Thai VI

หรือมูลค่ากิจการโรงพยาบาล
อยู่ที่ใจ

เป็นความคาดหวังครับ

แพงไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าความคาดหวังต่อผลประกอบการน่ะ เยอะแน่ๆ

ในความคิดของผม ราคามี margin of safety น้อย แต่ไม่แพงสำหรับผม
เพราะเป็นหุ้นที่มี growth + มีสภาพคล่อง
อีกเหตุผลคือจะเป็นหุ้นทีนักเก็งกำไรชอบมาก(ทำ new high อยู่เรื่อยๆ) :lol:

ธุรกิจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่ร้อนแรงที่สุด หรือเปล่าครับ
แล้ว BH เป็นหุ้นที่ร้อนแรงที่สุดในหมวดหรือเปล่าครับ

นึกย้อนกลับไปตอนที่ผมซื้อ BH ตอนราคาแถวๆ 13 ตอนนั้นก็รู้สึกว่าราคามันแพงเอาการ น่าจะรอให้ราคาลงมาซัก 10 บาท และเอาเงินไปซื้อตัวอื่นที่ราคาถูกกว่า ก็ลองเข้าไปนั่งดูคนไข้ที่มาใช้บริการหลายครั้ง เช็คข้อมูลจากหลายๆคนที่เคยใช้บริการ ก็ตัดใจซื้อ และพยายามให้กำลังใจตัวเองว่า ของดีแบบพิเศษ หวังจะรอเลหลังคงจะไม่ได้ ก็คิดว่าถ้าอัตราการเติบโตระดับนี้ ถือซักปีคงได้เห็นแถว 20 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ประเมินออกมาด้วยการมองโลกแง่ดีสุดๆ 555 และสุดท้ายมันก็ขึ้นมาจริงๆ พอราคาขึ้นมาเกิน 20 บาท ก็คิดว่าคงจะขายออกบ้าง แต่พอดีในนิตสารฟอร์บเมื่อไม่ซัก 3 เดือนก่อน มี Hedge Fund กองหนึ่งเค้า Recommend BH อยู่ตัวเดียว สำหรับการลงทุนในประเทศไทย ไอ้เราก็คิดว่า ถ้าพวกนี้มา 20 ต้นๆคงเอาไม่อยู่ คงลากขึ้นไปมากกว่านี้ NVDR ก็ซื้อตลอด ก็เลยยังถือต่อมาเรื่อยๆ จนราคามาอยู่ 26-27 บาทแถวนี้นะแหละ ซึ่งตอนนี้เริ่มขายออก ก่อนที่ BBL จะปล่อย Lot ใหญ่ออกมา ซึ่งเดาๆเอามาคงกดดันราคาหุ้นให้ลงมาพอควร ซึ่งถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะลงมาจริงหรือเปล่านะ
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจลงทุนใน BH และ Mint ในอดีตที่ผ่าน ได้เปลี่ยนวิถีการลงทุนของผมพอสมควร และทำให้มั่นใจว่า ถ้าของดีจริงๆๆๆๆๆๆ นะ อย่าเกี่ยงราคามาก และเมื่อมีโอกาสได้ซื้อเพิ่ม อย่างเช่น Mint ในช่วงสึนามิ ก็ต้องหวดเต็มข้อเลย

วันที่ 5 พย. 2005

อีก 3 ปีมาดูกันใหม่ ไม่รู้กระทู้จะหายไปหรือไม่ระหว่าง

BH ในปี 2004 ยอดขาย 5809 ล้าน กำไร 809 ล้าน หนี้สิน 2960 ล้าน และ 6 เดือนปี 2005 ยอดขาย 3228 ล้าน กำไร 472 ล้าน หนี้สิน 2993 ล้าน

ราคาทั้งบริษัท 20011 ล้านบาท

กับ
PSL ในปี 2004 ยอดขาย 8728 กำไร 4749 ล้าน หนี้สิน 8083 ล้าน และใน 6 เดือนปี 2005 ยอดขาย 5767 ล้าน กำไร 3403 ล้าน หนี้สิน 5815 ล้าน

ราคาทั้งบริษัท 21060 ล้าน

อืม ราคาทั้งบริษัทใกล้เคียงกัน แต่ความเสี่ยง กับความชอบ อนาคตที่มองว่าโรงพยาบาลดี ในขณะมองว่าเรือแย่

อีก 3 มี กาลเวลาจะมาเฉลยนะครับ

หมายเหตุ psl ประกาศมาแล้ว ไตรมาส 3 ยอดขาย 2784 ล้าน กำไร 1387
รวม 9 เดือนเป็นยอดขาย 8327 ล้าน กำไร 4790 หนี้สิน 5474 ล้าน

ผมจะบันทึกเก็บไว้ส่วนตัว เผื่อหาไม่เจอ

เห็นด้วยกับเฮียเจ๋งครับว่าPSLน่าสนใจจริงๆ แต่ด้วยความผันผวนของราคา ผมเลยเล่นเป็นรอบๆมากกว่า
ตอนนี้ก็ถืออยู่ทั้งคู่ครับ :lol:  :lol:  :lol:

ตั้งแต่ BH เริ่มขยายไปต่างประเทศ ผมไม่กล้าฟันธงแล้วว่า fair value ของ BH เป็นเท่าไร  เอาไว้รอให้เริ่มเห็นผลงานจากการลงทุนเหล่านั้นสักนิดหน่อยแล้วค่อยว่ากันใหม่

ที่แน่ๆ ผมไม่คิดจะขายตัวนี้แล้ว จะให้มันตายคา port ของผมเลย เพราะผมมั่นใจว่าราคาที่ซื้อมาต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของเงินปันผลในอนาคตบวก terminal value ที่คาดหวังได้ของหุ้นตัวนี้อย่างมีนัยสำคัญ แบบนี้ไม่จำเป็นต้องขายก็ได้กำไร (ต้องตาม slogan ของผม)

เคยซื้อตอน 17   รับเพิ่มอีกที ตอน 19 วิ่งฉิว......ไป25
เลยขายไปซะแล้ว .....( 30% กว่ากว่า)
ช่วงนี้ก็รอข่าวร้าย.....แต่ยังไม่มาสักที
นักวิแคะบอกว่า...ราคาเต็มมูลค่าแล้ว..แต่ไม่ค่อยเชื่อ


ตอนนี้ย่ำๆอยู่ที่  27 -27.75 คอยดูอยู่ทุกวัน...( เมื่อไรจะวกกลับมา)

"ราคาที่ซื้อมาต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของเงินปันผลในอนาคตบวก terminal value ที่คาดหวังได้"

ไม่ทราบจะรบกวนได้ไหมครับ  ว่าคำนวณจากอะไร ?

ม้าเฉียว เขียน:อย่างไรก็ดี การตัดสินใจลงทุนใน BH และ Mint ในอดีตที่ผ่าน ได้เปลี่ยนวิถีการลงทุนของผมพอสมควร และทำให้มั่นใจว่า ถ้าของดีจริงๆๆๆๆๆๆ นะ อย่าเกี่ยงราคามาก และเมื่อมีโอกาสได้ซื้อเพิ่ม อย่างเช่น Mint ในช่วงสึนามิ ก็ต้องหวดเต็มข้อเลย

ช่วงที่สภาพเศรษฐกิจยังเป็นขาขึ้น  และตลาดหลักทรัพย์ยังคงดีอยู่  การลงทุนลักษณะนี้ก็ยังคงดูดี  ผู้คนก็ยังคงมีความเชื่อมั่นและความหวังที่สวยหรูในอนาคตของบริษัท  เหมือนที่นักลงทุนเคยให้ความหวังกับกลุ่มสื่อสารในช่วงก่อนวิกฤต

แต่ถ้าเกิดเป็นขาลงเมื่อไร  เราจะคิดใหม่ว่าเราซื้อไปได้อย่างไรในราคานี้

เหมือนช่วงวิกฤตปี 40  ราคาหุ้นร่วงลงแทบทุกตัว  ไม่ว่าบริษัทจะมีพื้นฐานดีแค่ไหน

TRUE เมื่อก่อนชื่อ TA  ขายราคา IPO ที่ 55 บาท
SAMART ราคาเป็นเกือบ 200 บาท
TT&T ราคาก็แพงมากๆ

ทั้งๆที่ผลการดำเนินงานก็ยังไม่ดีนัก  ขายความหวังอันสวยหรู  แต่เมื่อนักลงทุนหมดความอดทน  ราคาก็คืนสภาพที่ควรจะเป็น

[quote="tech"]"ราคาที่ซื้อมาต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของเงินปันผลในอนาคตบวก terminal value ที่คาดหวังได้"

ไม่ทราบจะรบกวนได้ไหมครับ

จริงอย่างที่พี่ฉัตรชัยว่า
และผมก็มักจะถาม และเตือนตัวเองเสมอเวลาที่ลงทุนในตัวไหนก็ตาม แล้วได้ผลตอบแทนดีว่า ผลลัพธ์ของการลงทุนที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคก็เป็นได้

ปล. พี่ครับ เห็นมีบริษัท Trading ขายจำพวกเคมีภัณฑ์ ชื่อ Global Connection กำลังจะ IPO เป็นไงบ้างครับพี่

ที่ระดับราคาขนาดนี้(pe~18-19เท่า , pb~8-9เท่า)
ก็คงต้องบอกว่าแพงมากๆ
ยกเว้นสำหรับคนที่มั่นใจว่า bh จะโตได้ 20-25%ไปอีกหลายปี

แต่บนความมั่นใจนั้นก็ขอให้ลงทุนกันอย่างระวังๆแล้วกันครับ
เพราะถ้าพลาดซัก1-2Qติดต่อกัน ราคาจะลงแรงกว่าตอนขึ้นมากๆ

สำหรับผมถ้าให้ซื้อตอนนี้คงไม่ซื้อแน่ ก็คงรอดูไปเรื่อย
เพราะราคาปัจจุบันผมว่า margin of safety น้อยมากๆ
(จริงๆช่วงที่ผมเริ่มศึกษาดูแล้วก็กะว่าจะซื้อราคาอยู่ที่ประมาณ 19
ซึ่งตอนนั้นผมยังเกี่ยงว่าแพงเลย )

คิดๆแล้วก็อืม เสียดาย RAM ก่อนที่ผมจะเข้าเล่นหุ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

ในอดีตก็เคยเล่นมาก่อน และไม่ได้ติดตาม เพียงแต่อ่านหนังสือพิมพ์บ้างคร่าว ตอนนั้น RAM อยู่ที่ประมาณ 50 บาท

ในใจผมคิดว่า อืม น่าจะไปหาเงินมาเทคโอเว่อรามซะเลย

อิอิ

ได้แต่คิด แต่มะได้ทำไร

เห็นด้วยครับเรื่องคนเราไม่ควรซื้อหุ้นที่ "แพง"

แต่ไม่เห็นด้วยครับที่วัดว่าหุ้นแพงหรือถูกโดยการดูว่า P/E สูงหรือต่ำกว่า 15


ถ้าหุ้นทุกตัวควรมี P/E เท่ากัน แล้วผมเป็น manager ผมจะงอมืองอเท้า ผมจะไม่ดิ้นรนสร้างความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้น ไม่ดิ้นรนมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต ไม่มองหาวิธีการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เพราะยังไงซะ บริษัทก็มีค่า 15 เท่าของกำไรเหมือนเดิม

บริษัทแต่ละบริษัทคุณค่ามันไม่เท่ากัน ดังนั้น Valuation ของมันจึงไม่ควรเท่ากัน

PTT ปี 2003 มี EPS 8.75 ปีนี้มี EPS 27.75 ถ้าปี 2003 PTT มี P/E สัก 20 เท่า ก็คือราคา 175 บาท (สมมติ) คนที่ซื้อไว้ตอนนั้น ก็ไม่เจ็บตัวครับ


ปีที่แล้วผมเคยพูดดูถูกคนที่วิ่งเข้าไปซื้อ TPI ที่ 12 บาท เพราะตอนนั้น P/E ประมาณ 16 พอมาตอนนี้ TPI ราคา 15 บาท แต่มี P/E เหลือแค่ 8 ครับ ตอนนี้ผมถึงได้รู้ตัวว่าผมเองต่างหากที่ไม่มีความรู้ ไม่ว่าว่า E ของ TPI กำลังวิ่งขึ้นอย่างเร็วและแรง มัวแต่ไปมองว่า PE 16 แปลว่าแพง

ถ้าหุ้นทุกตัวควรมี PE ที่เหมาะสมเท่ากัน หุ้นคงเล่นง่ายกว่านี้มาก แต่เสียดายครับที่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

สำหรับนักลงทุนแบบVI
กลุ่มโรงพยาบาล
ผมชอบ KDH น่าสนใจกว่าตัวอื่นๆครับ

ผมว่าแพงครับ

สุมาอี้ เขียน:เห็นด้วยครับเรื่องคนเราไม่ควรซื้อหุ้นที่ "แพง"

แต่ไม่เห็นด้วยครับที่วัดว่าหุ้นแพงหรือถูกโดยการดูว่า P/E สูงหรือต่ำกว่า 15

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับพี่สุมาอี้
ผมถึงบอกว่ามันยังไม่"แพง"สำหรับคนที่มองว่าจะโตได้20-25%อีกหลายปี

แต่พอดีผมไม่ค่อยมั่นใจครับเลยคิดว่าค่อนข้างแพงสำหรับผม
เพราะผมมองว่าการโตของBHต่อจากนี้(โตแบบก้าวกระโดด)
ต้องอาศัยการขยายไปต่างประเทศ

ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า
เพราะน่าจะมีความแตกต่างกับในประเทศหลายด้าน
ทั้งบุคคลากรและค่าใช้จ่าย

พอไม่แน่ใจ(อาจจะเพราะไม่รู้)
ก็เลยคิดว่าเสี่ยงครับ(ที่ราคานี้นะ)

ต่างประเทศทำไม่ง่ายหรอกครับ โดยเฉพาะเมกา การฟ้องร้องรุนแรง และการดูถูกหัวดำ น่าจะยังมี ( แต่พยายามบอกว่า ไม่มี )

ส่วนที่เมืองไทยโต เพราะเทียบแล้วมารักษาเมืองไทยยังถูกว่าที่เมกา หรือญี่ปุ่น

แต่คนที่รักษาแล้วต้องพยายามดูราคาเป็นหลักก็น่าจะไม่ใช่ ลูกค้าระดับ 5A1 นะครับ

คือน่าจะประมาณลูกค้าระดับกลาง ซึ่งน่าจะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยความที่หมอไทย เก่งที่สุดในโลกแล้วตอนนี้

อย่างไรก็ตามการทำกำไรของโรงพยาบาล  ไม่ใช่เรือ ไม่ใช่เทรดดิ้งนะครับ กว่าจะสร้างยอดขายเพิ่มได้ ต้องหา สถานที่ ก็คือตัวโรงพยาบาล ซึ่งก็ต้องสร้าง หรือไม่ก็ไปเทคโอเวอร์มา อีกอย่างก็คือตัวคุณหมอทั้งหลาย ก็มีหลายค่ายเหมือนกันนะ ไม่ใช่ไม่มี กว่าจะได้ทีมงานที่เก่งจริงและมีปัญหาน้อยในการบริหารงาน ก็ไม่ใช่เนรมิตได้เลย

ผมคิดว่าโรงพยาบาล bh bgh ดีแน่นอนครับ แต่เกี่ยงเรื่องราคา

อืม เมืองไทยไม่อยู่ไม่รู้ ตอนมันลงมาเยอะๆ เดี๋ยวผมเข้ามาสนใจ เพื่อนๆก็มาแซวอีกว่า ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้

ขอเข้ามาสนับสนุนเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาลไทยครับ ว่าเรื่องคุณภาพกับบริการแล้วติดอันดับโลกจริงๆ

พูดถึง Bh เนี่ยตัวผมเองก็เข้าไปใช้บริการอยู่บ่อยๆครับ ยอมรับว่าบริการนี่สุดยอดมากๆประทับใจมากๆ (แต่ผมก็ยังไม่เคยซื้อหุ้นซะทีมัวแต่เกี่ยงราคา)

ที่ผมคิดว่าโรงพยาบาลในไทยคุณภาพเยี่ยมเนี่ยผมก็เปรียบเทียบง่ายๆกับบริการของโรงพยาบาลที่นี (ออสเตรเลีย)ครับ ที่นี่บริการค่อนข้างห่วยที่เดียว แถมราคาก็ยังแพงมากด้วย ถึงแม้จะมีสวัสดิการของรัฐแต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายๆด้าน คนส่วนใหญ่เวลาไม่สบายจะเข้าคลีนิกอย่างเดียว

เมื่อเดือนที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสดู scoop รายงานเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ เขานำเสนอเรื่องของ BH ด้วยครับ ผมเห็นแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ใน scoop บอกว่าปัจจุบันนี้คนออสซี่บินไปรักษาตัวที่เมืองไทยมากขึ้นเนื่องจากราคาสมเหตุสมผลบวกกับบริการที่เป็นเลิศ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสุขภาพอย่างเดียวครับ การทำศัลยกรรมต่างๆปัจจุบันออสซี่ก็นิยมบินไปทำที่เมืองไทยมากขึ้น จากเหตุผลที่ว่ามา

ไม่แปลกที่เห็นแต่ชาวต่างชาติใน BH เต็มไปหมด

ตึกใหม่มี capacity ประมาณ 60% ของของเดิม ซึ่งถ้าเปิดใช้งานจนเสร็จสมบูรณ์ รับรองว่าเต็มแน่นอน เพราะตอนนี้อัตราการใช้เตียงเต็ม 100% มาหลายปีแล้ว

ดังนั้นรายได้จะกระโดดขึ้นไป 60% ในอีกไม่เกิน 2 ปี และด้วยผลของ fixed cost กำไรควรจะกระโดดมากกว่านั้น สมมติว่ากำไรกระโดดสัก 100% ก็พอ คิดดูว่าถ้าราคายังเท่าเดิม ณ วันนี้ P/E จะเปลี่ยนไปเท่าไร

ส่วนการเติบโตในต่างประเทศ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมไม่ได้คิดเผื่อไว้เลย เพราะไม่ทราบจริงๆ ว่ามันจะดีหรือร้าย BH มีนโยบายเปิดรพ.ในประเทศที่ล้าหลังกว่าประเทศไทยครับ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ และตะวันออกกลางครับ เพราะถ้าไปเปิดในอเมริกา ต้นทุนจะเท่ากับคู่แข่ง และคู่แข่งก็มี JCIA เหมือนกัน BH จะไม่ได้เปรียบอะไรเลย