Thai VI

คือซื้อตอนไหนก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำ แต่มีโอกาสกำไรสูง แต่ซื้อแล้วต้องถือยาวนะครับ ส่วนตัวหากผมมีเงินมากหน่อย หรือไม่มีหุ้นดีๆราคาถูกๆให้ซื้อ ผมจะซื้อ 2 ตัวนี้เก็บไว้

ลักษณะร่วมของหุ้น 2 ตัวนี้คือ

1.เป็นกิจการที่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น
2.กิจการมีการขยายตัวทั้งคู่
3.ผู้บริหารเก่ง และน่าจะมีธรรมภิบาล
4.มีความเสี่ยงต่ำทั้งในแง่ตัวกิจการเอง และความต่อเนื่องของผู้บริหาร ทำให้ถือหุ้นได้อย่างสบายใจไปอีกหลายปี
5.เป็นหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก
6.ยอดขายรวมบริษัทย่อย มากกว่า 10,000 ล้านทั้งคู่
7.นักลงทุนมีโอกาสได้รับปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น ทั้ง 2 เด้ง

ขอไปหาข้อมูลก่อนนะครับ
อ่านแล้วต้องใช้วิจารณญานของตัวเองนะครับ
และทั้ง 2 ตัว ผมไม่ได้ถือหุ้น มีตัวนึงถือแค่ 110 หุ้น :lol:

5.เป็นหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก
6.ยอดขายรวมบริษัทย่อย มากกว่า 10,000 ล้านทั้งคู่

เหมือนจะขัดกันเลยครับพี่ ยอดขายขนาดนี้ ถือว่าเป็นขนาดกลางถึงเล็กเองเหรอครับ

:lol: :lol: :lol: :lol:

ซื้อตอนไหนก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำ แต่มีโอกาสกำไรสูง

ตรงนี้เห็นด้วยครับ กับตัวแรกนะ ตัวที่สองยังไม่ได้ศึกษาเลย

:lol: :lol: :lol: :lol:

ยังนึกไม่ออกเลยครับว่าหุ้นอะไร
ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นเหรอครับ
แล้วมั่นใจขนาดนี้แล้ว ยังไม่ซื้ออีกละครับ

ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวไหน บอกหน่อยสิครับ หลังไมค์ก็ได้

จะได้ไปศึกษาครับ

ข้อสอง กิจการมีการขยายตัว หมายถึงที่ผ่านมาหรือในอนาคตครับ

มารอดูครับว่าตัวไหน จะได้เอาไปศึกษาบ้าง ว่าชอบหรือ ไม่
เห็นด้วยในแต่ละหัวข้อหรือ ไม่

ผมว่าต้องใช่ตัวที่ผมพยายามเก็บอยู่ตัวนึงแน่ๆ เลย

ตรงตาม profile ทุกประการ

เป็นที่น่าเสียดายว่า เก็บตั้งสองอาทิตย์แล้ว เพิ่งจะได้ 1,100 หุ้น

แล้วจะกันรู้ไหมเนี่ย
จะได้แสดงความเห็นกันถูก ???

ผมว่าน่าจะบอกกันมาเลยดีกว่าครับ จะได้วิเคราะห์กันถูกว่าจริงตามที่พูดหรือเปล่า

ยอดขายระดับหมื่นล้านนี่ ทั้งๆที่บริษัทเป็นบริษัทขนาดกลางถึงเล็กนี่

อยากรู้จังว่าอยู่ sector ไหน

แต่ถ้าให้เดาเรื่องราคา ตอนนี้คงไม่ถูกเท่าไหร่แน่ๆ เลย

ลูกอิสาน เขียน:5.เป็นหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก
6.ยอดขายรวมบริษัทย่อย มากกว่า 10,000 ล้านทั้งคู่

ถ้า 2 ประโยคนี้จะไม่ขัดกัน
ก็แสดงว่า net profit margin ของบริษัทไม่สูงเท่าไหร่
แต่คำว่ากลางถึงเล็กของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ครับ

ปกติการวัด "ขนาด" ของบริษัท เราจะใช้ market capitalization เป็นเกณฑ์กันครับ
หุ้นที่ไม่ติด 100 ลำดับแรกใน SET ก็น่าจะเรียกว่าบริษัทขนาดกลางถึงขนาดเล็ก

แต่บริษัทที่ขนาดใหญ่ที่สุดของเรา เป็นได้แค่บริษัทขนาดเล็กจิ๋วในตลาด NYSE

และแล้ว เราก็ยังต้องหาหุ้นสองตัวนี้กันต่อไป

ตามมาดูด้วยคนครับ

โทษทีครับ มัวแต่ไปหาข้อมูลอยู่ครับ
คิดหัวข้อได้ ก็เลยโพสต์ค้างเอาไว้


ที่จริงไม่ใช่หุ้นแปลกประหลาดที่ไหนครับ แต่ผมคิดว่ายังมีแง่มุมที่เพื่อนๆหลายท่านอาจจะยังไม่รับรู้ ข้อมูลที่จะมาโพสต์อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด หากมีอะไรผิดพลาดก็ช่วยท้วงติงด้วยครับ และสำคัญที่ผมก็อยากทราบความเห็นในแง่มุมอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะแง่มุมที่แตกต่าง หรือหากเพื่อนๆ คิดว่ามีหุ้นที่ดี น่าสนใจกว่าที่จะเสนอ ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ

ไม่ใช้หุ้นที่สมบูรณ์แบบนะครับ แต่คิดว่าไม่น่าจะด้อยกว่าตัวอื่นมากนัก
และราคาที่ควรจะเป็นก็ไม่ทราบนะครับ คำนวณไม่เป็น รู้แต่ว่าราคาตลาดตอนนี้น่าจะต่ำกว่าพื้นฐานพอสมควร

ขุดหุ้นขึ้นมาจากหลุม
ยอดนักสำรวจเลยครับ คุณลูกอีสาน
หลายๆคนบอก

ตอนนี้หาหุ้นลงทุน หาตัวลงทุนยากจัง
หรือเรามัวแต่ชำเลืองมองฝาหรั่ง
ทำท่าเหมือนหมดทุน เลยรอ

... เข้ามาดู

ตัวแรกที่จะพูดถึงคือ TR หรือไทยเรยอน นั่นเอง

มีหลายคนชอบหุ้นตัวนี้ หลายคนไม่ชอบ ผมก็ไม่ได้ชอบมาก ไม่อย่างนั้นคงถือไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่สนใจหุ้นตัวนี้ ตอนนี้ TR ซื้อขายกันที่พีอี 4ปลายถึง 5 เท่ากับว่าซื้อไป 5 ปีก็ทำกำไรได้เท่ากับราคาหุ้น ที่ราคาหุ้นซื้อขายกันที่พีอีค่อนข้างถูก ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล ที่ผมพอจะคิดได้คือ

1.อยู่ในกลุ่มสิ่งทอ อุตสาหกรรมตกดิน ต้องแข่งกับจีน นักลงทุนกลัวว่าหุ้นจะมีอนาคตมืดมน เหมือนหุ้นสิ่งทอตัวอื่นๆ ที่เราเห็นกัน
2.ปันผลน้อย สูงกว่าเงินฝากนิดเดียว เป็นบริษัทที่ขี้เหนียว
3.ราคาแพง ไม่ยอมแตกพาร์ สภาพต่ำ ซื้อขายกันยาก

ทุกหมดที่กล่าวมา น่าจะเป็นเหตผลที่นักลงทุนซื้อขาย TR ที่พีอีต่ำมาก
ซึ่งดูไป มันก็มีเหตุมีผลเช่นกัน


ข้อ 2 -3 ผมคิดว่าเป็นเรื่องจริง แต่กับข้อ 1 ผมคิดว่ายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่นักลงทุนอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งผมจะพูดในประเด็นความสามารถในการแข่งขันของ TR ต่อไป..

เอ ถ้ายอดขายเกินหมื่นล้าน แล้วยังเป็นหุ้นขนาดเล็กถึงกลาง และธุรกิจก็ดี ผมเดาว่าหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นค้าปลีกรึเปล่าครับ

อีกตัวอยู่พลังงานรึเปล่าครับ

ถ้ามีใครทายถูกคุณลูกอีสานต้องแจกรางวัลหน่อยแล้วล่ะครับ : )

เสร็จลาวววว มีกับเขา อยู่ดอย80หุ้น ราคา376บาทอ่ะ

:lol: :lol: :lol: :lol:

ตัวที่สองเป็นตัวที่คุณ IH สนใจอยู่พอดีครับ

รับรางวัลไปเล้ยยยยย สีมือจริงๆ

:lol: :lol: :lol: :lol:

1. TR มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงครับ ถามว่าเฉพาะ TR ไม่รวมบริษัทย่อยทำกำไรสุทธิได้เท่าไหร่เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายครับ หากผมจำไม่ผิดน่าจะสูงกว่า 10% กำไรดีขนาดนี้ ทำไมไม่มีบริษัทอื่นๆ ที่จะเข้ามาแข่งขันครับทั้งบริษัทในประเทศ หรือในต่างประเทศ (ผมไม่มีข้อมูล)

ถึงแม้สินค้าที่ผลิตจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือกึ่งโภคภัณฑ์ แต่ TR เป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำเกือบๆที่สุดของโลก อาจเป็นเพราะมีการผลิตแบบครบวงจร ทั้งขยายไปข้างหน้า-ข้างหลัง บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการผลิต มีเทคโนโลยี (อาจจะผลิตเครื่องจักรบางส่วนเอง) มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมคุณภาพ(ได้รับรางวัลมากมาย) มีวัตถุดิบที่สำคัญคือเยื่อกระดาษชนิดละลายได้เอง มีบริษัทย่อยที่ผลิตสารเคมีบางชนิดใช้ในการผลิตเอง ยอดขายส่วนใหญ่ขายให้บริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้ผลิตเส้นด้ายรายใหญ่ที่สุดในประเทศ

ในระยะเวลาอันใกล้ ผมคิดว่าไม่น่าจะมีคู่แข่งในประเทศอย่างแน่นอน
ส่วนในต่างประเทศผมไม่ทราบ แต่คิดว่าคงไม่ง่ายที่จะทำกิจการแข่งกับ TR

เหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ TR มีกำไรสุทธิค่อนข้างสูง หากรวมกำไรจากบริษัทย่อย กำไรจะสูงมากกว่า 20% ของยอดขายเลยทีเดียว ยากที่จะหาบริษัทในตลาดหุ้นมาเทียบได้

เดาอีกตัว มูราโมโต้ รึเปล่าครับ
หรือเป๊บซี่
:lol:

ROE กับ margin สูงจริง ๆ ครับสำหรับ TR แต่ไม่จ่ายปันผล
หนี้สิน 4ร้อยล้าน เงินสด 1600ล้าน กำไรสะสมแปดพันล้าน
เก็บไว้ทำไม

ผมเล็งๆหุ้นขนาดเล็กและกลาง เอาไว้อยู่ แต่ยังหาที่เยี่ยมๆแบบนี้ไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป

2.กิจการการผลิตเส้นใยเรยอน ซึ่งดำเนินการผลิตโดย TR โดยที่เครือเบอร์ล่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TR มีการผลิตเส้นใยเรยอน 3 ประเทศ ในประเทศอินเดียดำเนินงานโดย India Rayon เข้าใจว่าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเช่นกัน อีกบริษัทอยู่ในอินโดนีเซีย ชื่อพีที อินโด บาฮัท ทำนองนี้ละครับ โรงงานแต่ละประเทศจะแบ่งการผลิตและตลาดออกจากกัน ผมไม่มีรายละเอียดว่าแบ่งกันอย่างไร แต่ TR เป็นบริษัทแรกของเครือเบอร์ล่า ที่ตั้งในต่างประเทศ มีกำลังการผลิตประมาณ 80,000 ตันต่อปี ตอนนี้ในเครือเบอร์ล่า มีธุรกิจปูน ทองแดง อลูมินั่ม เยื่อกระดาษ คาร์บอนแบล็ค สารเคมีหลายชนิด เส้นใยเรยอน เส้นใยอคริลิค โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม
ครอบคลุมหลายประเทส จ้างงานหลายหมื่นคน เป็นบริษัทข้ามชาติสัญชาติอินเดียรายแรกๆ

เส้นใยเรยอนเป็นเส้นใยกึ่งสังเคราะห์เพราะเป็นการผลิตจากเยื่อไม้ นำมาละลายในกรด แล้วนำมาผ่าน nozzle รีดออกมาเป็นเส้นใยเรยอน มีคุณสมบัติทางการภาพที่แตกต่างจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ใยฝ้ายและ เส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลียม โพลีเมอร์ ดังนั้นเส้นใยเรยอน มีคุณสัมบัติเฉพาะตัว ทำให้มีตลาดเฉพาะกลุ่ม


โรงงานในไทยเร็วๆนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนไลน์การผลิตจากสินค้าราคาถูก เป็นสินค้าพิเศษ เช่นเส้นใยปราศจากคลอรีน เส้นใยปราศจากแบคทีเรีย ปราศจากโลหะหนัก เส้นใยที่ใช้ในอุตสหกรรมเคหะสิ่งทอ การแพทย์ที่เรียกว่า non-woven ทำให้มีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น และเพิ่งประกาศสร้างสายการผลิตที่ 4 ผลิตเส้นใยเรยอนที่เรียกว่า โมดาล ซึ่งเป็นเรยอนชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัตินุ่มมากๆ และซับน้ำได้ดีมาก นำไปผลิตสินค้าระดับบน โครงการนี้น่าจะทำให้มีกำไรเพิ่มอีกพอสมควร

นอกจากนั้นยังเพิ่งประกาศเข้าไปซื้อกิจการโรงงานเส้นใยเรยอนในจีน โดยที่ TR ถือหุ้นร่วมกับบริษัทในเครืออื่นๆ ประมาณ 35% มีกำลังการผลิตประมาณ 30,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก

เพิ่งประกาศเข้าไปซื้อโรงงานผลิตเยื่อในแคนาดา เป็นโรงงานที่ 2 นอกเหนือจาก เอวีเซลอิ้งค์ เพื่อประกันความแน่นอนและควบคุมต้นทุน ของวัตถุดิบ

ผมโพสต์หัวข้อไปมา ต้องขอโทษด้วยครับ เรียบเรียงไม่เก่ง :lol:

3.ความเจริญรุ่งเรืองของจีน เป็นโอกาสไม่ใช่ภัยคุกคาม เพราะ tr ผลิตสินค้าเส้นใย ซึ่งเป็นอุตสหกรรมที่ขึ้นอยู่กับทุนและการจัดการ ไม่ได้ใช้แรงงาน ดังนั้นการเจริญเติบโตของผู้ผลิตส่งทอในจีน ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ TR ตรงกันข้าม ยังสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น เพราะมีความต้องการที่สูงจากผู้ผลิตเสื้อผ้าในจีน ฐานการผลิตทั้ง 3 แห่งของเครือเบอร์ล่า ฐานการผลิตในไทยมีระยะเวลาการขนส่งไปจีนที่ใกล้ที่สุด หมายถึงต้นทุนค่าขนส่งที่ต่ำ

มากกว่านั้น tr เพิ่มประกาศเข้าไปซื้อโรงงานในจีน แม้จะไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ อย่างที่คาดหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีต่อ TR ในระยะยาว

มีอีกหลายประเด็นที่จะพูดถึง TR นะครับ
แต่ขอตัวก่อน เพราะพิมพ์มากชักเหนื่อยแล้วครับ
ยินดีรับฟังความเห็นที่แตกต่างนะครับ

อย่างกับเกมเปิดป้ายในรายการแฟนพันธ์แท้เลย แต่น่าจะให้เลือกเิปิดทีละป้ายนะครับ คนทายถูกก่อนจะได้รับเลย 25 คะแนนเต็ม

จริงๆผมชอบ tr นะครับ หายากที่ทำ tpm ได้ครับ แต่ยังสงสัยเหมือนพี่หมอ T เลยครับ
ว่าแต่อีกตัวยังนึกไม่ออกนะครับ