หน้า 1 จากทั้งหมด 1

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 30, 2005 1:51 pm
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:

1. เมื่อก่อนผมซื้อหุ้นโดยหวังผลเพื่อที่จะทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งสั้นมากยิ่งดี เพราะมันหมายถึงความเร่งในการเติบโตของพอร์ทยิ่งสูงมหาศาล

ต่อมาผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้จริงตามนั้น หรือถึงมีเหตุการณ์อย่างว่าเกิดขึ้นจริง ก็เป็นเพียงความบังเอิญ จะทำซ้ำเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สองก็ทำอีกไม่ได้ แทบไม่ต้องหวังครั้งที่สิบหรือยี่สิบเลย

2. ผมจึงเปลี่ยนแนวคิด หันมาลงทุนในหุ้นที่มั่นใจว่าราคาจะขึ้นแน่ๆในช่วงเวลาหนึ่งไตรมาส วิธีการก็คือ ผมติดตามผลประกอบการอย่างใกล้ชิด งบการเงินออกเมื่อไหร่ผมจะต้องรู้ก่อนให้เร็วที่สุด

แล้วมาดูว่าตัวที่ได้กำไรเยอะๆเป็นกำไรที่ค่อนข้างยั่งยืนหรือไม่ บริษัทมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันหรือไม่ วิเคราะห์ด้วยพลังทั้งห้า ดูงบการเงินว่าสะอาดหรือไม่ เป็นกำไรที่บริษัททำได้จากฝีมือหรือไม่ และอื่นๆอีกมากเหมือนอย่างที่ชาว VI ชอบทำ

สุดท้ายก็ดูว่าราคาที่ซื้อขายปัจจุบันแพงหรือถูก ถ้าไม่แพงมากหรือถูกมากก็ยิ่งดี keywordของข้อ2. นี้ก็คือ ผมไม่เดาผลประกอบการไตรมาสหน้าแต่เอาผลประกอบการไตรมาสนี้ที่เห็นๆว่ามันได้กำไรมากแล้ว (ทำนองกำขี้ดีกว่ากำตด) ประกอบกับเลือกตัวที่มีแนวโน้มดีและราคายังถูก ราคาหุ้นจะตกก็ให้มันรู้ไป แล้วก็จะจัดการขายเมื่อได้ราคาดี และจะไม่ถือไว้ให้ถึงช่วงที่ผลประกอบการงวดใหม่จะออกมา


ผลงานของข้อ2.ส่วนใหญ่ก็ได้กำไรดีและเป็นกำไรที่อยู่ในเปอร์เซนต์ที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก ผลการดำเนินงานของผมก็ไม่ได้ได้กำไรมากๆเสมอไปบ่อยครั้งที่ขาดทุนยับเยินด้วยซ้ำ ผมสามารถใช้วิธีนี้ทำซ้ำได้หลายๆไตรมาสติดต่อกัน แต่หลายๆไตรมาสเช่นเดียวกันก็ขาดทุนรุนแรงพอสมควร

3. ผมจึงมาทบทวนวิธีการใหม่ คราวนี้ผมจะไม่มองสั้นๆแค่ไตรมาสเดียวแล้ว แต่จะมองยาวให้ถึงสองสามปีเลยทีเดียว เลือกตัวที่มั่นใจว่าในระยะเวลาข้างหน้าสองสามปี บริษัทได้กำไรแน่ๆ ผลของแนวคิดข้อ3.นี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้ชัดเจนเพราะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยก็สองถึงสามปี ซึ่งผมเดาว่า คงจะดีกว่าข้อสอง แต่ก็คงจะยังมีโอกาสขาดทุนอยู่ดี ประกอบกับผมได้แนวคิดใหม่ ผมจึงไม่รอพิสูจน์

4.เป็นแนวคิดใหม่สดๆร้อนๆช่วงเดือนสองเดือนนี่เอง คือ ผมจะเลือกหุ้นที่ดีในอนาคตระยะยาวเป็นสิบๆปี สามารถที่จะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกในยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าเลยทีเดียว (แต่ไม่ใช่จะไม่มีการซื้อขายในระยะเวลาปีสองปีนะครับ ถ้าราคาขึ้นมาเกินที่หวังไว้ก็คงขายไปเลือกตัวใหม่ที่ดีกว่าอีก)โดยจะไม่สนใจหุ้นที่มีแนวโน้มจะดีในสองสามปีข้างหน้าเลย

พี่ๆน้องๆคิดว่ายังไงบ้างครับ

:lol: :lol: :lol: :lol:

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 30, 2005 2:04 pm
โดย ForrestGump
ขอบคุณพี่ศรรามที่ให้ข้อคิดครับ เหมือนกับที่ ท่าน ดร.นิเวศน์พูดไว้ในวันงานเลย

หลังจากอ่านแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดว่า.....

ผมต้องรีบมีลูกครับ

(แต่ก่อนมีลูกต้องรีบหาแม่ของลูกดีๆ ก่อน)

พอมีลูกแล้วก็จะคิดอะไรในระยะยาวมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งเรื่องการลงทุน
...... และการใช้ชีวิต

:D :D :D

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 30, 2005 9:18 pm
โดย ลูกอิสาน
ผมกำลังลองข้อที่ 3 ครับ
ไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า เด๋วก็รู้ :lol:

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 30, 2005 10:23 pm
โดย naris
ของผมได้วิเคราะห์และคิดแบบข้อที่4อยู่ในทางทฤษฎีคัดเลือกหุ้น
และในทางปฎิบัติต้องวิเคราะห์และคิดเปลี่ยนตัวทุกไตรมาท คัดบริษัทที่ปัจจัยที่เราคิดว่าใช่มันเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ใช่ หรือขายบางตัวเมื่อเราคิดว่าเจอตัวที่ปิ๊งกว่ามาเป็นกิ๊กเพิ่มเติม :mrgreen:

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2005 4:45 pm
โดย Cartoon
ผมกำลังทำอยู่เลยครับ แต่ไม่รู้ว่ากลุ่มไหนจะดีคงทนยาวนาน ว่าจะซื้อกลุ่มประกันกับอาหาร (bki + s&p) แต่ผบทบ.บอกว่าไม่น่าซื้อเพราะ upside มีไม่มาก

ผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20

คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2005 5:50 pm
โดย fantasia
สูตรข้อสองนี้ เมื่อประมาณช่วงประมาณ 4-5 ปีก่อนทำกำไรให้กับผมได้ดี
เลยครับ ประกาศงบเมื่อไรถ้ากำไรดีซื้อราคาเปิดเลย ถ้าขาดทุนขายทันที
แต่เดี๋ยวนี้พวก inside เยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะยอมแพ้อยู่แล้ว
เลยต้องค่อย ๆ ปรับมาเป็นข้อสามบ้าง

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2005 7:15 pm
โดย mey
Cartoon เขียน: 1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20
ได้ราคาสวยจังเลย......ทุกตัว :roll:

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 01, 2005 3:34 pm
โดย Oh+
ผมกำลังคิดแบบข้อสองอยู่ครับ เพราะว่าผมยังหาข้อ 4 ไม่ได้เลย

ที่ไม่ได้ก็เพราะว่ายังมองราคามันไม่ออกว่าแพงหรือถูก

เลยต้องขอลองศึกษาตามข้อ 2 ก่อน..

ช่วงเพ่งเริ่มศึกษาแบบนี้ ถ้าพลาดก็ของแค่ถลอกนิดหน่อยก็ มีความสุขแล้วครับ :D

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2005 10:15 pm
โดย สามัญชน
สโลแกนท่านคัดท้าย
"If you want 1 year of prosperity, grow grain."
"If you want 10 years of prosperity, grow trees."
"If you want 100 years of properity, grow "people."
น่าสนใจมากครับท่านคัดท้าย  ขยายความได้ไหมครับว่าตอนนี้อยากปลูกอะไร

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2005 10:23 pm
โดย สามัญชน
ผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20

คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ
เกินความรู้ผมมากเลยครับ

scc ผมไม่เคยอ่าน56-1จบเลยครับ  เยอะมากและซับซ้อน  อ่านทีไร สมองบวมทุกที  ptt pttep ratchก็เช่นเดียวกัน เลยไม่กล้าวิจารณ์ครับ

bh  hmpro ได้ราคาดีมากๆเลยนะครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2005 11:22 pm
โดย CK
SCC ต้องอ่าน 56-1 ด้วยหรือครับ

SCC น่าจะเติบโตและตกต่ำพร้อม GDP ของประเทศไทยนะครับ
ไม่ต้องคิดมาก ปวดหัว

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2005 11:38 pm
โดย สามัญชน
ก็เห็นว่าทำปิโตรเคมีด้วย

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2005 11:49 pm
โดย สามัญชน
ท่าน cartoon ฝีมือมากเลยนะครับ นับถือๆๆ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 9:23 am
โดย woody
กระดาษนี่น่าจะใช้พลังงานมากนะครับ สังเกตุจากบทความด้านล่าง

SPP ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 4-5% จาก 3.8 หมื่นลบ.ในปีก่อน
Source - IQ Biz (Th)

Thursday, August 04, 2005  16:18


         นายเชาวลิต เอกบุตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 3 ว่า คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสนี้ ส่วนทั้งปีบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายโต 4-5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.8 หมื่นล้านบาท โดยมียอดขายสุทธิครึ่งปีแรก 19,882 ล้านบาท เป็นรายได้จากบรรจุภัณฑ์ 60% ที่เหลือ 40%การเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน ขณะที่กำไรขั้นต้น 55% จะมาจากบรรจุภัณฑ์ ส่วน 45% จะมาจากเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน
         อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าต้นทุนด้านพลังงานและด้านขนส่งได้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ประกอบกับมีการแข่งขันทางด้านราคา จึงทำให้ไม่สามารถปรับราคาได้ แต่อย่างไรก็ตามหากต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป บริษัทฯ ก็อาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นบ้าง  
         ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
         สำหรับราคากระดาษ ปัจจุบันราคากระดาษคราฟท์อยู่ที่ตันละ 1.8 หมื่นบาท กระดาษพิมพ์เขียนตันละ  3.5 หมื่นบาท โดยราคากระดาษคราฟท์ ไม่ได้ปรับขึ้นมา 2 - 3 ปีแล้ว แต่ในส่วนของกระดาษพิมพ์เขียนได้ปรับขึ้นมาปีที่แล้ว ทำให้ราคาขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดโลกมากขึ้น โดยราคาตลาดโลกอยู่ที่ 4.5 หมื่นบาท  ซึ่งเป็นผลให้บริษัทลดปริมาณการส่งออกกระดาษพิมพ์เขียนลง เพื่อนำมาขายในประเทศมากขึ้น
         "กระดาษเป็นสินค้าควบคุมเหมือนปูนซิเมนต์ ทำให้หากจะมีการปรับราคาต้องมีการแจ้งไปที่กรมการค้าภายใน และต้องชี้แจงเหตุผลด้วยถ้าเหตุผลสมควรถึงจะปรับราคาได้" นายเชาวลิต กล่าว
          ส่วนแนวโน้มธุรกิจกระดาษในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าอุตสาหกรรมกระดาษจะเติบโตตามการขยายตัวตามเศรษฐกิจของประเทศ หรือจะโตประมาณ 6 7 % จากที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะโตขึ้น 4 5%                    
         นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าไปร่วมทุนหรือเข้าไปซื้อกิจการในแถบเอเชีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยจะเป็นการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% ขึ้นไป เพื่อให้ได้สิทธิในการบริหารงานด้วย
         นายเชาวลิตกล่าวว่า บริษัทมีความสนใจในตลาดภูมิภาคนี้ เนื่องจากขนาดของตลาดยังมีอัตราการเติบโตที่สูง และการแข่งขันด้านราคายังไม่รุนแรงนัก โดยประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตของการใช้กระดาษสูงถึง 12% ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ มีช่องทางขยายการลงทุนได้เพิ่ม สำหรับโรงงานผลิตกระดาษคราฟที่อยู่ในประเทศฟิลลิปินส์นั้น เชื่อว่าจะมีกำไรได้ในปีนี้ ถึงแม้จะมีต้นทุนน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้น

--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา คงขุนเทียน โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 9:25 am
โดย woody
ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด คงรู้นะครับว่าปรับขึ้นหรือลง

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 9:41 am
โดย CK
ท่านหวูด เขียน:ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด
เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 12:51 pm
โดย wpong
พี่สามัญชนครับ
มีหนังสือชื่อ Good to Great ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ถึงบ.ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด มากกว่า 3 เท่า เป็นเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี

อาจมีข้อมูลช่วยพี่ได้บ้างครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 1:23 pm
โดย woody
wpong เขียน:พี่สามัญชนครับ
มีหนังสือชื่อ Good to Great ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ถึงบ.ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด มากกว่า 3 เท่า เป็นเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี

อาจมีข้อมูลช่วยพี่ได้บ้างครับ
มีหลายอย่างที่ทำให้ผมประหลาดใจพอควร

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 1:34 pm
โดย สามัญชน
ดีจัง มีเล่มภาษาไทยขายไหมครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 2:05 pm
โดย Knott
มีครับ สำนักพิมพ์ผู้จัดการแปลมา จำชื่อไม่ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ จากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ยอดเยี่ยม หรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ หน้าปกสีแดง ตัวอักษรสีขาว ผมเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 2:20 pm
โดย woody
Knott เขียน:มีครับ สำนักพิมพ์ผู้จัดการแปลมา จำชื่อไม่ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ จากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ยอดเยี่ยม หรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ หน้าปกสีแดง ตัวอักษรสีขาว ผมเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งครับ
พี่ knott ได้อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรที่เค้ากล่าวถึงเรื่องของหัวหน้าครับ ...ในหนังสือเค้าบอกว่าคนที่มี charismatic สูงนี่แทนที่จะดีบางทีก็อันตราย

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 4:33 pm
โดย wpong
มีภาษาไทยอย่างที่คุณ Knott บอกไว้นะครับ

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็น ข้อมูลที่ได้รวบรวมและทำการวิเคราะห์ ไม่ได้แต่งจากจินตนาการ

ผู้แต่งจะเปรียบเทียบ บ.Good to Great กับ บ.เปรียบเทียบ และจะหาสิ่งที่เหมือนกันของ บ. Good to Great ครับ

บ. Good to Great หลายๆ บ. อยู่ในฐานะใกล้ล้มละลาย แต่ก็สามารถฟื้น และยิ่งใหญ่ได้ โดยมีผู้นำระดับที่ 5

อ่านแล้วสนุกดีครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 4:47 pm
โดย woody



ท่านหวูด wrote:
ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด



เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
พี่ ck ผมว่าในข่าวร้ายย่อมมีข่าวดีนะครับ .....
        ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
ว่าไหมครับ  :mrgreen:  แม้คงไม่ใช่ลูกค้าของพี่ก็เถอะ แต่ก็คงพอบอกแนวโน้มได้บ้างขนาดยักษ์ยังทนไม่ค่อยไหวเลย

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 4:56 pm
โดย varanchai
เท่าที่คุยกับเพื่อนที่ทำรับเหมาก่อสร้างเห็นบอกเงินเริ่มฝืดๆกันเป็นลูกโซ่บ้างแล้ว บางคนบอกสงสัยเศรษฐกิจไม่ค่อยดี งานไม่เยอะเหมือนสองปีที่แล้ว ก็เล่นสร้างกันซะโอ้โหไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อ รอเอื้ออาทรดีกว่า เห็นครม.ใหม่แล้วก็ เอี้ยเก่าๆในคอกเดิม (ขอหยาบนิดเถอะ) ลองจับตาดูก็แล้วกันนะครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2005 11:11 pm
โดย ปรัชญา
โอ้  พี่สอนราม  เอ๊ย  ศรราม
คิดถึงเป็นกองมรดกเลย

แต่บางบริษัท  อาจ  ..จ..  ก่อนเราตาย  มรดกก็จะไม่เหลือน่ะครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 06, 2005 9:57 am
โดย สามัญชน
ผมใช้ข้อเท็จจริงอีกสองข้อประกอบเข้าไปด้วยหนะครับพี่ปรัชญา ซึ่งในทางปฏิบัติหาหุ้นที่ว่ายากมากจริงๆ  เลยมองตัวที่ใกล้ๆ คล้ายๆ ครับ  สองข้อที่ว่าคือ

1. จากคำพูดของน้องเจย์โชว์ ที่ว่า บริษัทที่อีกสิบปีไม่เจ๊ง  คือตัวบริษัทไม่เจ๊งแต่ผู้ถือหุ้นอาจจะเจ๊งได้สบายๆ  ข้อนี้เป็นจริงมากๆเลยครับ เลยต้องเพิ่มเงื่อนไขว่าบริษัทไม่เจ๊งและสามารถทำกำไรได้งามๆติดๆกันไปอีกสิบๆปีครับเพื่อผู้ถือหุ้นจะได้ไม่เจ๊ง  โฮะๆๆๆ

2. คำพูดผมเอง(หรืออาจจะมีใครพูดมาก่อน ไม่แน่ใจ) ว่าทุกธุรกิจย่อมอยู่ในวัฏฏสงสาร มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  บางธุรกิจวงจรอาจจะสั้น เช่น 1 ปี ก็ครบวงจร 5 ปีครบวงจรคือได้เวลาขาดทุนและถึงเวลาขาลง  แต่ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือสอดคล้องกับพฤติกรรมมนุษย์ในอนาคต วงจรที่ว่าน่าจะยาวถึง 20 ปีก็เป็นไปได้หนะครับ

แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ  หาตัวแบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่มีเงื่อนไขโดยที่ราคายังถูกอยู่นี่ หายากจริงๆครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 06, 2005 10:43 pm
โดย ปรัชญา
แวะมาแซวเล่นครับ  คุณหมอ  เห็นห้องเีงียบ
คงต้องพึ่ง  บมจ.ที่โปร่งใสที่สุด
ถึงจะอยู่รอดปลอดภัย  ได้ระดับหนึ่งครับ
ผมก็ว่าจะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกเหมือนกัน
เอาแบบที่ตัดใจขาดไม่ได้สักที  แบบรักหุ้นตัวนั้นครับ

<< มรดกลูก >>

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 08, 2005 11:07 am
โดย por_jai
CK เขียน: เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
8) เรื่องกระเบื้อง  
    ผมว่าผมพอมีพรรคพวกอยู่นะ ถามข้อมูลให้ได้บ้าง
    จะได้ไม่เสียเปรียบเขามาก
    กระเบื้องคอตโต้ล็อตแรกเลยที่ผลิตออกมา
    ผมกะเพื่อนๆที่ปูนตอนนั้น  เป็นคนดูแลอยู่
    ตอนแรกใช้ชื่อว่า คอตโต้ ฟอร์เต้
    เป็นกระเบื้องเผา2ครั้ง เหมาะทำผนัง  แต่ดันเอามาปูพื้น ยุ่งตายเลย
    ตอนหลังมาเพิ่มเป็นโมโนไฟร์  เหมาะกะการปูพื้น ปัญหาค่อยหมดไป
    คุณคัทลียา น้องสาวคุณรุ่งโรจน์(เจ้าของDCC)
    เมื่อก่อนก็อยู่ที่ปูน นะครับ
    คุมทางด้านบัญชี/การเงิน มีระดับที่เดียวครับ