:lol:
ประกิต อภิสารธนรักษ์ ฟันธง
โฆษณายุคนี้ต้องมีมาร์เก็ตติ้ง
" แม้ว่าเราจะทำงานครีเอทีฟได้รางวัลมากแค่ไหน
แต่เมื่อไรที่ยอดขายของลูกค้าไม่เข้าเป้าลูกค้า
ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเอเยนซี่เช่นกัน "
ด้วยโครงสร้างของธุรกิจโฆษณาที่เปลี่ยนไปทำให้รายได้
บริษัทเอเยนซี่โฆษณาในปัจจุบันมาจากการสร้างสรรค์งานโฆษณา
เพียงอย่างเดียวเนื่องจากหลายบริษัทได้แยกรายได้ในส่วนของการวางแผนและซื้อโฆษณาออกไป ทำให้ทุกเอเยนซี่ต้องหันมาพัฒนาและ
ชูความโดดเด่นของงานครีเอทีฟ เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเอเยนซี่ขนาดใหญ่ แต่ในทางกลับกันก็ยังมีหลายเอเยนซี่ เช่นกันที่มีมุมมองที่แตกต่าง
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ
นายประกิต อภิสารธนรักษ์
ประธาน
บริษัทประกิตโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน)
ถึงแนวทางการบริหารงานในด้านการสร้างสรรค์งานโฆษณา
ของบริษัทในเครือประกิต โฮลดิ้ง
"ประกิต" เริ่มต้นอารัมภบทว่า ปัจจุบันมาร์เก็ตติ้งเข้ามามีบทบาทในวงการโฆษณามากไม่ว่าจะเป็นงานในด้าน account service หรือ
strategic planner ต้องมีความรู้ด้านการตลาดเป็นอย่างดี เพราะลูกค้าในวันนี้จะถือว่าหมดสมัยที่จะให้เอเยนซี่คิดแค่แคมเปญโฆษณาเพียงอย่างเดียวแล้ว
ลูกค้าที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ คงไม่ค่อยแคร์เรื่องครีเอทีฟสักเท่าไร แต่เขาจะแคร์ว่าทำหนังโฆษณาและโฆษณาไปแล้วเขาขายสินค้าได้หรือไม่ ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นหรือเปล่ามากกว่า ที่จะบอกเอเยนซี่ว่าต้องทำงานครีเอทีฟให้หนังโฆษณาของเขาได้รางวัล
"ประกิต"ย้ำว่า ถ้าสินค้ามียอดขายเพิ่มขึ้นและงานครีเอทีฟได้รับรางวัลด้วย นั่นถือว่าได้100%เต็ม แต่ถ้าสินค้าขายได้ แต่งานครีเอทีฟไม่ได้รางวัล ถือว่าได้80% แต่เมื่อไรที่สินค้าขายไม่ได้ขณะที่งานครีเอทีฟได้รับรางวัล นั่นถือว่าสอบตก
ฉะนั้นจะเห็นว่างานครีเอทีฟของ
เอฟซีบีไทยแลนด์ และ
ปับลิซีส ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือนั้น จะไม่ค่อยเน้นรางวัลเท่าไหร่นัก แต่จะเน้นว่าอันดับแรกงานนั้นต้องช่วยให้ลูกค้าขายสินค้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศซรษฐกิจไม่ดี เอเยนซี่ยิ่งต้องทำหน้าที่ทุกวิถีทางว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ที่จะช่วยให้ลูกค้ามียอดขายที่เพิ่มขึ้นได้บ้าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทในเครือของ ประกิต โฮลดิ้ง
จะไม่สนใจที่จะทำงานครีเอทีฟให้ได้รางวัล
เพียงแต่ยอดขายต้องมาก่อน เพราะว่าปัจจุบันค่าโฆษณาในสื่อต่างๆ
มีอัตราที่แพงมากโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ขณะเดียวกันการแข่งขันก็สูง โดยเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์โปรดักต์ การที่จะมานั่งเน้นงานครีเอทีฟที่สวยงามไม่ได้แล้ว
จากแนวคิดดังกล่าวนี้"ประกิต"บอกว่า บริษัทได้ตั้งหน่วยงานเพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค(consumer insight)หรือที่เรียกว่าMind & Mood
เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งตรงนี้ได้เริ่มทำอย่างจริงจังมาได้สัก5-6ปีแล้ว ซึ่งบริษัทเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า แม้ว่าเราจะทำงานครีเอทีฟได้รางวัลมากแค่ไหน แต่เมื่อไรที่ยอดขายของลูกค้าไม่เข้าเป้า ลูกค้าก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเอเยนซี่เช่นกัน แต่ที่ผ่านมาบริษัทค่อนข้างโชคดีที่ทั้ง
เอฟซีบีไทยแลนด์และปับลิซีส ไทยแลนด์ คือมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ปับลิซีส ไทยแลนด์ มีลูกค้าหลักอยู่หลายราย อาทิ เนสวีต้า,คอฟฟี่เมต,นมตราหมีของเนสท์เล่ และอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่อีกหลายตัวรวมแล้วกลุ่มนี้ใช้งบรวมประมาณ400ล้านบาท ผลิตภัณฑ์นาเทีย และกานิเย่ ของลอรีอัล ใช้งบประมาณร่วมกันประมาณ100ล้านบาทฯลฯ
คาดว่าปีนี้ปับลิซีส ไทยแลนด์ น่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า20% หรือมียอดบิลลิ่งประมาณ1,400ล้านบาท
ส่วนเอฟซีบี ไทยแลนด์ "ประกิต"มั่นใจว่าปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 30% โดยมาจากทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ เช่น ครีมอาบน้ำและน้ำยาระงับกลิ่นกาย นีเวีย และผลิตภัณฑ์ยูเซอรีน ที่ใช้งบรวมประมาณ200-300ล้านบาท หรือผลิตภัณฑ์แบรนด์เม็ด แบรนด์วีต้า และแบรนด์เบอร์ลี่อีกประมาณ60-70ล้านบาท โทรศัพท์ซัมซุงอีกเกือบ100ล้านบาท ลูกค้าอสังหาริมทรัพย์อีกหลายราย คาดว่าจะมียอดบิลลิ่งรวมประมาณ1,800ล้านบาท
รวมทั้ง2บริษัท น่าจะทำบิลลิ่งได้ถึง3,200ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา2,500ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าอุตสากรรมโฆษณาจะประสบปัญหาทั้งเรื่องสงครามและโรคซาร์สเมื่อต้นปีก็ตามหัวเรือใหญ่ของค่ายประกิตโฮลดิ้ง ยังมั่นใจว่าอย่างไรเสีย ปีนี้อุตสาหกรรมโฆษณาในภาพรวมก็ยังสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า10-20%

ข่าวจาก
หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับ วันที่28-31สิงหาคม2546
ในส่วนของการตลาด