วิธีการระดมแบบใหม่ของ picni
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 15, 2005 11:44 pm
ปิคนิค ฟ้องหมิ่น บก.ประชาชาติธุรกิจ พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้าน ลงข่าวแบงก์ปิดเครดิต ทำราคาหุ้นตก ขอศาลสั่งห้ามจำเลยทำงานสื่อเป็นเวลา 5 ปี ศาลรับไต่สวนมูลฟ้อง 19 ก.ย.นี้
วันนี้ (15 ก.ค.) เวลา 10.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง นายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความ รับมอบอำนาจจากบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทวี มีเงิน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ราย 3 วัน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 5,000 ล้านบาท ตามฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลชื่อ บ.ปิคนิคฯ มีนางสุวลี แสงกาญจนวนิช, น.ส.สุภาพร ลาภวิสุทธิสิน, นายสุพจน์ พัฒนะศรี, นายวัชรกิติ วัชโรทัย นายวิรัช พันธุมะผล, นายสมโภชน์ อินทรานุกูล, นายประภาส ฤกษ์พิบูลย์ เป็นกรรมการ ถูกจำเลยร่วมกับผู้มีชื่อที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง สมคบกันตีพิมพ์ข่าวใส่ความโจทก์ใน นสพ.ประชาชาติธุรกิจราย 3 วัน ฉบับวันจันทร์ที่ 11-13 ก.ค.48 โดยพาดหัวข่าว แห่ขายทิ้ง ปิคนิค แบงก์ปิดโอ/ดี ระทึกหุ้นใหญ่ควักเงินเพิ่มทุนพันล. และจำเลยยังลงรายละเอียดในเนื้อหาข่าวทำนองว่า บริษัท ปิคนิคฯ ระส่ำจำใจเพิ่มทุน 2,000 ล้านบาท ราคาหุ้นวูบ 292% แบงก์เจ้าหนี้ กรุงไทยกรุงศรีอยุธยา ปิดวงเงินโอ/ดี จับตากลุ่มลาภวิสุทธิสิน ต้องควักเงินซื้อหุ้นร่วมพันล้าน ด้านกองทุนรวมหวั่นรายย่อยไม่สนใจใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน
นอกจากนี้ จำเลยยังรายงานข่าวและยืนยันข้อเท็จจริงในเนื้อหาข่าวว่า การเพิ่มทุนของโจทก์สรุปว่าไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย และไม่เห็นว่าปิคนิคมีความโปร่งใส โดยการที่จำเลยตีพิมพ์ข้อความดังกล่าวอันเป็นเท็จทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เป็นการติชมหรือนำเสนอข่าวด้วยความเป็นธรรมตามจรรยาบรรณที่สื่อมวลชนพึงกระทำ ทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าโจทก์ไม่มีฐานะทางการเงินที่จะบริหาร เพราะขนาดสถาบันการเงินยังปิดไม่ใช่เงินโอ/ดี ซึ่งทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เพราะผู้อ่านเข้าใจผิดหลงชื่อว่าข้อความดังกล่าวเป็นจริง ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์ไม่เคยมีโอ/ดี กับ ธ.กรุงไทย จำกัด และ ธ.กรุงศรีอยุธยา จำกัด รวมทั้งโจทก์ไม่เคยใช้วงเงินโอ/ดี แต่อย่างใด
นอกจากนี้ การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นเดิมไม่ซื้อหุ้นเพิ่มและโจทก์ไม่มีความโปร่งใสในบริษัทมหาชนนั้น เป็นการเสนอข่าวจูงใจให้ลูกค้าและผู้ที่ค้าขายกับโจทก์เกิดความไม่เชื่อถือและมั่นใจในบริษัทฯ ส่งผลทำให้หุ้นบริษัทของโจทก์ราคาตก เสียหายเป็นเงินจำนวน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจำเลยต้องชดใช้ความเสียหายต่อโจทก์ด้วย คดีนี้เกิดที่แขวงและเขตสวนหลวง กทม.เนื่องจากการนำเสนอข่าวของจำเลยส่งผลทำให้ลงทุนของประเทศให้เกิดความเสียหายเป็นการทำลายเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งจำเลยกระทำผิดในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายคดีที่ศาลนี้และศาลอื่น
ดังนั้น หากปล่อยให้จำเลยประกอบอาชีพนี้ อาจจะกระทำผิดอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไม่หลาบจำ โจทก์จึงขอให้ศาลห้ามจำเลยประกอบอาชีพสื่อมวลชนเป็นเวลา 5 ปี ตามวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา ม.50
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
วันนี้ (15 ก.ค.) เวลา 10.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง นายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความ รับมอบอำนาจจากบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทวี มีเงิน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ราย 3 วัน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 5,000 ล้านบาท ตามฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลชื่อ บ.ปิคนิคฯ มีนางสุวลี แสงกาญจนวนิช, น.ส.สุภาพร ลาภวิสุทธิสิน, นายสุพจน์ พัฒนะศรี, นายวัชรกิติ วัชโรทัย นายวิรัช พันธุมะผล, นายสมโภชน์ อินทรานุกูล, นายประภาส ฤกษ์พิบูลย์ เป็นกรรมการ ถูกจำเลยร่วมกับผู้มีชื่อที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง สมคบกันตีพิมพ์ข่าวใส่ความโจทก์ใน นสพ.ประชาชาติธุรกิจราย 3 วัน ฉบับวันจันทร์ที่ 11-13 ก.ค.48 โดยพาดหัวข่าว แห่ขายทิ้ง ปิคนิค แบงก์ปิดโอ/ดี ระทึกหุ้นใหญ่ควักเงินเพิ่มทุนพันล. และจำเลยยังลงรายละเอียดในเนื้อหาข่าวทำนองว่า บริษัท ปิคนิคฯ ระส่ำจำใจเพิ่มทุน 2,000 ล้านบาท ราคาหุ้นวูบ 292% แบงก์เจ้าหนี้ กรุงไทยกรุงศรีอยุธยา ปิดวงเงินโอ/ดี จับตากลุ่มลาภวิสุทธิสิน ต้องควักเงินซื้อหุ้นร่วมพันล้าน ด้านกองทุนรวมหวั่นรายย่อยไม่สนใจใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน
นอกจากนี้ จำเลยยังรายงานข่าวและยืนยันข้อเท็จจริงในเนื้อหาข่าวว่า การเพิ่มทุนของโจทก์สรุปว่าไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย และไม่เห็นว่าปิคนิคมีความโปร่งใส โดยการที่จำเลยตีพิมพ์ข้อความดังกล่าวอันเป็นเท็จทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เป็นการติชมหรือนำเสนอข่าวด้วยความเป็นธรรมตามจรรยาบรรณที่สื่อมวลชนพึงกระทำ ทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าโจทก์ไม่มีฐานะทางการเงินที่จะบริหาร เพราะขนาดสถาบันการเงินยังปิดไม่ใช่เงินโอ/ดี ซึ่งทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เพราะผู้อ่านเข้าใจผิดหลงชื่อว่าข้อความดังกล่าวเป็นจริง ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์ไม่เคยมีโอ/ดี กับ ธ.กรุงไทย จำกัด และ ธ.กรุงศรีอยุธยา จำกัด รวมทั้งโจทก์ไม่เคยใช้วงเงินโอ/ดี แต่อย่างใด
นอกจากนี้ การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นเดิมไม่ซื้อหุ้นเพิ่มและโจทก์ไม่มีความโปร่งใสในบริษัทมหาชนนั้น เป็นการเสนอข่าวจูงใจให้ลูกค้าและผู้ที่ค้าขายกับโจทก์เกิดความไม่เชื่อถือและมั่นใจในบริษัทฯ ส่งผลทำให้หุ้นบริษัทของโจทก์ราคาตก เสียหายเป็นเงินจำนวน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจำเลยต้องชดใช้ความเสียหายต่อโจทก์ด้วย คดีนี้เกิดที่แขวงและเขตสวนหลวง กทม.เนื่องจากการนำเสนอข่าวของจำเลยส่งผลทำให้ลงทุนของประเทศให้เกิดความเสียหายเป็นการทำลายเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งจำเลยกระทำผิดในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายคดีที่ศาลนี้และศาลอื่น
ดังนั้น หากปล่อยให้จำเลยประกอบอาชีพนี้ อาจจะกระทำผิดอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไม่หลาบจำ โจทก์จึงขอให้ศาลห้ามจำเลยประกอบอาชีพสื่อมวลชนเป็นเวลา 5 ปี ตามวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา ม.50
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.