โจทย์หินเศรษฐกิจไทย ดุลเสถียรภาพ'เอียง' จากฐานเศรษฐกิจ
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 20, 2005 1:13 pm
โจทย์หินเศรษฐกิจไทย ดุลเสถียรภาพ'เอียง'
...ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ได้มองสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก หนึ่งในหลาย ๆตัวปัจจัยเสี่ยง ว่ายังคงมีแนวโน้มสูงเกินระดับ 40 ดอลลาร์ต่อบาเรล อย่างน้อย 2-3 ปี จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มสูง จนห่วงว่าจะคุกคามเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย หากรัฐดำเนินนโยบายผิดพลาด
เขาได้เน้นให้รัฐชูจุดขายในเรื่องของการสร้าง "เสถียรภาพ" เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน มากกว่าการชูจุดขายของ " เมกกะโปรเจ็กต์ 1.7 ล้านล้านบาท ) และ 3 ข้อใหญ่ที่ดร.ปิยสวัสดิ์ให้ความสำคัญ ก็คือ 1.ให้รัฐเลิกอุดหนุนพลังงานทุกประเภท 2.ดำเนินนโยบายการเงินรัดกุม เร่งส่งเสริมการออม ดึงดอกเบี้ยระยะสั้นให้ใกล้เคียงดอกเบี้ยสหรัฐ ฯ เพื่อดึงเงินจากต่างประเทศเข้ามา 3. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
**ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะกินเวลานานไหม ?
ผลกระทบในครั้งนี้มันไม่รุนแรง เหมือนครั้งที่ 1-2 (ปี 2516 ,ปี 2522 ) เพราะมีปัจจัยอย่างที่กล่าวบรรเทาช่วยไว้ได้ แต่ถามว่ารุนแรงไหมรุนแรง แน่นอน เพียงแต่ไม่รุนแรงอย่างที่เคยเกิด 2 ครั้ง แต่ราคาน้ำมัน 50-60 ดอลลาร์ต่อบาเรล มีผลต่อการชะลอของเศรษฐกิจไทยแน่นอน จะเห็นได้ว่าไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 3.3% แต่ไม่ใช่ประเทศแรกประเทศเดียวที่ชะลอ ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันในเอเชีย เช่นไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ เศรษฐกิจก็ขยายตัวไม่มาก
นอกจากนี้ปัจจัยบวกจากที่ประเทศเคยได้รับ อาทิสภาพคล่องที่มีมาก และดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ จนก่อให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก แต่ ภาพดังกล่าวกำลังจะเริ่มเปลี่ยน เพราะราคาน้ำมันที่สูง การใช้จ่ายที่สูงได้ทำให้การดุลบัญชีเดินสะพัด กลับมาขาดดุลเร็วกว่าที่คาดไว้
ประเทศในเอเชียหลังเกิดวิกฤติปี 2540 มีการเกินดุลมหาศาล แต่ตอนนี้การเกินดุลการค้าเริ่มลด ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ประเทศในเอเชีย ยกเว้นจีน ไม่มีดุลการค้าที่เกินดุล ซึ่งก็หมายความสภาพคล่องในระบบการเงิน จะค่อย ๆลดลง และประกอบกับรัฐบาลไทย และอีกหลายประเทศในเอเซียก็มีความจำเป็นที่จะลงทุนเพิ่มเติม หลังจากที่โครงการต่าง ๆ ลงทุนต่าง ๆถูกลดลงไปเยอะ หลังวิกฤติเศรษฐกิจ จนขณะนี้โครงการพื้นฐานหลายอย่างเริ่มขาดแคลน ขณะที่กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มเต็ม จึงต้องใช้เงินลงทุนเพิ่ม สภาพคล่องในระบบจะค่อย ๆลดลง และเริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก จากที่ตลาดตราสารหนี้ได้นำหน้าปรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นขึ้นไปก่อน...
...ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ได้มองสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก หนึ่งในหลาย ๆตัวปัจจัยเสี่ยง ว่ายังคงมีแนวโน้มสูงเกินระดับ 40 ดอลลาร์ต่อบาเรล อย่างน้อย 2-3 ปี จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มสูง จนห่วงว่าจะคุกคามเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย หากรัฐดำเนินนโยบายผิดพลาด
เขาได้เน้นให้รัฐชูจุดขายในเรื่องของการสร้าง "เสถียรภาพ" เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน มากกว่าการชูจุดขายของ " เมกกะโปรเจ็กต์ 1.7 ล้านล้านบาท ) และ 3 ข้อใหญ่ที่ดร.ปิยสวัสดิ์ให้ความสำคัญ ก็คือ 1.ให้รัฐเลิกอุดหนุนพลังงานทุกประเภท 2.ดำเนินนโยบายการเงินรัดกุม เร่งส่งเสริมการออม ดึงดอกเบี้ยระยะสั้นให้ใกล้เคียงดอกเบี้ยสหรัฐ ฯ เพื่อดึงเงินจากต่างประเทศเข้ามา 3. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
**ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะกินเวลานานไหม ?
ผลกระทบในครั้งนี้มันไม่รุนแรง เหมือนครั้งที่ 1-2 (ปี 2516 ,ปี 2522 ) เพราะมีปัจจัยอย่างที่กล่าวบรรเทาช่วยไว้ได้ แต่ถามว่ารุนแรงไหมรุนแรง แน่นอน เพียงแต่ไม่รุนแรงอย่างที่เคยเกิด 2 ครั้ง แต่ราคาน้ำมัน 50-60 ดอลลาร์ต่อบาเรล มีผลต่อการชะลอของเศรษฐกิจไทยแน่นอน จะเห็นได้ว่าไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 3.3% แต่ไม่ใช่ประเทศแรกประเทศเดียวที่ชะลอ ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันในเอเชีย เช่นไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ เศรษฐกิจก็ขยายตัวไม่มาก
นอกจากนี้ปัจจัยบวกจากที่ประเทศเคยได้รับ อาทิสภาพคล่องที่มีมาก และดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ จนก่อให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก แต่ ภาพดังกล่าวกำลังจะเริ่มเปลี่ยน เพราะราคาน้ำมันที่สูง การใช้จ่ายที่สูงได้ทำให้การดุลบัญชีเดินสะพัด กลับมาขาดดุลเร็วกว่าที่คาดไว้
ประเทศในเอเชียหลังเกิดวิกฤติปี 2540 มีการเกินดุลมหาศาล แต่ตอนนี้การเกินดุลการค้าเริ่มลด ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ประเทศในเอเชีย ยกเว้นจีน ไม่มีดุลการค้าที่เกินดุล ซึ่งก็หมายความสภาพคล่องในระบบการเงิน จะค่อย ๆลดลง และประกอบกับรัฐบาลไทย และอีกหลายประเทศในเอเซียก็มีความจำเป็นที่จะลงทุนเพิ่มเติม หลังจากที่โครงการต่าง ๆ ลงทุนต่าง ๆถูกลดลงไปเยอะ หลังวิกฤติเศรษฐกิจ จนขณะนี้โครงการพื้นฐานหลายอย่างเริ่มขาดแคลน ขณะที่กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มเต็ม จึงต้องใช้เงินลงทุนเพิ่ม สภาพคล่องในระบบจะค่อย ๆลดลง และเริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก จากที่ตลาดตราสารหนี้ได้นำหน้าปรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นขึ้นไปก่อน...