Thai VI

ถามเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยครับ

คือว่าสนใจที่จะเก็บหุ้นกลุ่มนี้ไว้ใน port บ้าง เพราะเห็นบางตัวนี่เงินลงทุนเยอะมาก อย่าง safe .. market cap 1000ล แต่มีเงินลงทุน 3000ล เหมือนเอาเงิน 1 บาทไปซื้อเงิน 3 บาทเลย

แต่มีคำถามครับ คือว่าผมมองไม่ออกว่าประกันภัยแต่ละเจ้านี่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างไร เช่น safe ผมมองไม่ออกว่าได้เปรียบเจ้าอื่นในประกันภัยรถอย่างไร ขับรถมาผมก็ใช้แต่วิริยะ LMG ..

นอกจากการเติบโตที่มาจากการทำประกันที่มากขึ้นแล้วเนี่ย เค้าแข่งขันกันอย่างไรเหรอครับ หรือว่าต้องไปดูจากแนมโน้มส่วนแบ่งตลาดย้อนหลังอย่างเดียวเลย หรือว่าผลประกอบการย้อนหลังอย่างเดียวเลย

สนใจ safe เพราะ p/e ไม่แพงมากเหมือน THRE หรือ BKI แต่ไม่รู้ว่ามันจะโตได้งัย (คือหมายความว่ามีจุดแข็งอย่างไรที่จะไปแข่งกับชาวบ้านอ่ะครับ)....

ขอบคุณคร้าบ

Unexpected เขียน:ถามเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยครับ

คือว่าสนใจที่จะเก็บหุ้นกลุ่มนี้ไว้ใน port บ้าง เพราะเห็นบางตัวนี่เงินลงทุนเยอะมาก อย่าง safe .. market cap 1000ล แต่มีเงินลงทุน 3000ล เหมือนเอาเงิน 1 บาทไปซื้อเงิน 3 บาทเลย

แต่มีคำถามครับ คือว่าผมมองไม่ออกว่าประกันภัยแต่ละเจ้านี่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างไร เช่น safe ผมมองไม่ออกว่าได้เปรียบเจ้าอื่นในประกันภัยรถอย่างไร ขับรถมาผมก็ใช้แต่วิริยะ LMG ..

นอกจากการเติบโตที่มาจากการทำประกันที่มากขึ้นแล้วเนี่ย เค้าแข่งขันกันอย่างไรเหรอครับ หรือว่าต้องไปดูจากแนมโน้มส่วนแบ่งตลาดย้อนหลังอย่างเดียวเลย หรือว่าผลประกอบการย้อนหลังอย่างเดียวเลย

สนใจ safe เพราะ p/e ไม่แพงมากเหมือน THRE หรือ BKI แต่ไม่รู้ว่ามันจะโตได้งัย (คือหมายความว่ามีจุดแข็งอย่างไรที่จะไปแข่งกับชาวบ้านอ่ะครับ)....

ขอบคุณคร้าบ

เงินสดหรือเงินลงทุนในบริษัทประกันภัย ไม่ใช่เงินสดของบริษัทที่จะนำไปใช้ได้ตามอำเภอใจนะครับ แต่เป็นเงินสดที่มีพันธะต้องจ่ายในอนาคต ซึ่งจะบันทึกเป็นหนี้ในหัวข้อดังนี้ครับ

-เงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้  
-สำรองค่าสินไหมทดแทนและค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย
-เงินถือไว้จากการประกันภัยต่อ
-เงินค้างจ่ายเกี่ยวกับการประกันภัยต่อ
-รายได้รับล่วงหน้า

ดังนั้นจะต่างจากบริษัททั่วไป ที่สามารถใช้เงินสดได้อย่างอิสระ หากต้องการจะหาเงินสดสุทธิของบริษัทประกัน ลองลบด้วยหนี้เหล่านี้ดู จะได้เงินสดจริงๆ ครับ


ปกติบริษัทประกันภัยจะมี

-รายได้จากการประกัน มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทประกันปกติเรียงตามกำไร อัคคภัยจะมีกำไรสูงที่สุด และทางทะลหรือเบ็ดเตล็ด รองลงมา และประกันรถยนต์จะมีกำไรน้อยที่สุด(เพราะเคลมมากสุด) หรือบางบริษัทจะขาดทุนด้วยซ้ำ

-รายได้จากการลงทุน(นำเงินเบี้ยประกันไปหาดอกผล) ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุน บางบริษัทลงทุนในหุ้นสัดส่วนที่มาก บางบริษัทชอบตราสารหนี้ บริษัทส่วนใหญ่จะเน้นรายได้จากเงินลงทุนมากกว่ารายได้จากธุรกิจประกันจริงๆ


ปัจจุบันเข้าใจว่ามีบริษัทประกันภัยประมาณ 70-80 บริษัท ดังนั้นมีการแข่งขันกันรุนแรง มีการตัดเบี้ยประกันต่ำติดดิน มีความภักดีต่อแบรนด์น้อย แข่งกันที่เบี้ยประกันใครต่ำสุด พยายามให้ค่าคอมกับตัวแทน โบรคเกอร์สูงๆ ผมมองว่าธุรกิจนี้พอไปได้ตาม GDP ประเทศ แต่คงมีกำไรไม่มาก และอาจจะโดนแจ็คพอตเหมือนการเคลมสึนามิปีที่แล้ว

แม้แต่ thre ผมก็ได้ข่าวว่ามีการพยายามของบริษัทประกันหลายรายที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่แข่งกับไทยรีครับ

ไม่เชิงนะพี่ลูกอิสาน ประกันรถยนต์ขาดทุนก็จริง แต่ด้วยปริมาณมากทำให้เอาเงินไปลงทุนได้เยอะ อย่างที่เห็นๆ ขาดทุนจากรถยนต์ 1-2% แต่ด้วยเบี้ยรับสูงๆ เอาไปซื้อพันธบัตรกินส่วนต่างดอกเบี้ยรับกับส่วนขาดทุน(มองเป็นต้นทุนทางการเงิน) ก็คุ้มแล้วครับ ถือเป็น Leverage ของธุรกิจครับ ดู SMK เป็นตัวอย่างที่ดี

อัคคีภัย เบี้ยประกันรับต่ำมาก แม้ความเสี่ยงต่ำ อัตรากำไรดี แต่ด้วยปริมาณที่ต่ำ ทำให้ไม่เกิด leverage ในการลงทุนเท่าไหร่ บริษัทพวกนี้ก็ AYUD ไงครับ

การประกันภัย  รถยนต์  (ในสายตาของผมนะครับ)
เป็นการหมุนเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา
แบบเงินเสริญสภาพคล่อง


อย่างกรณีเกิดอุบัติเหตุ  
ก็รับประกันคันใหม่  ไปจ่ายค่าซ่อมทำนองนั่น

ประกันก็มีรูปแบบเพิ่มขึ้น
จนถึงประกันบัตร  ประกันแถมเงินฝาก

ถ้าประกันภัยแถมรถยนต์ออกใหม่นี่  เป็นตัวตัดราคากันน่าเกลียด
อย่างพวกเราประกันวงเงินเท่านี้ต้องจ่ายเบี้ยประกัน13,000บาท(สมมุติ)
ก็จะมีการตัดราคากัน50%  เลย  หากรถใหม่หาย1คันบริษัทประกันจ่ายเต็มที่
รับมา100คัน  จ่ายคันเดียวหมดเลย

เงินที่เหลือค่อนข้างมั่นคง
ผมมองที่กำไรสะสมยังมิได้จัดสรรครับ

ผมว่าport ประกันภัยรถยนต์
เป็นตัวที่มีLoss ratioสูงมากเมื่อเทียบกันตัวอื่นๆๆ