพย์อ้างอิงมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
โดยปกติ ตลาดอนุพันธ์ เป็นตลาด Zero Sum ครับ และ ผมยังไม่แน่ใจเลยครับ ว่าจะทำให้ตลาดไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่

ผมเองก็ไม่เคยเทรดอนุพันธ์ แต่เท่าที่ทราบที่อื่นๆ เช่น สิงคโปร์เค้าก็เทรดอนุพันธ์เป็นปกติ และ เห็นว่าก็เทรดอนุพันธ์ของ SET อยู่แล้ว

ที่สิงคโปร์นิยมเทรด เข้าใจว่าเป็นนิเคอิ ครับ นิกลีสัน ที่ทำแบริ่งเจ๊งก็เทรดนิเคอินี่แหละครับ

เหตุผลที่คนนิยมนิเคอิ เท่าที่ผมได้ยินมาคือ สภาพคล่อง และ ขนาดของตลาด เนื่องจาก ตลาดนิเคอิ มีขนาดใหญ่ ดังนั้นโอกาสที่คนใดคนหนึ่งจะสามารถคุมตลาดได้นั้นยากมากครับ

ลองมานึกดูถึง SET50 Future ของเรา ผมก็ไม่รู้ว่าสภาพคล่องจะมีเท่าไหร่ และ ต่อไปพวกกองทุนต่างชาติจะตบเราซ้ายตบเราขวา หนักมือกว่านี้หรือเปล่า เพราะจะว่าไปแล้ว เล่น Future กำไรมากกว่าหุ้นตรงๆ อย่างที่คุณสุมาอี้บอกว่าไว้ ว่าตลาดคอมโมดิตี้ ไม่รู้จะเล่น Spot ไปทำไมเมื่อมี Future ..

แต่คิดในอีกแบบ ถ้าตลาดเราเล็กแล้วเราโดนคุมได้ไม่ยาก ผมว่า ท้ายสุด ตลาดของเราก็คงไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรมากขึ้น แต่ผมว่าคนที่เล่นหุ้นโดยใช้ดัชนีอยู่ทุกวันนี้ คงต้องเฝ้าระวังความเปลี่ยนแปลงให้ดีครับ ผมว่าคงจะมีหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงครับ

ปล. ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ครับ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 9:54 pm
โดย MarginofSafety
ที่บอกว่าไม่ใช่ Zero Sum หมายถึงการเกิดขึ้นของตลาดน่ะครับ
(จากคำถามใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากการเกิดขึ้นของตลาดอนุพันธ์) ไม่ได้หมายถึงพฤติกรรมของตัวอนุพันธ์ที่เป็นลักษณะ Zero Sum คือฝ่ายหนึ่งของคู่สัญญาจะได้ประโยชน์ และอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์

ส่วนที่บอกว่าตลาดอ้างอิงจะเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการตอบตามทฤษฏีของตลาดทุนน่ะครับ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 11:11 pm
โดย โป้ง
เห็นดังนี้แล้วผมจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมตลาด commodities เช่น น้ำมันดิบ จึงเป็นตลาด futures ไม่ใช่ spot เพราะถ้ามีตลาด future อยู่แล้วไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไปเล่นตลาด spot
นั้นขอถามท่านผู้รู้ใครก็ได้ครับ

ฟังๆมา เหมือนสรุปว่า การขึ้น-ลง ของ Index ต่อไป จะไม่เป็นไปตามกลไกตลาดหรือครับ??? จะถูกบังคับโดยตราสารอนุพันธ์

ในความคิดผมนะ index future บริหาร จำกัดความเสี่ยงไม่ใช่ง่ายนะ ในขณะที่ลงทุนน้อยกว่าตลาด spot ก็จริง แต่ High risk , High return ก็สูงเช่นกัน

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 11:44 pm
โดย Blueblood
ผมว่ายังไงก็ต้องมีเหตุผลรองรับนะครับ ยังไงพวกสินค้าทางการเงินยังไงก็ต้องมีราคาที่เหมาะสมครับ

ถ้าอีกหน่อยมี future บนหุ้นแต่ละตัว ก็จะเห็นชัดขึ้นครับ เพราะหุ้นก็ต้องมีราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว ถ้าราคา future ของหุ้นตัวนั้นสูงหรือต่ำแบบเวอร์และไม่มีเหตุผลก็คงอยู่ไม่ได้แน่ครับ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 2:41 am
โดย MarginofSafety
โป้ง เขียน:
ฟังๆมา เหมือนสรุปว่า การขึ้น-ลง ของ Index ต่อไป จะไม่เป็นไปตามกลไกตลาดหรือครับ??? จะถูกบังคับโดยตราสารอนุพันธ์

ในความคิดผมนะ index future บริหาร จำกัดความเสี่ยงไม่ใช่ง่ายนะ ในขณะที่ลงทุนน้อยกว่าตลาด spot ก็จริง แต่ High risk , High return ก็สูงเช่นกัน
Index Future ไม่ได้ทำให้กลไกตลาดของหลักทรัพย์อ้างอิงเสียแต่อย่างไรครับ โดยเฉพาะหากหลักทรัพย์อ้างอิง ( Underlying Asset ) คือ Index แล้วยิ่งทำได้ยากขึ้นมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า
1. การจำกัดปริมาณสัญญาที่ถืออยู่ (Position Limit) ที่ 10,000 สัญญา
2. การปั่นหุ้นซักบริษัท ผู้ปั่นยังต้องเลือกบริษัทขนาดเล็ก และมักจะมี Free Float ไม่มากและราคาหุ้นไม่สูงนัก แต่ถ้าจะปั่น Index ยกตัวอย่างเช่น SET50 นั่นก็หมายความว่าต้องพยายามปั่นราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ประกอบกันเป็น SET50 ซึ่งล้วนแต่เป็นหุ้น Big Cap เพื่อให้ SET50 Index ขึ้นนั้นจะต้องใช้เงินมากมายมหาศาลขนาดไหน หรือสมมติว่ามีการกระทำเช่นนั้นจริง จะคุ้มกันหรือไม่กับผลตอบแทนที่ได้รับจาก Future ที่ตัวเองถือได้ในจำนวนจำกัด

ส่วนการกล่าวว่า Derivative เป็นเครื่องมือที่ใช้บริหารความเสี่ยง หรือ Hedging ก็ต่อเมื่อนำมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงจริงๆ เป็นต้นว่า
- ผู้จัดการกองทุน ใน Port มีหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET50 Index เป็นส่วนมาก
(ดังนั้นผลตอบแทนของ Port กับ SET50 จะแปรตามกันอย่างมีนัยสำคัญ)
- คิดว่า SET50 จะตก ในอนาคต สมมติว่าจากปัจจัยความไม่มั่นคงด้านการเมือง และจะทำให้ NAV ลดลงเป็นจำนวนมาก
- จึงทำการเข้าไปขาย Future สมมติว่าที่ 480 ของเดือน มิ.ย. 06 (SET50Jun06)
- หากการคาดการณ์ถูกต้อง มิ.ย 06 SET50 หล่นเหลือซัก 450 เขาก็จะได้กำไรจาก Future มาชดเชยการขาดทุนใน Port ของเขา เท่ากับ
(480 - 450) x 1000 บาท x จำนวนสัญญา

ประโยชน์อีกอย่างคือหากเราต้องการสร้าง Port ลงทุนใน SET50 เราต้องซื้อหุ้นหลายบริษัทและต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก การซื้อ SET50 Future ก็เหมือนกับเราได้ลงทุนใน SET50 สะดวกกว่า ใช้เงินน้อยกว่า

แต่ก็อย่างคุณโป้งพูดไว้ว่า High Risk High Return นั่นแหละครับ การลงทุนในตราสารอนุพันธ์เพียงอย่างเดียวนี้ กำไรก็จะได้มาก แต่เวลาขาดทุนก็ขาดทุนมากเหมือนกัน จะว่าไปก็คล้ายการพนันไม่น้อย

ในมุมมองของ VI ระดับโลกที่มีต่อเครื่องมือตัวนี้จะเป็นด้านลบ ผมไม่แน่ใจว่า Peter Linch หรือคุณปู่ Warren เคยบอกว่า Derivative เป็น Mass Destructive Instrument และควรจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายเลยที่เดียว

อยากอ่านบทความของ ดร. ที่มีต่อตราสารอนุพันธ์เหมือนกันครับ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 7:49 am
โดย Viewtiful Investor
ต่อไปคงต้องเรียกว่า

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นอนุพันธ์

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 26, 2006 10:24 pm
โดย กล้วยทอด
ตัวย่อของ SET50 Index Futures ค่ะ
ไม่คุ้นตา และไม่เป็นตัวแทนตัวย่อในแต่ละเดือนเลย

เช่น

เดือน = code
Jan  = "F"
Feb  = "G"
Mar  = "H"
Apr  = "J"
May  = "K"
Jun  = "M"
Jul  = "N"
Aug  = "Q"
Sep  = "U"
Oct  = "V"
Nov  = "X"
Dec  = "Z"

แต่ Series ที่เราจะได้ใช้จริงเวลาจะ Trade คงเป็น...แค่ 4 เดือนหรือเปล่าคะ

S50H06 = SET50MAR06
S50M06 = SET50JUN06
S50U06 = SET50SEP06
S50Z06 = SET50DEC06
S50H07 = SET50MAR07

สภาพคล่องคงยังไม่มาก ไว้จะเทรดค่อยเปิดตำราคงทัน
ไม่ค่อยอยากจำเลยค่ะ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 26, 2006 11:04 pm
โดย กล้วยทอด
สุ่มถามคนที่เข้าไปฟัง TFEX อธิบายแต่ละคน
แหยงกันหมด เหมือนพนันมากเลย
โอกาสหมดตัวง่ายมากเลย

ยังสงสัยอยู่ว่า ถ้ายังไม่ครบวันกำหนดสัญญา
แล้วที่เราเก็งไว้ มันไม่เป็นอย่างที่คิด (ขาดทุนเริ่มเยอะ)
จนน้อยกว่าเงินประกันขั้นต่ำ  35000B ต่อ สัญญา 1ฉบับ
แต่เราไม่มีปัญญาเอาเงินมาเติมให้เท่าหลักประกันขั้นต้น
(50000B ต่อ 1ฉบับ)หล่ะ แล้วเลยวันบังคับจ่ายที่ T+1 ด้วยแล้ว

คือ ...เจ๊ง...

เค้าจะให้เราทำยังไงคะ
force sell หรือ?? clearing position?? แล้วถ้าไม่มีคนรับจับคู่กับเราอีก
หนี้ที่เราขาดทุนอยู่ ไม่พอกเพิ่มเพียบหรือคะ
สงสัยค่ะ

อ้อ... คนจะเทรดได้ต้องผ่านสัมนา มีใบประกาศอีก
รายย่อยจะเทรดได้กันสักกี่คนกันเชียว ตอนเริ่มต้นเนี่ย

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 27, 2006 12:46 am
โดย ก้อนหิน
[quote="กล้วยทอด"]สุ่มถามคนที่เข้าไปฟัง TFEX อธิบายแต่ละคน
แหยงกันหมด เหมือนพนันมากเลย
โอกาสหมดตัวง่ายมากเลย

ยังสงสัยอยู่ว่า ถ้ายังไม่ครบวันกำหนดสัญญา
แล้วที่เราเก็งไว้ มันไม่เป็นอย่างที่คิด (ขาดทุนเริ่มเยอะ)
จนน้อยกว่าเงินประกันขั้นต่ำ

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 27, 2006 1:46 pm
โดย MarginofSafety
[quote="กล้วยทอด"]ตัวย่อของ SET50 Index Futures ค่ะ
ไม่คุ้นตา และไม่เป็นตัวแทนตัวย่อในแต่ละเดือนเลย

เช่น

เดือน = code
Jan

ว่ากันว่า...

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 27, 2006 2:28 pm
โดย MarginofSafety
[quote="กล้วยทอด"]
ยังสงสัยอยู่ว่า ถ้ายังไม่ครบวันกำหนดสัญญา
แล้วที่เราเก็งไว้ มันไม่เป็นอย่างที่คิด (ขาดทุนเริ่มเยอะ)
จนน้อยกว่าเงินประกันขั้นต่ำ