อนาคตปิโตรเคมี เมื่อ TOC+NPC = PTTCP
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2005 3:38 pm
จาก e-finance
อนาคตรายใหญ่วงการปิโตรเคมีไทยเหลือแค่กลุ่ม SCC กับ PTT หลังจับ NPC รวมกับ TOC
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ไทยพาริชย์ ระบุว่าการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ปิโตรเคมี
แห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NPC) กับบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) (TOC) จะอยู่ในรูปของการ
รวมกิจการเข้าด้วยกัน โดยจะมีการโอนสินทรัพย์ หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และภาระผูกพันทั้งหมดของทั้ง
สองบริษัท (ตามมูลค่าทางบัญชี) ให้กับบริษัทใหม่ที่ชื่อว่ าPTT Chemical Plc (PTTCP) และ PTTCP
จะมีทุนชำระแล้วเท่ากับทุนชำระแล้วของ NPC (3.10 พันล้านบาท )และ TOC (8.21 พ้นล้านบาท)
รวมกัน ซึ่งจะทำให้ PTTCP มีทุนชำระแล้วทั้งหมด 11,311 ล้านบาทหรือ1131.14 ล้านหุ้น (ราคาพาร์
10 บาทต่อหุ้น ) การใช้วิธีนี้จะทำให้ PTTCP สามารถหลีกเลี่ยงการบันทึกค่าความนิยมและหลีกเลี่ยง
การถูกผิดภาษีจากสินทรัพย์ที่โอนย้ายได้
เมื่อใช้ Valuation ของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน โดยอ้างอิงกับวิธีส่วนลดกระแสเงินสด
มูลค่าทางบัญชีและราคาซื้อขายในตลาดที่ผ่านมาพบว่า 1หุ้น NPC เท่ากับ 2หุ้น TOC ตามที่ได้เรา
ได้คำนวณไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนหุ้นของ PTTCP จะต้องเท่ากันกับจำนวนหุ้น
ของ NPC และ TOC รวมกัน ดังนั้นอัตราแลกหุ้นจึงกลายเป็น 1หุ้น NPC ต่อ 1.569785330 หุ้นใน
PTTCP และ 1หุ้น TOC ต่อ 0.784892665 หุ้นใน PTTCP
-การรวมกิจการจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2548
กระบวนการรวมกิจการคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมกับการนำหุ้นของ PTTCP เข้าจดทะเบียน
ในตลาดฯโดยอัตโนมัติหลังการเพิกถอนหุ้นของ NPC และ TOC ออกจากตลาดฯภายในสิ้นปีนี้(หรืออย่าง
ช้าที่สุดตอนต้นปีหน้า)
NPC และ TOC จะจัดงานประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 ส.ค.นี้ (XM
วันที่ 18 ก.ค. 2548)
*ประโยชน์จากการรวมกิจการ
1 Market cap ของ PTTCP จะมีจำนวน 8.5หมื่นล้านบาทติดอันดับหุ้น Market cap ใหญ่
10 อันดับแรกใน SET และทำให้เป็นหุ้นที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน เราคาดว่าราคาตลาดสำหรับ PTTCP
จะอยู่ที่ 75 บาทต่อหุ้นโดยอิงกับราคาหุ้นปัจจุบันของ NPC กับ TOC
2 เนื่องจาก PTTCP จะกลายเป็นหุ้นที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี เราจึงคาดว่า
PTTCP จะถูกนำเข้ารวมไว้ในดัชนี MSCI
3ประหยัดค่าใช้จ่ายได 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ผ่านมาทางการใช้วัตถุดิบให้เกิดประโยชน์
สูงสุด
*ผลกระทบต่อ PTTCP
-ไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนของ PTT เนื่องจากไม่มีการบันทึกรายการกำไรหรือขาดทุน
-PTT ระบุอย่างชัดเจนว่า PTTCP จะเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัท และในที่สุดแล้วจะ
นำผลการดำเนินงานของ PTTCP เข้ารวมไว้ในงบการเงินของ PTT แทนการบันทึกเพียงส่วนแบ่งกำไร
อย่างทำอยู่ในตอนนี้
-PTTCP จะเป็นบริษัทที่เข้าลงทุนในหน่วยเอทิลินแครกเกอร์แห่งใหม่(1 ล้านตัน ) แทน PTT (50%)
และ NPC (50%) ตามแผนการเดิม ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายลงทุนระยะ 5ปี สำหรับปี 2548-2552 ของ PTT
ลดลง 9.5 พันล้านบาท (สำหรับสัดส่วนการถือหุ้น 50% ในหน่วยเอทิลีนแครกเกอร์ใหม่) จากค่าใช้จ่ายลงทุน
ปัจจุบันจำนวน 2.12แสนล้านบาท
-ความวิตกกังวล : PTT เห็นชอบให้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งของ NPC และ TOC ในราคาของวันที่ 10
ส.ค. ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท(อิงกับราคาหุ้น NPC ที่ 120 บาทบวกกับราคาหุ้น TOC ที่ 59
บาท) อย่างไรก็ตาม PTT มีสิทธิยกเลิกการซื้อหุ้นได้หากราคาในวันที่10 ส.ค. ไม่เป็นที่น่าพอใจ
*ผลกระทบต่อ SCC
หลังจากการรวมกิจการและใช้สมมติฐานโครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิมบริษัทในเครือของปูนซีเมนต์ไทย
(SCC และ TPC) จะถือหุ้นประมาณ 19.3% ในPTTCP เราคาดว่า SCC จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นสู่ระดับที่
มากกว่า 20%เพื่อรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทใหม่แห่งนี้ (การถือหุ้นต่ำกว่าระดับ20%จะทำให้ไม่สามารถ
บันทึกส่วนแบ่งกำไรได้ และจะทำให้กำไรสุทธิของ SCC ลดลง 4%)และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
เราเชื่อว่า SCCอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน NPC มากกว่า 1.5% (ใช้สมมมติฐานว่า SCCสนใจเฉพาะ
การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน NPC) ในระยะยาว การมีผู้ประกอบการรายใหญ่เหลือเพียง 2 รายในธุรกิจ
ปิโตรเคมีคือPTT group และ SCC group จะส่งผลทำให้ SCC ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน PTTCPออกมาเพื่อหลีกเลี่ยง
ความขัดแย้งทางผลประโยชน์
เมื่อวานนี้ราคาหุ้น TOC ปรับตัวขึ้น ในขณะที่ราคาหุ้น NPC ปรับตัวลดลง ทำให้โอกาสในการทำ
Arbitrage แคบลง เรายังคงคำแนะนำ ' Outperform 'สำหรับ NPC และ 'ซื้อ ' TOC เนื่องจากแม้ราคาหุ้น TOC
จะปรับตัวขึ้นเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายนของเราอย่างมาก
........................................................................................................
อนาคตรายใหญ่วงการปิโตรเคมีไทยเหลือแค่กลุ่ม SCC กับ PTT หลังจับ NPC รวมกับ TOC
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ไทยพาริชย์ ระบุว่าการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ปิโตรเคมี
แห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NPC) กับบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) (TOC) จะอยู่ในรูปของการ
รวมกิจการเข้าด้วยกัน โดยจะมีการโอนสินทรัพย์ หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และภาระผูกพันทั้งหมดของทั้ง
สองบริษัท (ตามมูลค่าทางบัญชี) ให้กับบริษัทใหม่ที่ชื่อว่ าPTT Chemical Plc (PTTCP) และ PTTCP
จะมีทุนชำระแล้วเท่ากับทุนชำระแล้วของ NPC (3.10 พันล้านบาท )และ TOC (8.21 พ้นล้านบาท)
รวมกัน ซึ่งจะทำให้ PTTCP มีทุนชำระแล้วทั้งหมด 11,311 ล้านบาทหรือ1131.14 ล้านหุ้น (ราคาพาร์
10 บาทต่อหุ้น ) การใช้วิธีนี้จะทำให้ PTTCP สามารถหลีกเลี่ยงการบันทึกค่าความนิยมและหลีกเลี่ยง
การถูกผิดภาษีจากสินทรัพย์ที่โอนย้ายได้
เมื่อใช้ Valuation ของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน โดยอ้างอิงกับวิธีส่วนลดกระแสเงินสด
มูลค่าทางบัญชีและราคาซื้อขายในตลาดที่ผ่านมาพบว่า 1หุ้น NPC เท่ากับ 2หุ้น TOC ตามที่ได้เรา
ได้คำนวณไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนหุ้นของ PTTCP จะต้องเท่ากันกับจำนวนหุ้น
ของ NPC และ TOC รวมกัน ดังนั้นอัตราแลกหุ้นจึงกลายเป็น 1หุ้น NPC ต่อ 1.569785330 หุ้นใน
PTTCP และ 1หุ้น TOC ต่อ 0.784892665 หุ้นใน PTTCP
-การรวมกิจการจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2548
กระบวนการรวมกิจการคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมกับการนำหุ้นของ PTTCP เข้าจดทะเบียน
ในตลาดฯโดยอัตโนมัติหลังการเพิกถอนหุ้นของ NPC และ TOC ออกจากตลาดฯภายในสิ้นปีนี้(หรืออย่าง
ช้าที่สุดตอนต้นปีหน้า)
NPC และ TOC จะจัดงานประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 ส.ค.นี้ (XM
วันที่ 18 ก.ค. 2548)
*ประโยชน์จากการรวมกิจการ
1 Market cap ของ PTTCP จะมีจำนวน 8.5หมื่นล้านบาทติดอันดับหุ้น Market cap ใหญ่
10 อันดับแรกใน SET และทำให้เป็นหุ้นที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน เราคาดว่าราคาตลาดสำหรับ PTTCP
จะอยู่ที่ 75 บาทต่อหุ้นโดยอิงกับราคาหุ้นปัจจุบันของ NPC กับ TOC
2 เนื่องจาก PTTCP จะกลายเป็นหุ้นที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี เราจึงคาดว่า
PTTCP จะถูกนำเข้ารวมไว้ในดัชนี MSCI
3ประหยัดค่าใช้จ่ายได 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ผ่านมาทางการใช้วัตถุดิบให้เกิดประโยชน์
สูงสุด
*ผลกระทบต่อ PTTCP
-ไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนของ PTT เนื่องจากไม่มีการบันทึกรายการกำไรหรือขาดทุน
-PTT ระบุอย่างชัดเจนว่า PTTCP จะเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัท และในที่สุดแล้วจะ
นำผลการดำเนินงานของ PTTCP เข้ารวมไว้ในงบการเงินของ PTT แทนการบันทึกเพียงส่วนแบ่งกำไร
อย่างทำอยู่ในตอนนี้
-PTTCP จะเป็นบริษัทที่เข้าลงทุนในหน่วยเอทิลินแครกเกอร์แห่งใหม่(1 ล้านตัน ) แทน PTT (50%)
และ NPC (50%) ตามแผนการเดิม ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายลงทุนระยะ 5ปี สำหรับปี 2548-2552 ของ PTT
ลดลง 9.5 พันล้านบาท (สำหรับสัดส่วนการถือหุ้น 50% ในหน่วยเอทิลีนแครกเกอร์ใหม่) จากค่าใช้จ่ายลงทุน
ปัจจุบันจำนวน 2.12แสนล้านบาท
-ความวิตกกังวล : PTT เห็นชอบให้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งของ NPC และ TOC ในราคาของวันที่ 10
ส.ค. ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท(อิงกับราคาหุ้น NPC ที่ 120 บาทบวกกับราคาหุ้น TOC ที่ 59
บาท) อย่างไรก็ตาม PTT มีสิทธิยกเลิกการซื้อหุ้นได้หากราคาในวันที่10 ส.ค. ไม่เป็นที่น่าพอใจ
*ผลกระทบต่อ SCC
หลังจากการรวมกิจการและใช้สมมติฐานโครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิมบริษัทในเครือของปูนซีเมนต์ไทย
(SCC และ TPC) จะถือหุ้นประมาณ 19.3% ในPTTCP เราคาดว่า SCC จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นสู่ระดับที่
มากกว่า 20%เพื่อรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทใหม่แห่งนี้ (การถือหุ้นต่ำกว่าระดับ20%จะทำให้ไม่สามารถ
บันทึกส่วนแบ่งกำไรได้ และจะทำให้กำไรสุทธิของ SCC ลดลง 4%)และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
เราเชื่อว่า SCCอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน NPC มากกว่า 1.5% (ใช้สมมมติฐานว่า SCCสนใจเฉพาะ
การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน NPC) ในระยะยาว การมีผู้ประกอบการรายใหญ่เหลือเพียง 2 รายในธุรกิจ
ปิโตรเคมีคือPTT group และ SCC group จะส่งผลทำให้ SCC ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน PTTCPออกมาเพื่อหลีกเลี่ยง
ความขัดแย้งทางผลประโยชน์
เมื่อวานนี้ราคาหุ้น TOC ปรับตัวขึ้น ในขณะที่ราคาหุ้น NPC ปรับตัวลดลง ทำให้โอกาสในการทำ
Arbitrage แคบลง เรายังคงคำแนะนำ ' Outperform 'สำหรับ NPC และ 'ซื้อ ' TOC เนื่องจากแม้ราคาหุ้น TOC
จะปรับตัวขึ้นเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายนของเราอย่างมาก
........................................................................................................