เปิดโผ 12 บจ.ล้างขาดทุนผิดหลักบัญชี
http://www.bangkokbiznews.com/2005/11/2 ... d=19210734
"ก.ล.ต.-สภาวิชาชีพบัญชี" งัดมาตรฐานบัญชีใหม่คุมเข้มขั้นตอนล้างขาดทุน หวั่นฐานะการเงินไม่สะท้อนความเป็นจริง "ธีระชัย" จี้บริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินการไปแล้วเร่งแก้ไขให้ถูกต้องในงวดสิ้นปี 2548 เผยทีพีไอมีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นถึง 3.2 หมื่นล้านบาท แต่มีกำไรสะสมเพียง 4.6 พันล้านบาทเท่านั้น
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนที่จะใช้แนวทางการลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสม เพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้ จะไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป หลังจากที่สภาวิชาชีพบัญชีได้ออกมาตรฐานทางบัญชี ในกรณีที่บริษัทมีส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ที่เกิดจากขายหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หรือขายหุ้นต่ำกว่าราคาพาร์
ทั้งนี้หากบริษัทใดมีความประสงค์จะลดทุนเพื่อนำไปล้างขาดทุนสะสมจะต้องล้างส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นให้หมดก่อน จึงจะไปล้างขาดทุนสะสมได้ เพื่อไม่ให้เป็นช่องทางในการแต่งบัญชีกำไรหรือขาดทุนสะสม เพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้
โดยขณะนี้ ก.ล.ต. กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนที่ใช้แนวทางดังกล่าวไปก่อนหน้านี้ได้อย่างไร
"มาตรฐานทางบัญชีใหม่ ก.ล.ต. จะบังคับใช้กับงบการเงินปี 2548 ทั้งปี หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนนำส่งงบการเงินสิ้นสุดไตรมาสที่ 4 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดังนั้นหากบริษัทใดมีการบันทึกบัญชีไม่เป็นไปตามความเห็นของสภาวิชาชีพบัญชีดังกล่าว จะต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องในงบการเงินงวดถัดไป"นายธีระชัย กล่าว
ด้าน ดร.เกษรี ณรงค์เดช นายก สภาวิชาชีพบัญชี กล่าวว่า ก.ล.ต.ได้หยิบยกประเด็นบริษัทจดทะเบียนที่ใช้วิธีการลดทุน เพื่อล้างขาดทุนสะสม โดยที่ยังมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นเหลืออยู่มาหารือว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะการที่บริษัทล้างขาดทุนสะสม ด้วยการลดทุนจดทะเบียน จะทำให้บริษัทมีกำไร และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์คือผู้ถือหุ้น เพราะได้เงินปันผล ขณะที่เจ้าหนี้จะเป็นผู้ที่เสียผลประโยชน์
ดังนั้นจึงต้องออกมาตรฐานทางบัญชีว่า หากจะลดทุน เพื่อล้างขาดทุนสะสมจะต้องล้างส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นให้หมดก่อน
"ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจาก ก่อนหน้านี้บริษัทจำกัดไม่สามารถขายหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้น(พาร์)ได้ แต่พอมีกฎหมายบริษัทมหาชนอนุญาต ให้ขายหุ้นต่ำกว่าพาร์ได้ จึงทำให้มีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น ดังนั้นเพื่อรักษาสิทธิของเจ้าหนี้ให้คงเดิมไว้ หากจะมีการลดทุน เพื่อล้างขาดทุนสะสม ก็ควรที่จะมีหลักประกันในส่วนผู้ถือหุ้นต่อเจ้าหนี้ ส่วนบริษัทที่อาศัยช่องทางดังกล่าวและจ่ายเงินปันผลให้เจ้าหนี้ ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย แต่จะทำต่อไปไม่ได้ หลังจากออกมาตรฐานบัญชีใหม่แล้ว"ดร.เกษรี กล่าว
ทั้งนี้จากการสำรวจงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2548 ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า มีบริษัทจดทะเบียน 12 บริษัท ที่ดำเนินการลดทุนจดทะเบียน เพื่อล้างขาดทุนสะสมคือ บริษัท อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีกัลไทย (ทีพีไอ) บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด บริษัท นครไทยสตริปมิลล์
นอกจากนี้ยังมีบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด บริษัท แสนสิริ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา และ บริษัท อีสเทิร์นไวร์
แหล่งข่าวจากวงการบัญชีกล่าวว่า ส่วนใหญ่บริษัทดังกล่าวข้างต้นจะเป็นบริษัทที่เคยผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มาแล้ว ซึ่งกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ก็จะนิยมใช้การลดทุน เพื่อนำไปล้างขาดทุนสะสม แต่รูปแบบการล้างขาดทุนสะสมบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งทำข้ามขั้นตอน ส่งผลให้ฐานะของบริษัทหลังจากที่ล้างขาดทุนสะสม ไม่ได้สะท้อนฐานะการเงินที่แท้จริง
โดยทั้ง 12 บริษัทดังกล่าวมีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นติดลบ ขณะที่มีกำไรสะสมเกิดขึ้น ถึง 10 บริษัท มีเพียงบริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด และบริษัทนครไทยสติปมิลล์เท่านั้นที่ยังขาดทุนสะสมอยู่
ทั้งนี้รูปแบบการล้างขาดทุนสะสมบริษัทเหล่านี้ได้มีการนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม โดยที่ยังไม่นำไปหักส่วนต่ำมูลค่าหุ้นที่ติดลบ เนื่องจากตามกระบวนการ การล้างขาดทุนสะสมที่ถูกต้องแล้ว บริษัทจะต้องนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นมาล้างส่วนต่ำมูลค่าหุ้นก่อน และเมื่อเหลือเท่าไหร่จึงนำมาล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่
อย่างไรก็ตามจากงบการเงินไตรมาส 3 ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวข้างต้นร่วม 10 บริษัท ต่างก็มีกำไรสะสม แต่หากบริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างขาดทุนสะสมที่ถูกต้อง จะพบว่ายังมีตัวเลขขาดทุนสะสมอยู่แฝงอยู่
โดยเฉพาะทีพีไอปัจจุบันถือว่าเป็นบริษัทที่มีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นสูงสุดถึง 3.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีกำไรสะสม 4.6 พันล้าน และมีขณะที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระเพียง 7.84 พันล้านบาท ซึ่งหากนำกำไรสะสมมาหักส่วนต่ำมูลค่าหุ้นที่เหลือ 3.2 หมื่นล้านบาท พบว่าจะมีตัวเลขขาดทุนสะสม 2.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัทอะโรเมติกส์ แม้จะมีตัวเลขส่วนต่ำมูลค่าหุ้นสูงถึง 3.6 พันล้าน แต่หากนำกำไรสะสมที่มีอยู่ 4.5 พันล้าน ไปหักก็ยังเหลือกำไรสะสมอยู่กว่า 900 ล้านบาท และบริษัทแสนสิริ มีส่วนต่ำมูลค่าหุ้น 1.06 พันล้านบาท แต่มีกำไรสะสม 1.24 พันล้าน หลังหักส่วนต่ำมูลค่าหุ้นก็จะยังเหลือกำไรสะสมอยู่เช่นกัน
ส่วนที่เหลือ 9 บริษัท หากนำกำไรสะสมที่มีอยู่ไปหักกับส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ก็จะทำให้มีตัวเลขขาดทุนสะสมทันที