Thai VI

หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ก่อเกิดมูลค่า

อะไรทำให้เกิดคำถามนี้ครับ

1.เกิดสงครามนิวเคลียร์ ฆ่ากันตายครึ่งโลก
2.อุกาบาตชนโลก เกิดสึนามิยักษ์
3.สภาวะเรือนกระจก อุณภูมิโลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง
4.มนุษย์ต่างดาวยึดโลก

เท่าที่นึกออกมี4ข้อที่ทำให้ไม่มีแมงเม่า ไม่มีเจ้ามือ ไม่มีVI และไม่มีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก :lovl:

ปล.ท่านนริศ ว่า

3.สภาวะเรือนกระจก อุณภูมิโลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง

เรือนกระจกทำให้โลกร้อนขึ้นนี่นา น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายมาท่วมโลก หุ้นเรือขึ้นกระฉูด :lovl:

เรือนกระจกทำให้โลกร้อนขึ้นนี่นา น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายมาท่วมโลก หุ้นเรือขึ้นกระฉูด

ต้องไปดู THE DAY AFTER TOMORROW ครับ แล้วจะรู้ว่าทำไม โลกร้อนนำไปสู่ยุคน้ำแข็ง

ต้องไปดู THE DAY AFTER TOMORROW ครับ แล้วจะรู้ว่าทำไม โลกร้อนนำไปสู่ยุคน้ำแข็ง

ก็เป็นสมมุติฐานเหมือนกันครับ มีความเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ 100%

ต้องไปดู THE DAY AFTER TOMORROW ครับ แล้วจะรู้ว่าทำไม โลกร้อนนำไปสู่ยุคน้ำแข็ง

อ้อ.......ท่านนริศมองข้าม short นี่เอง

แล้วถัดจากยุคน้ำแข็งก็จะวนมายุคร้อนอีกไม่ใช่เหรอครับ เห็นโลกเราก็วนไปวนมาอย่างนี้หลายรอบแล้วนะ แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะซ้ำรอยเดิม เพราะมีปัจจัยใหม่คือมนุษย์ที่ไม่ยอมสูญพันธ์แบบไดโนเสาร์ ที่จริงปรากฎการณ์เรือนกระจกก็เป็นฝีมือมนุษย์นะ ไม่ได้เป็นไปตามวงจรปกติของโลก

1.เกิดสงครามนิวเคลียร์ ฆ่ากันตายครึ่งโลก
2.อุกาบาตชนโลก เกิดสึนามิยักษ์
3.สภาวะเรือนกระจก อุณภูมิโลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง
4.มนุษย์ต่างดาวยึดโลก

5.จักรวาลวกกลับเข้าสู่ภาวะหดตัวเร็วกว่าที่คาด เวลาเริ่มย้อนกลับ

5.จักรวาลวกกลับเข้าสู่ภาวะหดตัวเร็วกว่าที่คาด เวลาเริ่มย้อนกลับ

sounds intersting อิอิ

อืมม์ แต่เวลาย้อนกลับไม่ได้มิใช่หรือครับ ได้แค่ ยืดๆ กับ หดๆ
เอ หรือ something can move beyond light barriers?

อืมม์ แต่เวลาย้อนกลับไม่ได้มิใช่หรือครับ ได้แค่ ยืดๆ กับ หดๆ
เอ หรือ something can move beyond light barriers?

เท่าที่ผมเคยได้ยินมา (ตั้งแต่ 10 ปีก่อน)
จากอาจารย์ฟิสิกส์ที่ผมนับถือว่าสุดยอดแห่งประเทศไทย
(ไม่อยากเอ่ยนาม เนื่องจากเป็นความเห็นส่วนตัว)
จักรวาลขยายตัวหลังจากบิ๊กแบงค์ พร้อมกับการดำเนินไปตามแกนบวกของมิติเวลา
และก็ยังขยายตัวอยู่ แต่ขยายตัวด้วยอัตราเร่งติดลบ
แล้วถ้าถึงจุดนึง จักรวาลอาจจะหดตัวกลับ
เมื่อนั้นเวลาจะดูเหมือนย้อนกลับ ทุกอย่างตามกฏฟิสิกส์ก็จะกลับด้าน
(เช่นเอนโทรปีที่จะต้องเพิ่ม่ขึ้นเสมอในวัฏจักรงานพลังงาน ก็จะลดลง
ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะลืมไปเกือบหมดแล้วครับ)
ประมาณนี้ครับ
ใครมีความรู้เพิ่มเติมชี้แนะด้วยนะครับ

ศจ.ดร.รว.ภวล. รึเปล่าครับ

เรื่องเวลาถอยหลัง เป็นทฤษฎีนึงที่ป๊อบในยุคหลังไอนสไตน์ใหม่ๆ ครับ
ซึ่งมีคนเอาไปเขียนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์กันหลายคนครับ

อืมม์ ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่รู้เรื่องจริงๆนะครับ เพียงแต่ได้อ่าน แนวๆนี้บ้าง
แล้วก็รู้สึกสนุกดีครับ โดยเฉพาะของ ไอน์สไตน์

แล้วถ้าถึงจุดนึง จักรวาลอาจจะหดตัวกลับ
เมื่อนั้นเวลาจะดูเหมือนย้อนกลับ ทุกอย่างตามกฏฟิสิกส์ก็จะกลับด้าน

จักรวาลหดกลับนี่เชื่อครับ แต่เวลาย้อนกลับนี่ยังสงสัยอยู่ครับ
เพราะตาม ทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ความเร่ง มีผลกับ เวลาครับ
คือ ยิ่งวัตถุเคลื่อนที่เข้าไกล้ความเร็วแสงเท่าไหร่ เวลาของคน หรือ วัตถุนั้น จะเดินช้าลงครับ และวัตถุที่เรามองออกมาจะหดสั้นลง เฉพาะตามแกน x อย่างเดียว

แสงเดินทางด้วยความเร็วเดียวตลอด และไม่มีอะไรเดินทางได้เร็วกว่าแสง
เพราะ E=mc ยกกำลัง 2
หรือ เร็ว แปลว่า หนัก
ยิ่งเคลื่อนที่เร็วมาก ยิ่งหนักมาก
ยิ่งหนักมาก ยิ่งเร่งไม่ขึ้น

เพราะฉะนั้น (ที่ผมเข้าใจ) เวลาที่ช้าที่สุด คือเวลาที่ความเร็วแสง
แต่มันก็ยังไม่หยุด

แรงดึงดูด ก็ ทำให้เวลาเดินช้าลงเหมือนกัน เช่นในหลุมดำที่แรงดึงดูดสูงมากๆ
แต่ยังไม่เจอขนาดหยุดเวลาได้ครับ

เลยไม่แน่ใจเรื่องเวลาย้อนกลับ

55 คุณ Monet ทำให้ผมต้องไปหาอ่านต่ออีกแล้ว ชักหนุกๆ 55

by the way หนังสือพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ
ผมชอบไปเจอตามร้านพวก kino kuniya เผื่อใครสนใจ
ถ้าภาษาไทย ก็พวกเกี่ยวกับ ไอน์สไตน์
อ่านแล้วก็สนุกดี แต่อ่านมากๆ ปวดกบาล เพราะมันต้องไปลิ้งค์
กับคนนู้นคนนี้ พวก newton และอื่นๆ

ไม่ใช่ ศจ.ดร.รว. ครับ
บังเอิญผมไม่มีโอกาสได้เรียนกับท่านครับ ถึงแม้จะสอนอยู่มหาวิทยาลัยที่ผมจบมา
หรือจบมัธยมต้นจากโรงเรียนเดียวกัน (ท่านเป็นรุ่นพี่ของพี่ของพี่...ผม)
ท่าน ดร.รว. เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์มาก ถ้าผมได้เรียนกับท่าน
อาจจะรู้สึกสุดยอดมากกว่านี้ก็ได้ครับ

ส่วนนักฟิสิกส์ท่านที่ผมชื่นชม ท่านดังเรื่องซุปเปอร์คอนน่ะครับ

ถ้ายังค้าขายกันอยู่
ธุรกิจยังมี
หุ้นมันก็ยังอยู่ครับ
แต่มันจะเป็นหุ้นตัวไหนบ้าง
ก่อเกิดมูลค่าแค่ไหน
ก็เป็นอีกเรื่องครับ

ความเร่ง มีผลกับ เวลาครับ
คือ ยิ่งวัตถุเคลื่อนที่เข้าไกล้ความเร็วแสงเท่าไหร่ เวลาของคน หรือ วัตถุนั้น จะเดินช้าลงครับ และวัตถุที่เรามองออกมาจะหดสั้นลง เฉพาะตามแกน x อย่างเดียว

แสงเดินทางด้วยความเร็วเดียวตลอด และไม่มีอะไรเดินทางได้เร็วกว่าแสง
เพราะ E=mc ยกกำลัง 2
หรือ เร็ว แปลว่า หนัก
ยิ่งเคลื่อนที่เร็วมาก ยิ่งหนักมาก
ยิ่งหนักมาก ยิ่งเร่งไม่ขึ้น

เพราะฉะนั้น (ที่ผมเข้าใจ) เวลาที่ช้าที่สุด คือเวลาที่ความเร็วแสง
แต่มันก็ยังไม่หยุด

คุณ tongue
ความเร็วมีผลกับเวลาครับ
วัตถุที่มีความเร็ว จะทำให้ไดเมนชัน (เช่น ความยาว), มวล (ไม่ใช่น้ำหนักนะครับ) และเวลา เปลี่ยนไป โดยมีสมการของไอสไตน์อธิบาย
ส่วนสมการอมตะของไอสไตน์ E = mcยกกำลังสอง
เป็นการอธิบายว่า มวลและพลังงาน เป็นสิ่งเดียวกัน เปลี่ยนไปมาได้ด้วยกระบวนการอย่างหนึ่ง

หนังสือที่ สตีเฟ่น ฮอว์กิง เขียน ก็ดีครับ

ผมรอไปอยู่ดาวอังคารครับ

ธุรกิจยานอวกาศ น่าจะมาแรง ในอีกสัก 10 ปีข้างหน้า

A Brief History of Time ของ Hawking เขียนดีครับ แต่ก็ยังเป็นแค่ทฤษฏี

Hawking เพิ่งยอมรับว่าทฤษฎีตัวเองมีข้อผิดพลาด แพ้พนันเพื่อนไปเมื่อปีที่แล้ว
โดยแกเองเป็นคนค้นพบข้อผิดพลาดใน paper ของตัวเอง

ของ stephen hawking ก็มีครับ ทั้งสองเล่มเลย

a brief history of time, กับ universe in the nutshell.
แต่อ่านไปหลังๆ แล้วมึนครับ เลยไม่ได้อ่านต่อ

พี่ ck เคยอ่านพวก chaos thery มั้ยพี่ ผมว่ามัน ไม่รู้เรื่องสุดๆเลยนะพี่ :lol: :lol:
แล้วพี่พออธิบายไหมพี่ ว่าที่ hawking ว่าของเขาผิดนี่มันประมาณไหน
น่าจะเกี่ยวกับ thery of everything ใช่ไหม
(อยากรู้ แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่อง)

อ้อ วันก่อนเจอ principia ของ newton ด้วยครับ
hawking เขียน เสียดายดันห่อปก 555

hot เขียน:หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ก่อเกิดมูลค่า

จริงอยู่อนาคตอาจไม่เหมือนอดีต
แต่ผมคิดว่า
หากถอยไป10ปีก่อน หรือนานกว่านั้น
ก็มีคำถามนี้เกิดขึ้นมาตลอด แล้วถึงวันนี้เป็นไง

เคยอ่าน แต่จำไม่ได้แล้วครับ เกี่ยวกับเรื่องว่า information จะถูกลบหรือไม่ลบนี่
ล่ะครับ น่าจะเป็น quantum physics มั้ง เพื่อนที่พนันด้วยไม่ได้เรียฟิสิกส์ด้วยซ้ำ
และไม่เข้าใจว่า Hawking พูดเรื่องอะไรด้วย (แต่ก็ดีใจที่ชนะ)

Chaos Theory มาอ่านสนุกก็ใน Jurassic Park ครับ :lovl:

จริงอยู่อนาคตอาจไม่เหมือนอดีต
แต่ผมคิดว่า
หากถอยไป10ปีก่อน หรือนานกว่านั้น
ก็มีคำถามนี้เกิดขึ้นมาตลอด แล้วถึงวันนี้เป็นไง

เห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับ

การคิดอะไรที่ยาวไกลมากเกินไป หรือสั้นมากเกินไป หรือตึงเกินไป หรือหย่อนเกินไป หรือคิดมากเกินไป คิดน้อยเกินไป อะไรๆที่เกินไป ผลลัพธ์อาจจะไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

ผมขอบังอาจแนะนำคุณ hot นะครับ(ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเปล่า) ว่า
หัวใจนักปราชญ์ซึ่งประกอบด้วย สุ จิ ปุ ลิ นั้นมีความสำคัญด้วยกันทั้งสี่ตัว และจะก่อประโยชน์สูงสุดได้(ทำให้เป็นนักปราชญ์ได้มากกว่า)ก็ต่อเมื่อครบองค์ประกอบทั้งสี่ตัว แม้ว่าสัดส่วนของแต่ละตัวอาจจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบุคคล สิ่งแวดล้อม โอกาส

เปรียบ สุ จิ ปุ ลิ เหมือนเครื่องปรุงรสที่จะทำให้ปรุงอาหารได้รสอร่อยที่สุด เครื่องปรุงต้องผสมลงในสัดส่วนที่กลมกล่อม จะหนักหวานมากเกินไปก็ไม่อร่อย หนักเค็มก็ไม่อร่อย


ผมเห็นท่าน hot ถามเยอะมาก ใช้ปุจฉาเยอะเหลือเกิน ส่วนอื่นๆน้อยยยยยยยกว่าเยอะ ผมก็เป็นห่วงว่าอาหารจะเค็มเกินไปหนะครับ ไม่ดีต่อสุขภาพ

อือ คำถามคุณ hot บางทีก็เป็นคำตอบของอีกคำถามนึงนะครับ
จริงคือเท็จ เท็จคือจริง

คุณHOTน่าจะถามให้พวกเราคิดกันเล่นๆนะครับ เหมือนคุณปรัชญาเป็นบ่อยๆ

ครับ......

พอดีว่ารู้จักกันมานาน(ทางweb)ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

ถ้าระบบทุนนิยมล่มสลาย แล้วเกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมา
ที่ทำให้ทุนทั้งหลายไม่มีค่า
หุ้นที่พวกเราทั้งหลายสะสมไว้ก็จะไม่มีค่าด้วย
ถึงตอนนั้นหวังว่าเราจะมีระบบเศรษฐกิจที่ดีกว่าปัจจุบัน
แต่หวังว่าอย่าให้เกิดในรุ่นผมก็แล้วกัน

ไม่มีความแน่นอนในโลกนี้ ดังนั้นเราก็แน่ใจไม่ได้ นอกจากประสบการณ์ และระยะเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่เราต้องรู้จักจำกัดความเสี่ยง โดยเมื่อคิดว่าจะเกิดขึ้นก็ต้องลดความเสี่ยงใช่ไหมครับ เช่นเมื่อลงทุนในหุ้นตัวหนึ่งด้วยความมั่นใจว่าเป็นกิจการที่ดี แต่ถ้าเราเกิดรู้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม แล้วแน่ใจว่าที่เราคิดคั้งแรกผิด เราก็ควรจะไม่ลงทุนในหุ้นนั้นอีกใช่ไหมครับ หันไปลงหุ้นในหุ้นที่เรามั่นใจมากกว่า

สามัญชน เขียน: พอดีว่ารู้จักกันมานาน(ทางweb)ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

8) ยืมคำตอบคุณ CK จากกระทู้ที่ตอบคุณ FE
    เรื่องการโพสในร้อยคนร้อยหุ้น ว่า
    ตึงนิด หย่อนหน่อย ไม่เป็นไร...

สงสัยว่าผมจะสื่อไม่ดีเลยทำให้เข้าใจผิด

เรื่องของเรื่องคือ ผมมีประสบการณ์ด้วยตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เลยอยากจะร่วมแบ่งปันกัน

คือว่า ผมเนี่ย เป็นนักอ่านตัวยง  วันไหนไม่ได้อ่านหนังสือ ผมจะนอนไม่หลับ  เว้นเสียแต่  แหะๆๆ

ผมพบว่าความรู้ผมก็เติบโตเรื่อยๆไม่ได้มีปัญหาอะไร  แต่เมื่อผมเจอ web  TVI แล้วเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ ได้คิด  ได้ถาม  ได้เขียน  มันทำให้ความรู้ค่อนข้างเติบโตได้ดีกว่า อ่าน อย่างเดียว

ผมจึงมองว่า การได้ฟัง(อ่าน) คิด ถาม และเขียน ซึ่งก็คือ สุ จิ ปุ ลิ ในสัดส่วนที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็เลยถือวิสาสะแนะนำ

แต่สงสัยผมจะหลุดอาการ หงุดหงิด ด้วยมั้งครับ ถึงเป็นเรื่องขึ้นมา ฮิๆๆ

แต่สงสัยผมจะหลุดอาการ หงุดหงิด ด้วยมั้งครับ ถึงเป็นเรื่องขึ้นมา ฮิๆๆ

เป็นธรรมดาครับ เราเป็นสามัญชนนี่ครับ มิใช่เทวดา  :B
(แซวเล่นนะครับ)