หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ถึง คุณปรัชญา ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้ผมหน่อยได้ป่าวครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 20, 2003 2:25 pm
โดย จูหยงผิง
พอจะทราบมาว่าคุณปรัชญาเคยผ่าน การเล่นแบบ "เก็งกำไร" มาก่อนแล้ว และได้หันมาสนใจทางด้าน "vi นักลงทุน" ถ้าไม่เป็นการรบกวน กรุณา เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น และสาเหตุว่าทำไม ถึงเปลี่ยนแนวทางครับ

ขอบคุณมากครับ
ผมผู้หลงระเริงไปกับการพนันในตลาดหุ้น และต้องมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้ง

ถึง คุณปรัชญา ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้ผมหน่อยได้ป่าวครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 20, 2003 3:09 pm
โดย yoyo
แนะนำให้คุณจูหยงผิงเข้าไปอ่านใน
บทความจากห้องข้างๆดีมั๊ยครับ
เวปนี้มีอยู่ 6 ห้องครับจะมีห้องนึงชื่อบทความอยู่
ลองเข้าไปดู "จดหมายถึงลุงขวด" ในนั้นมีประสบการณ์ของหลายๆคนอยู่เลยครับ อ่านกันจุใจไปเลย

ถึง คุณปรัชญา ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้ผมหน่อยได้ป่าวครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 20, 2003 7:50 pm
โดย ปรัชญา1
:arrow: ตอบ คุณจูหลงผิงครับ


8) การเก็งกำไร พอเห็นหุ้นมันขึ้นแค่5-10% ก็ต้องรีบขาย
เพราะกลัวว่าหุ้นจะลง พอขายแล้วหุ้นก็ยังวิ่งขึ้นต่อ
รอให้ลงก็ๆไม่ยอมลง
เรารอไม่ไหวก็ได้ตามขึ้นไปซื้อที่สูง ได้หุ้นน้อยลง
และเพิ่มเงินขึ้นไปอีก........
เวลาได้
ก็เปรียบเหมือนปลาซิว ปลาสร้อย ตอดนิดตอดหน่อย
ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะที่จดไว้
ค่าคอมฯแบ่งไปกว่าครึ่งของกำไร
ถ้าตอนขายทุนก็จ่ายทั้งที่คัดและจ่ายค่าคอมเข้าไปอีก
ผมแพ้ทางเก็งกำไรครับ

แต่ปัจจุบันผมก็ค่อยๆปรับตัวไปตามกาลเวลา
ที่เปลี่ยนการลงทุน ตามอายุที่มากขึ้น คือเสี่ยงน้อยลง
อย่าเครือญาติเราอยากได้หุ้นที่เราถืออยู่
ผมก็จะขอให้มาร์เก็ตติ้งเบิกใบหุ้นมาตามจำนวนที่ต้องการ
เสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
แล้วเซ็นสลักหลังโอนกันไปให้ญาติ แล้วก็รับเงินกัน
ไม่ทำให้ราคาหุ้นในกระดานกระทบกระเทือน
ไม่เสียค่าคอมมากๆครับ

ส่วนการจะเล่าถึงหุ้นเป็นชื่อคงจำไม่ไหว
เพราะหลายตัว จำได้แทบไม่หมดครับ
ขอบคุณ ที่ให้ความสนใจครับ

เท่าที่สัมผัสมา เพื่อนๆและเครือญาติสนิท
เวลาวันนี้ซื้อหุ้นSตอนเช้า40บาท แล้วขายได้44บาท
ก็เอามาคุยอวดกัน
แต่หากวันไหน ซื้อหุ้นSตอนเช้า40บาท
แล้วขายมอบตัวไปที่36บาท
จะปิดเงียบ หรือบางคนไม่ขายคือไม่ขาดทุน(ติดดอย)
ก็เก็บไว้ไม่บอกใคร บอกแต่กำไร ทำให้คนเล่นหุ้นที่เข้ามาใหม่
นึกว่าการเก็งกำไร มีแต่รวยลูกเดียว แต่ที่จริงหาใช่ไม่ครับ

แต่หุ้นระยะยาว ถือปันผล เรารับเงินปันผลมา
เป็นเช็คได้จับต้องเห็นเต็มๆ โอนเข้าบัญชี
พอหุ้นจ่ายปันผลแล้ว ราคาก็ลงมาระยะหนึ่ง
พอยืนได้ก็จะขึ้นต่อครับ เราก็ถือไป
สักระยะหุ้นที่มีกำไรสะสมเยอะๆ
มีทรัพย์สินถาวร ทรัพย์สินหมุนเวียนดีดี
คนที่เห็นคุณค่า ก็จะเข้ามาซื้อเก็บไว้
แม้ผลประกอบการไตรมาส/ไป
จะกำไรมากกว่าเก่า หรือกำไรเท่าเก่า หรือกำไรน้อยกว่าเก่า
แต่เงินสะสมยังมีเยอะอยู่
คณะผู้บริหารก็สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้อีก
เมื่อผู้ถือหุ้น รับเงินปันผลแล้วก็ไม่อยากขายหุ้น
เพราะมีเงินที่ได้รับมาไปต่อยอดเงิน
ซื้อหุ้นลงทุนเพิ่มในบริษัทเดิมหรือบริษัทใหม่
หุ้นลงทุน ไม่ค่อยเร้าใจ เหมือนหุ้นเก็งกำไร
แต่บางคนลงทุน2อย่างคือ...
ทั้งปันผลและเก็งกำไร
พอขาดทุนหุ้นเก็งกำไร เงินไม่พอตัดบัญชีจ่าย
ก็นำเอาหุ้นปันผลมาขายชดเชย
เป็นหลายๆครั้งเข้า
ก็เหมือนถอนไม้ผลทิ้ง เหลือแต่หญ้าหรือวัชพืช


(นี่คือความเห็นส่วนตัวนะครับ ควรพิจารณา)

ถึง คุณปรัชญา ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้ผมหน่อยได้ป่าวครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 20, 2003 10:15 pm
โดย จูหยงผิง
ขอบคุณมากๆครับ ผมรู้สึกอบอุ่นมากๆที่ได้เข้ามาเยือนที่นี่ครับ

ถึง คุณปรัชญา ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้ผมหน่อยได้ป่าวครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 20, 2003 10:41 pm
โดย ปรัชญา1
:P ตลาดหุ้นก็เหมือน.....ตลาดสด

มีปลา มีกุ้ง มีไก่ มียาง
มีแบ๊งค์
มีพวกพลาสติก
มีเครื่องใช้ไฟฟ้า
มีอาหาร
มีน้ำมัน



สินค้าเหล่านี้เขามีมาให้เลือกซื้อไปใช้เอาส่วนเกิน หรือแบ่งผลกำไร
แต่บางคนที่เป็นเจ้ามือมีเงินเยอะๆ
ก็มักฉวยโอกาสซื้อมากให้คนอื่นซื้อตาม
บางครั้ง บางหน บางจังหวะ
บางโอกาส และบางคนเห็นโอกาส
พวกนักลงทุนระยะสั้นก็เข้าร่วมขบวนการด้วย
หุ้นเมื่อมีขึ้น ก็ต้องมีลง

แล้วแต่ใครจะหาเงินได้มากกว่ากัน
ผมก็เชื่อว่า ได้มากกว่าเสียคือ...รวย
ผมก็เชื่อว่า เสียมากกว่าได้คือ...จน
คุณจู คงไม่ได้เสียอย่างเดียว
มีได้แน่นอนจริงไหมครับ

ถึง คุณปรัชญา ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้ผมหน่อยได้ป่าวครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 21, 2003 12:18 am
โดย นายสต็อก
ขออนุญาติเข้ามาอ่านกระทู้....
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า...คนที่เข้ามาซื้อของในตลาดก่อนคนอื่น ไม่จำเป็นจะต้องมีโอกาสมากกว่าคน
ที่ตามมาเก็บของในตลาดรุ่นต่อๆไป เพราะ ตลาดมีการปรับตัวไปมาอยู่เรื่อยๆ ตาม เหตุผลส่วนตัว
ของทุกๆคนที่เข้ามาซื้อ-ขายของอยู่แล้ว 8)

เช่น ขณะที่คนหนึ่งกำลังเก็งกำไร และหาของเก็บไว้ระยะยาว แต่ บางคนอาจอยากขายของเพราะ
ต้องการเงินไปจับจ่ายใช้สอย เป็นต้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทิศทางของตลาดหาความแน่นอนตลอดเวลาได้ไม่!

บางครั้ง เจ้าของหุ้นรายใหญ่หลายๆท่านก็ล้มหายตายจากไปแล้วด้วยซ้ำ!!!!..... :idea: