ไอ้ตัวแสบ !!!!
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2005 4:54 pm
สนพ.แฉมะกันหนุนเฮดจ์ฟันด์ สร้างดีมานด์เทียมถล่มปท.เล็ก
กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เริ่มทยอยไล่ซื้อน้ำมัน เดือนเดียวมีปริมาณซื้อไปแล้วกว่า 32 ล้านบาร์เรล ส่งผลราคาส่งมอบเดือนส.ค.ขึ้นไปแตะที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐ สนพ.ยันสหรัฐฯมีส่วนรู้เห็นทำให้ราคาน้ำมันพุ่ง บริษัทน้ำมันทั่วโลกกว่า 80 % และกองทุนเก็งกำไรเป็นของอเมริกา ที่หวังกอบโกยรายได้เข้าประเทศ โดยไม่คำนึงถึงประเทศเล็กๆ ที่ถูกรุกรานจากราคาน้ำมัน ด้าน"ทักษิณ"ดึงจีนเป็นหัวเรือใหญ่ ตอบโต้อเมริกา พึงสกุลเงินเอเชีย เลิกอิงดอลลาร์
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า หากดูแนวโน้มของราคาน้ำมันที่มีการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ขณะนี้ พบว่า ทางกองทุนเก็งกำไรหรือเฮดจ์ฟันด์ และสถาบันกองทุน กำลังกลับมาไล่ซื้อน้ำมันดิบล่วงหน้าที่มีการส่งมอบในเดือนตุลาคม 2548 เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เทขายเมื่อต้นเดือนต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้จากการเริ่มมีสัญญาซื้อขายผ่านกระดาษตั้งแต่เดือนวันที่ 7 มิถุนายน 2548 เป็นต้นมา มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 32.7 ล้านบาร์เรล ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2548 จากจำนวนกว่า 40 สัญญา โดยมีการเก็งกำไรไว้ราคาสูงสุดที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
แต่อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กัน ว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นไปมากแล้ว น่าจะเป็นเหตุผลให้กลุ่มเฮดจ์ฟันด์หยุดการเข้าซื้อเพื่อการเก็งกำไร และเทขายน้ำมันออกมาในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อนำเงินมาใช้คืนธนาคารและจ่ายดอกเบี้ย เนื่องจากกำไรที่ได้มีมากพอแล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่ง มองว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังสูงต่อไป เนื่องจากกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ หากราคาน้ำมันจะลดลงได้ โอเปคจะต้องผลิตน้ำมันออกมาสนองต่อความต้องการที่มากพอของโลกได้ ซึ่งในฐานะที่กำกับดูแลนโยบายพลังงาน มีความเชื่อว่าในระยะสั้นราคาน้ำมันจะปรับตัวลงผลจากเทขายของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เพราะเป็นความต้องการเทียม แต่ระยะยาวแล้ว เชื่อว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จากปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นความต้องการของโลกที่แท้จริง
ทั้งนี้ แม้จะมีเหตุการณ์ก่อการร้าย หรือการก่อเหตุวินาศกรรม ในประเทศต่างๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันให้ปรับเพิ่มมากนัก แต่ปัจจัยที่สำคัญเวลานี้อยู่ที่กำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคกับการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งเป็นกลุ่มของสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เวลานี้ ราคาน้ำมันของโลกจึงตกอยู่ในมือสหรัฐอเมริกา เพราะหากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นไปมากๆ ก็สามารถสั่งใหกลุ่มเฮดจ์ฟันส์เข้าซื้อน้ำมันเก็งกำไรไปเรื่อยๆ อีกทั้ง บริษัทน้ำมัน เป็นของสหรัฐอเมริกาอยู่ทั่วโลกกว่า 80 % หากราคาน้ำมันสูงมากขึ้นเท่าใด รายได้ที่กลับเข้าสหรัฐอมเริกาก็มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจึงสามารถควบคุมราคาน้ำมันได้ โดยอาศัยกลุ่มเฮดจ์ฟันส์เข้าเก็งกำไร
นายเมตตา กล่าวอีกว่า สำหรับวิธีที่เฮดจ์ฟันด์เข้ามาซื้อน้ำมันเพื่อเก็งกำไรนั้น จะทำตัวเสมือนเป็นผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่ง ที่จะไปประกาศรับซื้อน้ำมันในตลาดสินค้าล่วงหน้า อย่างตลาดไนเม็กซ์หรือนิวยอร์ก ว่าจะรับซื้อน้ำมันที่ปริมาณต่างๆ เช่น ที่ 1 ล้านบาร์เรล ในเดือนกรกฏาคมนี้ และส่งมอบในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งจะมีพ่อค้าน้ำมันตัวจริงที่มีน้ำมันอยู่เข้ามาเสนอขายน้ำมันให้ และตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน เช่นที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผู้ประกาศรับซื้อน้ำมันในราคานี้ ทางผู้ที่ซื้อน้ำมันมาในราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะนำสัญญานั้นมาขายให้ เท่ากับว่าจะได้กำไร 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และหากมีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอีก ก็จะมีผู้เสนอขายเป็นถอดๆ ในลักษณะนี้ต่อไปจนถึงวันส่งมอบ ซึ่งรายหลังๆ จะได้กำไรต่ำกว่ารายแรกที่ประกาศซื้อน้ำมัน จึงทำให้เกิดสัญญาการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก และสัญญายิ่งมากเท่าใดจะเป็นผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อราคาสูงขึ้นไปมากแล้ว ก็จะเกิดการเทขายออกมา กลายเป็นวงจรในการค้าขายน้ำมันผ่านกระดาษของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ในเวลานี้ จึงทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่ซื้อขายน้ำมันจริง ที่ทำให้ราคาพุ่งตามไปด้วย
ดังนั้น หากจะให้เกิดความเสี่ยงในการซื้อน้ำมันน้อยที่สุด จะต้องเฝ้าจับตาดูว่าเฮดจ์ฟันด์จะเทขายน้ำมันออกมาเมื่อใด ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการให้ดี
ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นากยรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือกับทางจีนและสหรัฐอเมริกาดูแลการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์นั้น เข้าใจว่าทางนายกรัฐมนตรีคงมีหลักการว่าประเทศใหญ่ ๆควรคำนึงถึงการมีวินัย มีกติกา ไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศต่างๆ โดยรวม เพราะเวลานี้ประเทศที่มีเงินมหาศาลหรือกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ทำให้ประเทศเล็กๆ รับเคราะห์ จากพฤติกรรมการเข้าเก็งกำไร ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นลง โดยไม่เกี่ยวข้องกับดีมานต์ซัพพลายของโลก
"หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นลงมาปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กำลังการผลิตน้ำมันที่ลด โรงกลั่นไฟไหม้ เกิดการก่อการร้าย หรือเกิดพายุจนไม่สามารถผลิตน้ำมันในทะเลได้ ปัจจัยเหล่านี้ ทางประเทศผู้ใช้น้ำมันนั้น ยอมรับความเป็นจริงได้ หากราคาน้ำมันจะสูงขึ้นไป แต่ไม่ใช่ราคาน้ำมันสูงขึ้นจากการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาทั้งนั้น ทำไมสหรัฐอเมริกาไม่ควบคุมพฤติกรรมไม่ให้กลุ่มทุนไปรุกราน จนสร้างผลกระทบให้ตกอยู่กับประเทศเล็กๆ ถือเป็นการไม่แฟร์ เพราะเฮดจ์ฟันด์มีแแต่กำไร แต่คนอื่นๆ ต้องมาขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้นไป"
ทั้งที่ ความเป็นจริงแล้วเฮดจ์ฟันส์ไม่ได้เป็นผู้ใช้น้ำมัน แต่มายุ่งกับตลาดน้ำมัน เท่ากับกลายเป็นว่าประเทศที่มีเม็ดเงินมหาศาล ใช้เม็ดเงินที่มีอยู่มาดึงดูดเงินของคนอื่นๆ ไม่เป็นธรรมกับประเทศเล็กๆ ซึ่งประเทศเล็กๆ ควรจะรวมตัวกันไม่ให้ประเทศใหญ่คุกคาม ซึ่งการที่นายกรัฐมนตรี ของความร่วมมือกับจีน เพื่อต้องการชวนจีนเป็นหัวเรือใหญ่ รวบรวมประเทศเล็กๆ ตอบโต้สหรัฐอเมริกา
สำหรับวิธีตอบโต้นั้น อาจจะดำเนินการในลักษณะการเปิดเอเชียมันนี่ ที่เลิกอิงสกุลเงินดอลลาร์ และมาอิงเงินสกุลในเอเชียเองเป็นต้น หรือ เปิดวงเงินกู้ยืมของเอเชียขึ้นเอง โดยไม่ต้องพึ่งสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมถึงการไม่ผูกติดในการกำหนดราคาน้ำมันด้วย ซึ่งขณะนี้ทางจีนและญี่ปุ่นเอง พยายามที่จะเป็นผู้กำหนดราคาน้ำมันของเอเชียเอง เนื่องจากเวลานี้ทางญี่ปุ่น กำลังจะไปลงทุนวางท่อส่งน้ำมันดิบจากไซบีเรีย และจีนกำลังจะลงทุนวางท่อส่งน้ำมันดิบจากคาซัสสถานมา แม้จะเป็นเรื่องระยะยาวก็ตาม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้น หากสามารถทำได้เอเชียจะไม่พึงสหรัฐอเมริกาต่อไป และจะทำให้พ้นทุกข์จากเฮดจ์ฟันด์ ราคาน้ำมันตลาดโลกขึ้นแต่ตลาดเอเชียจะไม่ขึ้นตามตลาดโลกต่อไป
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ความเห็นว่า การที่นายกรัฐมนตรีไปขอความร่วมมือกับทางจีนและสหรัฐอเมริกา เพื่อหากทางการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์นั้น คงเป็นเรื่องการเข้าไปขอร้องให้ประเทศใหญ่ๆ ต้องหันมาดูแลกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เพราะขณะนี้ทางประเทศต่างๆยอมรับแล้วว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นไปเป็นผลมาจากการเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นประเทศใหญ่ๆ ควรที่จะเข้าไปดูไม่ให้มีการเก็งกำไรได้อย่างไร
นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจน้ำมันและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับการเข้ามาซื้อน้ำมันของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์มีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่พายุเข้าถล่มอ่าวเม็กซิโกมีการไล่ซื้อน้ำมันเป็นจำนวนมาก แต่ขณะนี้มีการทยอยขายออกมาบ้างแล้ว จะเห็นได้จากช่วง 1-2 วันราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับตัวลดลงมาบ้างแล้ว แต่ก็มีการกลับเข้าไปไล่ซื้อใหม่ เป็นลักษณะนี้ตลอด ซึ่งล่าสุดที่ดูจากการรายงานตัวเลขปริมาณการซื้อของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เวลานี้อยู่ที่ประมาณ 32 ล้านบาร์เรล ด้วยสัญญาการรับซื้อกว่า 40 สัญญา
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีของความร่วมมมือจีนและสหรัฐอเมริกาในการร่วมมือไม่ให้เฮดจ์ฟันด์เข้ามาเก็งกำไรนั้น ไม่ทราบว่านายกจะทำอย่างไร เพราะไม่ทราบในรายละเอียดการไปหารือกัน
กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เริ่มทยอยไล่ซื้อน้ำมัน เดือนเดียวมีปริมาณซื้อไปแล้วกว่า 32 ล้านบาร์เรล ส่งผลราคาส่งมอบเดือนส.ค.ขึ้นไปแตะที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐ สนพ.ยันสหรัฐฯมีส่วนรู้เห็นทำให้ราคาน้ำมันพุ่ง บริษัทน้ำมันทั่วโลกกว่า 80 % และกองทุนเก็งกำไรเป็นของอเมริกา ที่หวังกอบโกยรายได้เข้าประเทศ โดยไม่คำนึงถึงประเทศเล็กๆ ที่ถูกรุกรานจากราคาน้ำมัน ด้าน"ทักษิณ"ดึงจีนเป็นหัวเรือใหญ่ ตอบโต้อเมริกา พึงสกุลเงินเอเชีย เลิกอิงดอลลาร์
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า หากดูแนวโน้มของราคาน้ำมันที่มีการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ขณะนี้ พบว่า ทางกองทุนเก็งกำไรหรือเฮดจ์ฟันด์ และสถาบันกองทุน กำลังกลับมาไล่ซื้อน้ำมันดิบล่วงหน้าที่มีการส่งมอบในเดือนตุลาคม 2548 เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เทขายเมื่อต้นเดือนต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้จากการเริ่มมีสัญญาซื้อขายผ่านกระดาษตั้งแต่เดือนวันที่ 7 มิถุนายน 2548 เป็นต้นมา มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 32.7 ล้านบาร์เรล ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2548 จากจำนวนกว่า 40 สัญญา โดยมีการเก็งกำไรไว้ราคาสูงสุดที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
แต่อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กัน ว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นไปมากแล้ว น่าจะเป็นเหตุผลให้กลุ่มเฮดจ์ฟันด์หยุดการเข้าซื้อเพื่อการเก็งกำไร และเทขายน้ำมันออกมาในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อนำเงินมาใช้คืนธนาคารและจ่ายดอกเบี้ย เนื่องจากกำไรที่ได้มีมากพอแล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่ง มองว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังสูงต่อไป เนื่องจากกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ หากราคาน้ำมันจะลดลงได้ โอเปคจะต้องผลิตน้ำมันออกมาสนองต่อความต้องการที่มากพอของโลกได้ ซึ่งในฐานะที่กำกับดูแลนโยบายพลังงาน มีความเชื่อว่าในระยะสั้นราคาน้ำมันจะปรับตัวลงผลจากเทขายของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เพราะเป็นความต้องการเทียม แต่ระยะยาวแล้ว เชื่อว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จากปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นความต้องการของโลกที่แท้จริง
ทั้งนี้ แม้จะมีเหตุการณ์ก่อการร้าย หรือการก่อเหตุวินาศกรรม ในประเทศต่างๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันให้ปรับเพิ่มมากนัก แต่ปัจจัยที่สำคัญเวลานี้อยู่ที่กำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคกับการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งเป็นกลุ่มของสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เวลานี้ ราคาน้ำมันของโลกจึงตกอยู่ในมือสหรัฐอเมริกา เพราะหากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นไปมากๆ ก็สามารถสั่งใหกลุ่มเฮดจ์ฟันส์เข้าซื้อน้ำมันเก็งกำไรไปเรื่อยๆ อีกทั้ง บริษัทน้ำมัน เป็นของสหรัฐอเมริกาอยู่ทั่วโลกกว่า 80 % หากราคาน้ำมันสูงมากขึ้นเท่าใด รายได้ที่กลับเข้าสหรัฐอมเริกาก็มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจึงสามารถควบคุมราคาน้ำมันได้ โดยอาศัยกลุ่มเฮดจ์ฟันส์เข้าเก็งกำไร
นายเมตตา กล่าวอีกว่า สำหรับวิธีที่เฮดจ์ฟันด์เข้ามาซื้อน้ำมันเพื่อเก็งกำไรนั้น จะทำตัวเสมือนเป็นผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่ง ที่จะไปประกาศรับซื้อน้ำมันในตลาดสินค้าล่วงหน้า อย่างตลาดไนเม็กซ์หรือนิวยอร์ก ว่าจะรับซื้อน้ำมันที่ปริมาณต่างๆ เช่น ที่ 1 ล้านบาร์เรล ในเดือนกรกฏาคมนี้ และส่งมอบในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งจะมีพ่อค้าน้ำมันตัวจริงที่มีน้ำมันอยู่เข้ามาเสนอขายน้ำมันให้ และตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน เช่นที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผู้ประกาศรับซื้อน้ำมันในราคานี้ ทางผู้ที่ซื้อน้ำมันมาในราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะนำสัญญานั้นมาขายให้ เท่ากับว่าจะได้กำไร 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และหากมีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอีก ก็จะมีผู้เสนอขายเป็นถอดๆ ในลักษณะนี้ต่อไปจนถึงวันส่งมอบ ซึ่งรายหลังๆ จะได้กำไรต่ำกว่ารายแรกที่ประกาศซื้อน้ำมัน จึงทำให้เกิดสัญญาการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก และสัญญายิ่งมากเท่าใดจะเป็นผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อราคาสูงขึ้นไปมากแล้ว ก็จะเกิดการเทขายออกมา กลายเป็นวงจรในการค้าขายน้ำมันผ่านกระดาษของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ในเวลานี้ จึงทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่ซื้อขายน้ำมันจริง ที่ทำให้ราคาพุ่งตามไปด้วย
ดังนั้น หากจะให้เกิดความเสี่ยงในการซื้อน้ำมันน้อยที่สุด จะต้องเฝ้าจับตาดูว่าเฮดจ์ฟันด์จะเทขายน้ำมันออกมาเมื่อใด ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการให้ดี
ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นากยรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือกับทางจีนและสหรัฐอเมริกาดูแลการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์นั้น เข้าใจว่าทางนายกรัฐมนตรีคงมีหลักการว่าประเทศใหญ่ ๆควรคำนึงถึงการมีวินัย มีกติกา ไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศต่างๆ โดยรวม เพราะเวลานี้ประเทศที่มีเงินมหาศาลหรือกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ทำให้ประเทศเล็กๆ รับเคราะห์ จากพฤติกรรมการเข้าเก็งกำไร ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นลง โดยไม่เกี่ยวข้องกับดีมานต์ซัพพลายของโลก
"หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นลงมาปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กำลังการผลิตน้ำมันที่ลด โรงกลั่นไฟไหม้ เกิดการก่อการร้าย หรือเกิดพายุจนไม่สามารถผลิตน้ำมันในทะเลได้ ปัจจัยเหล่านี้ ทางประเทศผู้ใช้น้ำมันนั้น ยอมรับความเป็นจริงได้ หากราคาน้ำมันจะสูงขึ้นไป แต่ไม่ใช่ราคาน้ำมันสูงขึ้นจากการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาทั้งนั้น ทำไมสหรัฐอเมริกาไม่ควบคุมพฤติกรรมไม่ให้กลุ่มทุนไปรุกราน จนสร้างผลกระทบให้ตกอยู่กับประเทศเล็กๆ ถือเป็นการไม่แฟร์ เพราะเฮดจ์ฟันด์มีแแต่กำไร แต่คนอื่นๆ ต้องมาขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้นไป"
ทั้งที่ ความเป็นจริงแล้วเฮดจ์ฟันส์ไม่ได้เป็นผู้ใช้น้ำมัน แต่มายุ่งกับตลาดน้ำมัน เท่ากับกลายเป็นว่าประเทศที่มีเม็ดเงินมหาศาล ใช้เม็ดเงินที่มีอยู่มาดึงดูดเงินของคนอื่นๆ ไม่เป็นธรรมกับประเทศเล็กๆ ซึ่งประเทศเล็กๆ ควรจะรวมตัวกันไม่ให้ประเทศใหญ่คุกคาม ซึ่งการที่นายกรัฐมนตรี ของความร่วมมือกับจีน เพื่อต้องการชวนจีนเป็นหัวเรือใหญ่ รวบรวมประเทศเล็กๆ ตอบโต้สหรัฐอเมริกา
สำหรับวิธีตอบโต้นั้น อาจจะดำเนินการในลักษณะการเปิดเอเชียมันนี่ ที่เลิกอิงสกุลเงินดอลลาร์ และมาอิงเงินสกุลในเอเชียเองเป็นต้น หรือ เปิดวงเงินกู้ยืมของเอเชียขึ้นเอง โดยไม่ต้องพึ่งสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมถึงการไม่ผูกติดในการกำหนดราคาน้ำมันด้วย ซึ่งขณะนี้ทางจีนและญี่ปุ่นเอง พยายามที่จะเป็นผู้กำหนดราคาน้ำมันของเอเชียเอง เนื่องจากเวลานี้ทางญี่ปุ่น กำลังจะไปลงทุนวางท่อส่งน้ำมันดิบจากไซบีเรีย และจีนกำลังจะลงทุนวางท่อส่งน้ำมันดิบจากคาซัสสถานมา แม้จะเป็นเรื่องระยะยาวก็ตาม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้น หากสามารถทำได้เอเชียจะไม่พึงสหรัฐอเมริกาต่อไป และจะทำให้พ้นทุกข์จากเฮดจ์ฟันด์ ราคาน้ำมันตลาดโลกขึ้นแต่ตลาดเอเชียจะไม่ขึ้นตามตลาดโลกต่อไป
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ความเห็นว่า การที่นายกรัฐมนตรีไปขอความร่วมมือกับทางจีนและสหรัฐอเมริกา เพื่อหากทางการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์นั้น คงเป็นเรื่องการเข้าไปขอร้องให้ประเทศใหญ่ๆ ต้องหันมาดูแลกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เพราะขณะนี้ทางประเทศต่างๆยอมรับแล้วว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นไปเป็นผลมาจากการเก็งกำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นประเทศใหญ่ๆ ควรที่จะเข้าไปดูไม่ให้มีการเก็งกำไรได้อย่างไร
นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจน้ำมันและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับการเข้ามาซื้อน้ำมันของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์มีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่พายุเข้าถล่มอ่าวเม็กซิโกมีการไล่ซื้อน้ำมันเป็นจำนวนมาก แต่ขณะนี้มีการทยอยขายออกมาบ้างแล้ว จะเห็นได้จากช่วง 1-2 วันราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับตัวลดลงมาบ้างแล้ว แต่ก็มีการกลับเข้าไปไล่ซื้อใหม่ เป็นลักษณะนี้ตลอด ซึ่งล่าสุดที่ดูจากการรายงานตัวเลขปริมาณการซื้อของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เวลานี้อยู่ที่ประมาณ 32 ล้านบาร์เรล ด้วยสัญญาการรับซื้อกว่า 40 สัญญา
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีของความร่วมมมือจีนและสหรัฐอเมริกาในการร่วมมือไม่ให้เฮดจ์ฟันด์เข้ามาเก็งกำไรนั้น ไม่ทราบว่านายกจะทำอย่างไร เพราะไม่ทราบในรายละเอียดการไปหารือกัน