Thai VI

อะไรก็ต่างชาติ  อะไรก็ Market Cap.

คนชอบงานศิลป์  ทำไมไม่พูดเรื่องคุณภาพ   พูดแต่เรื่องปริมาณ

ก็แกมองงานศิลป์ ของสะสมทั้งหมด เป็นเงินนะครับ แก่แล้ว แก้ยาก  :lol:

รูปที่ติดหลังเก้าอี้ ยังเป็นรูป ที่อ้างอิงไปยังตลาดหุ้นได้เลยครับ คุ้นว่าเป็นกระทิง แล้วก็มีคนขี่อยู่ ประมาณว่าเป็นผู้พิชิตกระทิง  :lol:  :lol:

มองผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก  :D

 ไผน๊อ

อีตา ด็อกเตอ กล้องเกลียด ใช่ปล่าว
หากใช่ผมก็เบื่อ  8)

แกให้ความเห็นสนองนโยบายพรรคการเมืองพรรคนั้นมากจนขาดความเป็นกลาง

ผิดจรรยาบรรณ ข้อ 4 ของ CFA Instituite ด้วยนะเนี่ย

ท่านคงพูดไปในมุมมองทางอาชีพของท่านน่ะ ถ้ามีสินค้าตัวใหญ่ๆ
ลูกค้าต่างชาติมาเทรดกับท่าน ท่านก็ได้ค่าคอมเพิ่มจริงมั้ย

เอาน่า คนต้องทำมาหากินน่ะครับ

แนวคิดของท่านก็มีที่มาที่ไปนะครับ แต่ไม่ถูกใจเรา vi แค่นั้นเอง

คือตลาดไทยเปรียบเทียบกับตลาดเกิดใหม่มีขนาดเล็กมาก
ทำให้กองทุนต่างชาติที่มีเม็ดเงินปานกลาง-มาก ไม่สามารถลงทุนได้
ตลาดไทยจึงเทรดกันที่พีอีประมาณ 8 เท่า แค่นั้นเอง ในขณะที่เพื่อนบ้านเทรดที่พีอี 12-13 เท่า หรือถูกกว่าเพื่อนบ้าน 50% หากคิดที่มูลค่าตลาดรวม 5 ล้านล้าน เท่ากับว่าประเทศเราเสียประโยชน์ไปถึง  2.5 ล้านล้าน


คือขายหุ้นระดมทุนได้ถูกกว่าเพื่อนบ้าน(มาเลเซีย ฟิลิปปินส์) ถึง 2.5 ล้านล้าน มูลค่ามหาศาลนะครับ ดังนั้นจึงเป็นที่มาที่ไปให้มีการนำบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนมากๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนเหล่านั้น เช่น ไทยเบฟ กฟผ. กฟน การประปา ไปรณีย์  ประโยชน์ทางอ้อมคือรัฐไม่ต้องค้ำประกันบริษัทรัฐเหล่านี้ (ส่งผลให้หนี้สาธารณะลดลง) และเพิ่มประสิทธิภาพ (ดีขึ้นแน่นอนไม่มากก็น้อย)

แต่ส่วนตัว ท่านก็ชอบบริษัทขนาดเล็กที่คุณภาพดีนะครับ ผมเคยนำบทสัมภาษณ์มาโพสต์กระทู้ประมาณ 1 ปีที่แล้ว ท่านชอบ HMPRO SE-ED ครับ

แต่ตอนนี้ด้วยตำแหน่ง การงาน ทำให้มุมมองของท่านเป็นอย่างที่เห็น คือคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะสั้นมากเกินไป ลืมหลักการระยะยาว ตามประสาการเมือง :lol: