หน้า 1 จากทั้งหมด 2
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 5:57 pm
โดย ลูกอิสาน
หลักการลงทุน 10 ข้อ ไปอยู่ที่นี่แล้วครับ
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... 0000027277
ผมชอบทุกข้อเลยครับ โดยเฉพาะข้อ 7 คงทำให้มีคนแปลกใจและไม่เห็นด้วยเยอะครับ
หากมีสมาชิกเก่งๆ ได้เผยแพร่ความรู้ดีๆอย่างนี้ ก็ทำให้เวป tvi เป็นที่รู้จักมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนด้วยครับ หลักการวิเคราะห์อย่างนี้ไม่เคยออกจากปากของนักวิเคราะห์ที่ฝอยในทีวีทุกวันครับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 6:09 pm
โดย Boring Stock Lover
ผมชอบทุกข้อเลยครับ โดยเฉพาะข้อ 7 คงทำให้มีคนแปลกใจและไม่เห็นด้วยเยอะครับ
ผมรอข้อ 7 อยู่เหมือนกัน
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 6:11 pm
โดย Viewtiful Investor

ได้ตังค์แล้วเอามาเลี้ยงน้องๆมั่งนะครับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 6:56 pm
โดย Raphin Phraiwal
ยินดีด้วยครับท่านสุมาอี้
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 7:54 pm
โดย chansaiw
เอามาให้ดูเลยครับ
สิบกฎเหล็กการลงทุนของแม่ทัพสุมาอี้ โดย Thaivi.com
จาก
www.Thaivi .com โดย สุมาอี้
นั่งสรุปหลักการลงทุนที่ผมยึดถือมาให้อ่านกันแล้วครับ นึกได้แค่ 10 ข้อก่อน ที่จริงอยากเรียกว่า personal biases มากกว่า ไม่อยากเรียกว่าหลักการลงทุนเท่าไร
1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด)
2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการ BLASH การเทรดหุ้นทุกวันเปรียบเสมือนการกระโจนเข้าใส่เครื่องบดเนื้อ
3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายทิศทางเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุดแทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไร
4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบันแต่จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาดว่าพรุ่งนี้กำไรของบริษัทจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่หุ้นที่ขึ้นคือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีในวันนี้แต่กำลังจะดีขึ้นวันหน้าหรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก
5. หุ้นบูลชิพที่เติบโตช้า แม้ downside จะต่ำ -20% แต่ upside ก็ต่ำด้วย +20% หุ้นเติบโตสูงจึงน่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100% แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจเป็น 200% 500% 1000%...) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัวแม้จะผันผวนมากกว่าแต่จะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นบูลชิพในระยะยาวๆ
6. อย่าให้ความสำคัญกับ dividend yield มากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอา retained earnings ไปลงทุนทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น
7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการเสี่ยงมากที่สุด อย่าเสียเวลาคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไรหุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัว market crash เพราะในระยะยาวๆ ไม่มีตลาดหุ้นไหนในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมโตต้องขึ้นเรื่อยๆ
8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเรื่องเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นมิได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวันมิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัวที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 1-2 ตัวที่คุณคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใน 20 ตัวนั้น คุณจะพบว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินออกเป็น 20 ส่วนเพื่อซื้อทั้ง 20 ตัว
10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 8:06 pm
โดย chatchai
ทั้งสิบข้อ ผมชอบเกือบทั้งหมด ยกเว้นข้อ 3 ครับ
คงเป็นเพราะวิกฤตครั้งก่อน วิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นวิชาที่ทำให้ผมรอดตายมาได้
เรียกว่าคุ้มค่าหน่วยกิตที่เรียนมาจริงๆครับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 8:12 pm
โดย jaychou

ยินดีด้วยครับ บทความนี้เรียบง่ายได้ใจความจริงๆ
ผมชอบข้อ 8 มากๆครับ
ส่วนข้อ 10 ผมมักจะเป็นพวกบีบแตรไล่อะ :lovl:
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 9:30 pm
โดย คัดท้าย
ผมไม่ปักใจเห็นด้วยกับ ข้อ 3 และ ข้อ 8 ครับ
ข้อ 3 ผมยังไม่สามารถปักใจได้ว่า เรือตังเกลำใดบ้างในตลาดไทย ที่ฝ่าพายุได้บ้าง ส่วนใหญ่ผมมองแล้วหวั่นใจครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นพายุระดับภูมิภาคหรือระดับโลก
ข้อ 8 จากที่ลงทุนในหุ้นมาระยะหนึ่ง ผมพบว่าการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยนั้นมีประจำแม้แต่หุ้นที่ VI เคยปักใจว่ามันดีนักดีหนา แต่ท้ายสุดผมก็เห็นหางออกทุกที ผมเชื่อว่าทุกคนทำเพื่อเงิน ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ผู้ถือหุ้นชอบบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ เราคิดแบบนั้น แต่ผู้ก่อตั้งกิจการเค้าคิดแบบนั้นหรือเปล่านะ ...ถ้าเทียบกับฟุตบอล สำหรับผม ผมเลี่ยงพวกหุ้นที่เตะบอลแล้วหันมาฟันศอกใส่หน้า แต่ถ้าแค่เอาศอกเบียดๆกระแทกๆนี่ผมพอยอมรับได้ครับ
และ เรื่องการดูแลราคาหุ้น ...ผมอาจจะเป็นคนที่ในอดีตเคยกระโจนเข้าเครื่องบดเนื้อเพื่อไปเอาเศษเนื้อบ่อยๆ อยากจะบอกว่า ... ถ้าข้อนี้รับไม่ได้ ผมว่าตลาดไทย อย่าไปเล่นหุ้นมีสภาพคล่องเลยครับ ขอบอกเหอๆๆ อุ๊บไม่อยากพูดมากครับ อุ๊ๆๆๆ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 10, 2006 11:28 pm
โดย ฐิติ
"ผมว่าตลาดไทย อย่าไปเล่นหุ้นมีสภาพคล่องเลยครับ ขอบอกเหอๆๆ อุ๊บไม่อยากพูดมากครับ อุ๊ๆๆๆ"
ประโยคนี้พี่คัดท้ายคงพิมพ์ตกคำว่า "ไม่" หรือเปล่าครับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 9:11 am
โดย สุมาอี้
เป็น Personal Biases น่ะครับ ไม่ใช่สัจธรรม
คำเตือน : วิธีของผมใช้ไม่ได้เลยกับการ trade หุ้นครับ ผมเองไม่เชื่อว่าราคาหุ้นในระยะสั้นๆ มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับปัจจัยพื้นฐานของหุ้น
ใครอยาก trade หุ้นเก่งๆ ต้องศึกษาเรื่อง capital flow ให้แม่นๆ ครับ ไม่ค่อยเห็นโบรกพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่ผมว่าเกี่ยวมากๆ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 9:16 am
โดย Oatarm
ครับ ติดตามข้อความท่านมาตลอด ได้แง่คิด ความรู้ ดีครับ ในเว็บเรามีตัวละคร สามก๊กอยู่เยอะ น่ะครับ ทั้ง สุมาอี้ ขงเบ้ง เล่าปี่ ...แต่ไม่เห็นมีง่อก๊กเลยน่ะครับ
ข้าน้อยเหมือนหิ่งห้อย ตัวท่านดังแสงจันทร์
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 11:39 am
โดย PP
ผมว่าหลักการที่คุณสุมาอี้สรุปมา 10 ข้อมันเข้ากับแนวคิดปฏิบัติของบัฟเฟตต์ซึ่งเป็น value investor ทั้งหมดเลยนะครับ ดังคำพูดของท่านที่เคยกล่าวไว้ว่า
Warren Buffett เขียน:Your goal as an investor shoulder simply be to purchase, at rational price,
a part interest in an easy-understandable business whose earnings are virtually
certain to be materially higher five ten and twenty years from now. Over time, you
will find only a few companies that meet these standards so when you see one
that qualifies, you should buy a meaningful amount of stock. You must also resist
the temptation to stray from your guidelines. If you aren't willing to own a stock for
ten years, don't even think about owning it for ten minutes. Put together a portfolio
of companies whose aggregate earnings march upward over the years, and so also
will the portfolios market value."
ถอดความเป็นไทย:
วอร์เร็น บัฟเฟตต์ เขียน:"เป้าหมายการเป็นนักลงทุนของคุณก็เพียงแค่หาซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจที่คุณสามารถทำความรู้จักเข้าใจได้ง่าย
ณ ราคาที่สมเหตุสมผล โดยที่บริษัทนั้นต้องสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำได้จริงในอีก 10
หรือ 20 ปีข้างหน้านับจากนี้ไป เมื่อกาลเวลาล่วงไปคุณจะพบว่ามีแค่เพียงไม่กี่บริษัทที่เข้าเกณฑ์มาตรฐานนี้ -
ฉะนั้นเมื่อคุณค้นพบบริษัทที่เข้าเกณฑ์ - คุณควรที่จะซื้อหุ้นบริษัทในจำนวนมากเพียงพอ ขณะเดียวกันคุณ
ต้องปฏิเสธต่อต้านอารมณ์ที่นำพาให้คุณเหินห่างไปจากแนวทางการลงทุนต่างๆของคุณเอง หากว่าคุณไม่
อยากที่จะเป็นเจ้าของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนาน 10 ปีละก้อ จงอย่าแม้แต่เพียงที่จะคิดซื้อหุ้นนั้นถือไว้สัก 10 นาที
ให้รวบรวมหุ้นของเหล่าบริษัทที่สร้างผลกำไรตอบแทนรวมๆกันแล้วพอกพูนขึ้นเรื่อยๆปีต่อปีเข้ามาไว้ในพอร์ต
และแล้วมูลค่าทางตลาดของพอร์ตก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน"
ในคำกล่าวนี้จะขาดไปก็แต่เพียงข้อ 3 ของคุณสุมาอื้ที่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่ถ้าใครได้ฟัง
บทบรรยายของบัฟเฟตต์แก่นักศึกษา mba ของ ม.ฟลริดา เมื่อปี 98 (ตามที่ผมทำลิงค์ไว้ในห้องบทความhttp://
www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=11505)
ก็จะได้ยินชัดๆว่า ตัวท่านไม่สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาคเลย โดยท่านตอบคำถามนักศึกษาที่ถามเกี่ยวกับ
เศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นในขณะนั้น ที่พูดชัดๆก็คือคำว่า
"I'm not a macro guy" ซึ่งหมายถึง ท่านไม่ได้เป็น
ผู้ฝักใผ่ในเรื่องmacro-economic หรือ เศรษฐศาสตร์มหภาคแต่อย่างใด ไม่เคยสนใจที่จะอ่านหรือศึกษา
บทความเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์มหภาคแต่อย่างใด อีกทั้งยังกล่าวตำหนิผู้ที่ถือได้ว่าเป็นหัวกะทิด้าน
เศรษฐศาตร์มหภาคเพราะเป็นถึงผู้เคยได้รับรางวัลโนบิลมาแล้ว โดยเหล่าผู้ที่ถือว่าเป็นหัวกะทิด้านเศรษฐศาสตร์
เหล่านี้ได้ลงขันกันก่อตั้งกองทุน Long Term Capital Investment โดยนำไปลงทุนแบบ Hedge Fund
ทำการซื้อขายหุ้นหาส่วนต่างของราคา (arbitrage) โดยอาศัยความรู้ประสบการณ์และข้อมูลเศรษฐศาสตร์
มหภาคซึ่งเรื่องในอดีตมาเป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการซื้อขาย แต่ที่สุดก็เจ๊งไม่เป็นท่า แถบจะทำเอาระบบการเงิน
เศรษฐกิจของอเมริกาในขณะนั้นพังทลายหากไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขได้ทันกาล เพราะขนาดของกองทุนมหึมา
มาก(หากต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมต้องอ่าน When Genius Fail ครับ จะมีรายละเอียดมากกว่าที่
บัฟเฟตต์พูดให้นักศึกษาmba ฟัง) ท่านยอมรับว่าความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคทำให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน
ระบบเศรษฐกิจ แต่จะเกิดขึ้น ณ เวลาใดไม่สามารถทำนายได้แน่ๆ
เอเดี๋ยวสรุปแล้ว....คุณสุมาอี้เป็น value investor หรือ pure fundamentalist กันแน่ครับ ผมงงๆ เหมือนกัน :lovl: :lovl: :lovl:
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 11:53 am
โดย ขงเบ้ง
[quote="Viewtiful Investor"]

ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 11:55 am
โดย ขงเบ้ง
รูปนี้ท่านสุมาอี้ก็ให้มางับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 11:56 am
โดย โป้ง
10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ
ข้อนี้โดน สำหรับผมเลย เย็นไว้ เย็นไว้
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 12:00 pm
โดย เล่าปี่2006
ท่านสุมาอี้ก็เขียนตำราพิชัยสงครามแล้ว
ท่านอาจารย์ขงเบ้งเขียนมั่งสิครับ
รออ่านอยู่ครับ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 12:06 pm
โดย ขงเบ้ง
ผมไม่มีกลยุทธ์ตายตัวงับ เลยไม่รู้จะเขียนอะไรงับ
กลยุทธ์ทั้งหลายก็ได้ท่านพี่ทั้งหลายในwebสอนสั่งงับ

ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 4:11 pm
โดย rising_sun
ได้อ่านหลักการลงทุนของคุณสุมาอี้แล้วครับรู้สึกชอบใจมากครับ
ที่ชอบใจมากที่สุดเห็นจะเป็นข้อ 10 เพราะนักลงทุนควรจะมี EQ สูงมากๆ
ไม่อย่างนั้นจะถูกความโลภอยากได้กำไร ความกลัวขาดทุน
และความหลงไม่วิเคราะห์ข้อมูลเอาไปกินซะหมด
แต่ก็มีบางข้อเหมือนกันที่อ่านแล้วติดใจนิดๆ
เหมือนกับว่าถ้าจะให้เห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วยอย่างมีเงื่อนไข
ข้อแรกเลยคือข้อ 3 ผมเห็นด้วยเรื่องการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรม
ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งและต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
แต่สำหรับผมแล้วความสำคัญกับเศรษฐกิจมหภาคนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมาก
เพราะเป็นพื้นฐานของบริษัทที่เรากำลังวิเคราะห์ล้วน
เหมือนว่าบ้านที่เราอยู่นั้นต้องอยู่บนแผ่นดิน
ดังนั้นแม้บ้านจะแข็งแรงขนาดไหนก็ตามแต่
หากเจอแผ่นดินไหวระดับโหดร้ายที่สุด บ้านก็มีสิทธิพังได้
และเหตุการณ์วิกฤติต้มยำกุ้งก็คือการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
ที่ทำให้บ้านแข็งแรงหลายหลังต้องพังลงมา (อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง)
ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมหภาคบ้างในระดับหนึ่ง
อย่าลืมนะครับว่าบริษัทจะแข็งแกร่งขนาดไหน
ก็ต้องค้าขายกับหลายๆบริษัทที่เป็นร้อยพ่อพันแม่
ใครจะประกันได้ครับว่าแผ่นดินไหวครั้งหน้า
ถึงบ้านที่เราเลือกจะทนแผ่นดินไหวได้ บ้านข้างๆจะไม่ล้มมาทับเรา
สำหรับข้อ 5 นั้นผมเห็นว่าหุ้นที่เติบโตเร็วคือหุ้นบลูชิพ
ข้อนี้จึงเป็นเรื่องนิยามของนักลงทุนครับว่าภาษาของแต่ละคนเป็นอย่างไร
โดยส่วนตัวเชื่อว่าช้างก็เต้นระบำได้ ในขณะเดียวกันก็ล้มได้เหมือนกัน
ข้อ 7 นั้นเป็นหลักคิดที่เหมาะกับคนหนุ่มสาวมากกว่าครับ
แต่หากเป็นคนอายุมาก ผมเห็นว่าควรมีทรัพย์สินที่เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสม
เผื่อว่าเกิด market มัน crash ตอนอายุ 75
อย่างน้อยจะได้มีเงินค่ารักษาพยาบาลหรือค่าทำศพได้
เพราะ market crash ในแต่ละครั้งนั้น
กว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้มักจะใช้เวลาเป็นปีๆเสมอๆ
อย่างไรก็ตามขอชื่นชมแนวคิดที่เป็นประโยชน์ของคุณสุมาอี้
และยินดีด้วยนะครับที่ได้นำไปลงใน settrade
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2006 10:08 pm
โดย dikdik
เห็นด้วยกับคุณสุมาอี้ทุกข้อเลยครับ และขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาเผยแพร่ กำลังพยายามทำให้ได้ตามหลักการทุกข้ออยู่
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2006 1:42 pm
โดย moo

:cheers: :cheers:
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2006 2:18 pm
โดย Jeng
เหอๆ น่าไปแต่งหนังสือขายนะท่าน
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2006 4:51 pm
โดย สุมาอี้
ผมคงไม่อาจเทียบได้กับ the oracle of Ohama หรอกครับ คุณ PP ยกย่องกันเกินไป :D
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2006 9:00 pm
โดย chatchai
ที่คุณ PP บอกว่า Buffett ไม่สนใจ เศรษฐศาสตร์มหภาคเลยนั้น
ผมก็ยังสงสัยอยู่ เพราะช่วงปีที่แล้ว เราก็ได้ยินว่า Buffett กังวลเรื่องค่าเงินดอลล่าร์อ่อน พูดเรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ก็เลยงงครับ ว่าไม่สนใจจริงหรือ
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 8:59 am
โดย Linzhi
เป็นบทความที่ดีมากครับ บางข้อก็เบ้ขวาเบ้ซ้ายไปนิดนึง
แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมาก ว่ามันได้ถูกเผยแพร่ และถูกแบ่งปัน
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 10:20 am
โดย สุมาอี้
Jeng เขียน:เหอๆ น่าไปแต่งหนังสือขายนะท่าน
สนใจจะทำเหมือนกันครับแต่ไม่กล้าเพราะ ตลาดหลักทรัพย์ subsidize หนังสือการลงทุนแบบยอมขายขาดทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าเข้ามาแข่งครับ มีแต่เจ็บตัว
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 10:50 am
โดย PP
[quote="สุมาอี้"]ผมคงไม่อาจเทียบได้กับ the oracle of Ohama หรอกครับ คุณ PP ยกย่องกันเกินไป
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 11:58 am
โดย PP
chatchai เขียน:ที่คุณ PP บอกว่า Buffett ไม่สนใจ เศรษฐศาสตร์มหภาคเลยนั้น
ผมก็ยังสงสัยอยู่ เพราะช่วงปีที่แล้ว เราก็ได้ยินว่า Buffett กังวลเรื่องค่าเงินดอลล่าร์อ่อน พูดเรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ก็เลยงงครับ ว่าไม่สนใจจริงหรือ
คุณฉัตรชัยอย่าจริงจังกับเรื่องนี้มากนะครับ

เพราะที่ว่าผมบอกว่าอย่างนั้น ผมก็ได้ฟังมาจากปากของท่านบัฟเฟตต์เองครับ(จากคำบรรยายที่ผมทำลิงค์ไว้ในห้องบทความนั่นแหละครับ ) และคิดตามและคล้อยตามด้วยแค่นั้นเองเท่ากับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ
หรือถ้าจะลองอ่านคำบรรยายส่วนดังกล่าวที่ผมพิมพ์ไว้(ผมหาที่ save ยังไม่ได้ - ไวรัสลง comp ผมครับ มีเพียงที่พิมพ์ไว้ในกระดาษ เลยพิมพ์คัดลอกมาให้อ่าน)จากแหล่งที่มีคนเขาอุตสาห์จดบรรทึกคำบรรยายเก็บไว้ให้อ่านในส่วนที่เกี่ยวกับคำถามเรื่อง Macro economic กับการตัดสินใจซื้อหุ้น ดังนี้ครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
[b]Question: [/b]The current tenous economic situtation and interest rates? Where are we going ?
[i][b]Buffett: [/b][/i]I don't think about the macro stuff. What you really want to in investment is figure out [u]what is important and knowable.[/u] If it is unimportant and unknowable, you forget about it. What you talk about is imporatant but, in my view, it is not knowable. Understanding [i]Coca-Cola [/i]is knowable or [i]Wrigley's [/i]or [i]Eastman Kodak[/i]. You can understand those business that are knowable. Whether it turns out to be important depends where your valuation leads you and the firm's price and all that. But we have never not bought or bought a business because of any Macro feeling of any kind because it doesn't make any difference. Let's say in 1972 when we bought [i]See's Candy[/i], I think [i]Nixon [/i]put on the price controls a little bit later, but so what! We would have missed a chance to buy something for $25 million that is producing $60 million pre-tax now. We don't want to pass up the chance to do something intelligent because of some prediction about something we are no good on any way. So we don't read or listen to in relation to macro factors at all. The typical investment counselor organization goes out and they bring out their economist and they trot him out and he gives you this big macro picture. And they start working from there on down. In our view that is nonsense.
If Alan Greenspan was on the one side of me and Robert Rubin on the other side and they both were whispering in my ear exactly what they were going to do the next twelve months, it wouldn't make any difference to me what I would pay for Executive Jet or General Re or anything else I do.
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 12:04 pm
โดย PP
อันนี้อ่านสบายตาขึ้นมาอีกหน่อยครับ
Warren Buffett เขียน:Question: The current tenous economic situtation and interest rates? Where are we going ?
Buffett: I don't think about the macro stuff. What you really want to in investment is figure out what is important and knowable. If it is unimportant and unknowable, you forget about it. What you talk about is imporatant but, in my view, it is not knowable. Understanding Coca-Cola is knowable or Wrigley's or Eastman Kodak. You can understand those business that are knowable. Whether it turns out to be important depends where your valuation leads you and the firm's price and all that. But we have never not bought or bought a business because of any Macro feeling of any kind because it doesn't make any difference. Let's say in 1972 when we bought See's Candy, I think Nixon put on the price controls a little bit later, but so what! We would have missed a chance to buy something for $25 million that is producing $60 million pre-tax now. We don't want to pass up the chance to do something intelligent because of some prediction about something we are no good on any way. So we don't read or listen to in relation to macro factors at all. The typical investment counselor organization goes out and they bring out their economist and they trot him out and he gives you this big macro picture. And they start working from there on down. In our view that is nonsense.
If Alan Greenspan was on the one side of me and Robert Rubin on the other side and they both were whispering in my ear exactly what they were going to do the next twelve months, it wouldn't make any difference to me what I would pay for Executive Jet or General Re or anything else I do.
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 1:27 pm
โดย สุมาอี้
ไม่ได้ถึงกับเป็นความลับหรอกครับ ยกเว้น port size ที่คิดว่าไม่ควรจะบอก
% Position by Mkt Cap
BH 59.1%
OISHI 21.7%
PTTEP 19.2%
% Position by Cost
BH 40.9%
OISHI 28.9%
PTTEP 30.2%
ที่ผมมี BH ในสัดส่วนเยอะเป็นเพราะผมมีหุ้นแค่ 3 ตัวในพอร์ต มิใช่เป็นเพราะผมเหมือนบัฟเฟตหรืออะไรอย่างนั้น หลักการที่ว่าถ้ามั่นใจมากให้ซื้อมากๆ ก็อยากบรรลุให้ได้เหมือนกันครับ แต่ยังทำไม่ได้สักที ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ทุกครั้งที่ซื้อหุ้น แม้ว่าจะคิดว่าทำการบ้านมาดีแล้วก็ตาม เวลาเราดูแล้วดีแต่คนอื่นเขาว่าแย่หมดนี่มันยากจริงๆ นะครับที่เราจะไม่รู้สึกกลัว ยังสู้บัฟเฟตไม่ได้ครับ แน่นอน
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ดังแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 3:19 pm
โดย PP
สุมาอี้ เขียน:ไม่ได้ถึงกับเป็นความลับหรอกครับ ยกเว้น port size ที่คิดว่าไม่ควรจะบอก
% Position by Mkt Cap
BH 59.1%
OISHI 21.7%
PTTEP 19.2%
% Position by Cost
BH 40.9%
OISHI 28.9%
PTTEP 30.2%
ที่ผมมี BH ในสัดส่วนเยอะเป็นเพราะผมมีหุ้นแค่ 3 ตัวในพอร์ต มิใช่เป็นเพราะผมเหมือนบัฟเฟตหรืออะไรอย่างนั้น หลักการที่ว่าถ้ามั่นใจมากให้ซื้อมากๆ ก็อยากบรรลุให้ได้เหมือนกันครับ แต่ยังทำไม่ได้สักที ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ทุกครั้งที่ซื้อหุ้น แม้ว่าจะคิดว่าทำการบ้านมาดีแล้วก็ตาม เวลาเราดูแล้วดีแต่คนอื่นเขาว่าแย่หมดนี่มันยากจริงๆ นะครับที่เราจะไม่รู้สึกกลัว ยังสู้บัฟเฟตไม่ได้ครับ แน่นอน
สุดยอดครับคุณสุมาอี้ ตัวจริงเสียงจริงของ Aggressive Concentrated Focus Value Investor ชัดๆเลยครับ วิธีที่ว่า"ถ้ามั่นใจสุดๆ และราคาลดต่ำลงมามากกว่ามูลค่ามากๆให้ลงมือจัดการขนขึ้นใส่กะบะหลังรถ(พอร์ต)ให้เต็มจนรถเแอ่นหน้าแอ่นหลัง" เป็นวิธีที่ชาร์ลี มังเกอร์ ยุให้ บัฟเฟตต์ทำจนทำให้ Berkshire Hathaway ได้ capital gain แบบไม่รู้เรื่องอย่างในปัจจุบันครับ
ส่วนที่ว่าเรามั่นใจว่าดีแล้ว แต่คนอื่นบอกว่าแย่ ก็ต้องแก้ด้วยคาถาของอาจารย์ของท่านบัฟเฟตต์ ซึ่งท่านบัเฟตต์ท่องจำจนขึ้นใจเลยก็ว่าได้ ที่มีคำท่องอย่างนี้ครับ
"You are neither right nor wrong because the crowd disagrees with you. You are right because your data and reasoning are right."
- Benjamin Graham, The Intelligent Investor (Fourth Revised Edition, page 287)
แปะไว้หน้ากระจก กันผีได้ครับ
