Thai VI

ลูกอิสาน เขียน: เลี้ยงลูก 2 คนเหนื่อยน่าดูครับ โดยเฉพาะคนโตที่เริ่มอิจฉาน้อง

Financial Engineer เขียน:บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกเห็นส่วนใหญ่กำไรหดเพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ปรับราคาขายได้น้อยกว่า

บริษัทนี้จัดการกับเรื่องนี้อย่างไรครับ?

อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมีต้นทุนพลาสติกในสัดส่วน 15-20%  ของราคาขายสินค้า ซึ่งบริษัทต้องแบกรับราคาต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทสามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น  อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาสินค้าแต่ละชนิดจะไม่เท่ากัน  และแม้แต่สินค้าชนิดเดียวกันแต่ผลิตเวลาต่างกันก็ปรับขึ้นราคาไม่เท่ากัน  เนื่องจากบริษัทเลือกใช้ต้นทุนพลาสติกจากผู้ประกอบการหลายราย  เพื่อให้ราคาเกิดความหลากหลาย  และทำให้ผู้ประกอบการเม็ดพลาสติก   มีการแข่งขันด้านราคาส่งผลให้ต้นทุนราคาเม็ดพลาสติกไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก

naris เขียน:ผมเคยโทรไปคุยสอบถามกับผู้บริหารเกี่ยวกับความสม่ำเสมอของรายได้ และความเสี่ยงเรื่องลูกค้ารายใหญ่ และเรื่องAFTAไทย-ญี่ปุ่น มีผลกระทบหรือเปล่า
-เรื่องรายได้4-5ปีมานี้เดินเครื่องเกือบเต็มกำลังการผลิตตลอดเวลา(ทั้ง3กะ)
และเครื่องจักรใหม่เพิ่มกำลังการผลิตจาก600เป็น800ตันตั้งแต่ไตรมาท3แล้ว
-เรื่องลูกค้ารายใหญ่ ที่ผ่านมากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาได้ขยายไปลูกค้ารายใหม่ทั้งหมด ในอนาคตการสัดส่วนการพึ่งพาก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ
-FTAไม่มีผลกระทบทางลบ อาจดีในทางบวกด้วย(แต่ไม่ได้ถามต่อว่าบวกอย่างไร)
ส่วนมาร์จิ้นที่พี่FE เป็นห่วงนั่นก็ทำให้กำไรขั้นต้นเราลดลงเหมือนกัน แต่ผู้บริหารคนนี้กล่าวว่า ราคาของเม็ดพลาสติกคงจะมีจุดสูงสุดปีนี้ ปีหน้าราคาน่าจะลดลงครับ

"ทาพาโก้" ลั่นรายได้ทะลุเป้า 450 ล้านบาท แม้มาร์จิ้นหดจากพิษน้ำมันแพงฉุดต้นทุนการผลิตเพิ่ม ล่าสุดงัดกลยุทธ์เด็ดขายสินค้า พร้อมบริการครบวงจร หวังดึงมาร์จิ้นโตเท่าเดิม 26% ฟุ้งไตรมาส3 รายได้โตเพิ่ม

นายโสฬส ตั้งในธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีการเงิน บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TAPAC ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนพลาสติกวิศวกรรม เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดขายทั้งปีนี้น่าจะมากกว่า 450 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้ารายได้ที่ประมาณการไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเชื่อว่าปีนี้อาจจะมียอดขาย 480 ล้านบาท


สำหรับงวด 6 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้ 50% ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 100% เมื่อเทียบกับปี 2547 ทำให้เชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ที่กำลังจะแจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 15 กันยายนนี้จะมียอดขายและรายได้เป็นที่น่าพอใจและไม่ต่างจากผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 มากนัก โดยไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้จากการขาย 114.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 82.3 ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจ อาทิ ราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าพลังงานและค่าแรงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท แต่จะกระทบไม่มากนัก โดยปีที่แล้วบริษัทมีต้นทุนการผลิต 74% โดยเป็นต้นทุนขนส่ง 2.7% ต้นทุนพลังงาน 2% และค่าแรง 7% ซึ่งในปีนี้ต้นทุนการผลิตน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 75% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลต่อต้นทุนขนส่ง นอกจากนี้ต้นทุนพลังงานและค่าแรงก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเป็น 25% จากเดิมอยู่ที่ 26%


ทั้งนี้บริษัทจะใช้กลยุทธ์เพิ่มการผลิตและบริการครบวงจร จากที่เคยฉีดขึ้นรูปเพียงอย่างเดียวให้บริการประกอบและทดสอบสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 26% เหมือนในปีที่แล้ว โดยบริษัทได้เริ่มให้บริการครบวงจรกับลูกค้าตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ 3-4 รายเพื่อเสนอขายสินค้าและบริการแบบครบวงจร คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 5% ของรายได้รวมและรับรู้รายได้เต็มปีในปีหน้า


"เราจะเพิ่มบริการประกอบและทดสอบสินค้าให้กับลูกค้าเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าบริษัทซึ่งเราเริ่มทำมาตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทยังมีบริษัทย่อยคือ บริษัททาพาโก้ โมลด์ จำกัด เข้ามาช่วยทำให้เราสามารถประกอบธุรกิจได้ครบวงจรมากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้เราจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 26% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปีที่แล้ว จากครึ่งปีแรกมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 25% ซึ่งในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีปัจจัยลบค่อนข้างมาก การสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้นับว่าน่าพอใจสำหรับบริษัทแล้ว ส่วนปีหน้าคาดว่าอัตรากำไรขั้นมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ให้บริการครบวงจรที่บริษัทวางแผนไว้" นายโสฬสกล่าว


สำหรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลต่อการขายในต่างประเทศที่บริษัทมีสัดส่วนการขายอยู่ 50% นั้นบริษัทยืนยันว่าสามารถควบคุมความเสี่ยงได้โดยการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า โดยบริษัทมีวงเงินในการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าอยู่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ และขอวงเงินมาแล้ว 8 แสนเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นวงเงินที่จะขอไว้กับธนาคารจนถึงเดือนพ.ย. -ธ.ค. นี้ซึ่งสามาถรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ถึงสิ้นปีนี้


นายโสฬสกล่าวเพิ่มว่าลูกค้ารายใหม่ที่กำลังเจรจา จะรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้คิดเป็น 5% ของสัดส่วนรายได้ แต่จะรับรู้รายได้เต็มที่ในปีหน้ามากกว่า โดยคาดว่าจะมีรายได้คิดเป็น 10-20% ต่อรายในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ในปีหน้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในประเทศปรับเปลี่ยนไป โดยรายได้จากต่างประเทศจะลดลงเป็น 45% จากปีนี้อยู่ที่ 50% และรายได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 55% จากเดิมที่ 50% เนื่องจากลูกค้ารายใหม่ 3-4 รายนั้นเป็นลูกค้าในประเทศ

ต.หยวนเปียว เขียน:สวัสดีครับคุณลูกอีสาน
คืนก่อนประชุมวีไอ
เฮียปรัชญาแนะนำหุ้นตัวหนึ่ง
SPPT
ผมเองก็ไม่ได้ตามดูละเอียด
แต่คร่าวๆแล้วน่าสนใจ