Thai VI

ผมเริ่มก้มมอง แล้วผู้ที่มีอย่คิดว่าไงครับ

ต้องลุ้นให้มหาลัย เหมืองแร่ ฟื้นตัวก่อนนะครับ GRAMMY ถือหุ้น GTH เกินครึ่ง ต้องรับรู้ขาดทุนที่สูงมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ถ้าปากต่อปากไม่ทำงานให้รายได้กระเตื้องขึ้นจากรายได้ 4 วันแรกที่ทำไปได้เพียง 7.6 ล้านบาท (จากทุนสร้างมากกว่า 60 ล้านบาท)

หนังบางเรื่องได้กล่องแต่ไม่ได้เงิน

ทำมัยคุณ mr.big ถึงให้ความสำคัญกับหนังเรื่องนี้จังครับ

ผมคิดว่าตัวธุรกิจเพลง ยังเป็นรายได้สำคัญมากกว่าหนังนะครับ

ผมว่าหนังไม่น่าทำเงินเท่าไหร่ครับ
ได้ยินมาว่ายังอ่อนกว่าเรื่อง 15 ค่ำอยู่ไกล
ตอนนี้ผมว่ายังไม่สนครับ .. เพราะเดาไม่ออกว่า grammy จะกลับตัวมากำไรเหมือนเดิมได้เมื่อไหร่ ตอนนี้ผมว่า grammy อาการคล้ายๆ se-ed ครับ

ในยุคเปิดเสรีนี้ ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและมีกำแพงป้องกันการเข้ามาของรายใหม่ต่ำดูเหมือนว่า ยิ่งขยายกำไรยิ่งหด ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ กำไรที่เพิ่มไม่เท่ารายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ไม่ดิ้นไม่ขยายก็ตายในสนามแข่งขัน ใจเย็นๆ รอดูผู้ชนะก่อนก็ยังไม่สายนะครับ เพราะผู้ชนะเองก็คาดว่าคงจะได้รับบาดแผล ฟกช้ำมาพอสมควร ยังต้องใช้เวลาเลียแผลอีกพอสมควร

ผมเคยไปประชุมผู้ถือหุ้นมาครับ มีคนเคยถามผู้บริหารว่าทำไมไม่เลิกทำหนังซักที

เพราะแต่ละเรื่องที่ออกมาได้ไม่ค่อยคุ้มเสียเท่าไหร่ ซึ่งผมก็ค่อนข้างเห็นด้วย

แต่ผู้บริหารเองตอบว่า เรากำลังเพิ่งเริ่มเข้ามาธุรกิจนี้ซึ่งแน่นอนว่า ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจทำได้ไม่ดีนัก

แต่ผู้บริหารเองมองว่าในระยะยาวแล้วธุรกิจจากภาพยนตร์จะเป็นตัวเสริมรายได้อีกแรง

เพราะธุรกิจเพลงเอง เริ่มมีความยากมากขึ้นในการจับกลุ่มผู้ฟัง สังเกตุได้จากระยะหลังๆ

บริษัทได้แตกบริษัทลูกออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อจับกลุ่มผู้ฟังแต่ละประเภท ที่มีความชอบในแต่ละแนวเพลงที่ไม่เหมือนกัน

ส่วนตัวผมมองว่า ธุรกิจเพลงยังคงเป็น แกรมมี่ที่เป็นเบอร์หนึ่งอยู่ และยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่พอสมควร

ถ้าหากบริษัทสามารถนำ content ที่มีอยู่ในมือมาต่อยอดได้มากกว่านี้ ก็จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้อีก

ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ ผมไม่แน่ใจว่าจะไปได้สวยหรื่อไม่ เพราะบางเรื่องรายได้ก็ดี บางเรื่องก็ขาดทุน เลยยังมองไม่ค่อยออกเท่าไหร่

ส่วนรายได้ที่ลดลงมากนั้น ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะผลกระทบจากสึนามิค่อนข้างมากทีเดียว

เพราะคอนเสิร์ตโดนยกเลิก อัลบั้มเพลงที่จะออกก็ต้องเลื่อนออกไป ทำให้รายได้ลดลงพอควรครับ

แต่ผมก็เริ่มๆ มองดูบ้างแล้วเหมือนกันนะ แต่ใจอยากรอดู q2 ดูก่อนว่าเป็นยังไง

ธุรกิจทำภาพยนต์ เขาไม่ได้หวังว่าหนังทุกเรื่องต้องกอบโกยเงินได้

ทำออกมา 10 เรื่อง มีเพียง 2-3 เรื่อง ทำกำไรงามๆได้ ธุรกิจก็ไปได้สบายแล้ว

ผมมองอนาคตไม่ออกครับ โดยส่วนตัวผมกับคนโดยรอบๆตัวไม่ได้ซื้อเทป หรือซีดีนานแล้ว ซื้อแต่ dvd หนังสือผมเห็นก็ขายไม่ค่อยดีนะครบั เคยลองซื้อมาอ่านดูก็ไม่ค่อย work ยืนดูตามแผงหนังสือ ก็ไม่เห็นมีคนซื้อเลยครับ ส่วนธุรกิจหนังก็ไม่แน่ใจ มีกี่เรื่องที่ได้ 100 ล้านนะครับ อันนี้ไม่มีข้อมูล ครับ จะมีได้ก็พวกคอนเสริต์หรือไม่ก็ ทีวีละครับ
แต่โดยส่วนตัวไม่ชอบแนวนี้ครับ
ปล ความเห็นส่วนตัวนะครับ

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธุรกิจเพลงคือการละเมิดลิขสิทธิ์ครับ ซึ่งก็จะไปเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้วย แต่ก่อนแกรมมี่ขายซีดีกำไรอื้อซ่า พอมีเทคโนโลยี mp3 ทำให้ต้นทุนในการละเมิดลิขสิทธิ์ต่ำลงไปอีก แล้วคนเราก็อยากซื้อของถูก และที่น่ากลัวไปกว่านั้นในปัจจุบัน แผ่นmp3ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ สามารถdownloadได้ฟรีทาง website ประเภท sharing file เพียงแค่คุณมี hi speed internet อันนี้แหละครับที่ในอนาคตจะน่ากลัวสำหรับแกรมมี่

ผมเห็นด้วยกับคุณ Basic ครับ มันหาเพลงได้ง่ายๆ จริงนะครับสมัยนี้ จริงๆ แต่ก่อนเราก็ก๊อปกันอยู่แล้วนะครับเพี่ยงแต่ลำบากหน่อย ผมว่า grammy คงต้องหาประโยชน์จากเพลงที่ link กับ product ตัวอื่นๆ หรือธุรกิจอื่นๆ มากกว่าที่จะขายให้กับประชาชนทั่วไปนะครับ ผมขอความเห็นเพื่อนๆ หน่อยครับ ทราบมาว่ากำไรขั้นตันของธุรกิจ Digital Content ของ Grammy ดีนั้น มีผลมากน้อยต่อบริษัทถ้ามองในระยะยาวน่ะครับ ขอความเห็นจ้า

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ถ้าไม่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ แกรมมี่คงมีอนาคตที่สดใสแน่ๆ ผมเคยมานั่งคิดนะครับ ว่าทำไมคนถึงยังซื้อเทปหรือซีดีของแท้ ทั้งๆที่มีของถูกวางอยู่เกลื่อนกลาด ได้ข้อสรุปว่า 1.เป็นแฟนพันธ์แท้ของศิลปิน ต้องการสะสม หรือช่วยอุดหนุน 2.ไม่ชอบของปลอม เรียกว่าเป็นคนดีอะไรประมาณนี้ (ถ้ามีใครนึกออกช่วยเสริมด้วย)

ในขณะเดียวกัน ซีดี เถื่อนขายได้เพราะเหตุผลเดียวคือราคาถูก และได้เพลงที่ต้องการเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นผมเลยลองคิดเล่นๆว่า เป็นไปได้มั๊ยถ้าแกรมมี่เองจะลุยมันทั้งสองตลาดเลย ตลาดแรกสำหรับแฟนพันธ์แท้ ใส่แวลูเข้าไปเยอะๆ ให้ดูน่าซื้อสะสม น่าเก็บไว้สำหรับศิลปินในดวงใจ ตลาดสองพวกเอ็มพี3 อาจจะไม่ต้องรวมเป็นสิบๆ อัลบั้มก็ได้ ส่วนตัวนะผมว่าถ้าจะลงมาเล่นตลาดนี้ก็อาจจะดูสุ่มเสี่ยงอยู่มาก แต่ผมว่าตลาดนี้มันก็ไม่ได้เป็นของแกรมมี่มาตั้งนานแล้ว ยังไงๆ ถ้าเลือกได้ทุกคนคงไม่อยากใช้ของผิดกฎหมายหรอก น่าจะมีทางเป็นไปได้

แต่นี่เป็นแค่การคิดเล่นๆ นะครับ สิ่งที่ผมไม่มั่นใจก็คือถ้าบริษัทลงมาเล่นตลาดเอ็มพี3แล้ว ตลาดซีดีแบบเดิมจะวูบไปเลยหรือไม่ ประเด็นผมก็คือบริษัทต้องตีโจทย์ให้แตกให้ได้ว่าทำไมวันนี้คนยังยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อซีดีลิขสิทธิ์ แต่ถ้าตลาดสามารถแบ่งเป็นสองขั้วได้จริง เอ็มพี3 ผมว่าบริษัทน่าลุยนะ เพราะยังไงๆ ในระยะยาวบริษัทมีแต่จะเสียส่วนแบ่งให้ตลาดมืดไปเรื่อยๆนะ ผมว่า

เฮ้อ กับบริษัทนนี้เมื่อก่อนตอนที่เป็นยุคทองของอุตสาหกรรมนี้เมื่อหลายปีก่อนผมก็ชอบนะ แต่พอดีผมเป็นคนชอบฟังเพลงแล้วก็น้องชายผมก็เป็นนักดนตรี ผมรู้สึกว่า Grammy เริ่มหมดมุกในการทำเพลงหรือการทำอุตสาหกรรมด้านนีร้แล้วหละครับ ความหมายคือ มีแต่ทรงกะทรุด เพราะหลายเพลงไม่ก็ไปก็อบเค้ามา แล้วเอามาดัดนิดๆหน่อยก็ดันออกมาขายแบบสั่วๆ คือไม่มีความเป็นศิลปะอีกต่อไป และก็ชอบขุดของเก่ามาขายประมาณอะไรทำงานได้ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก บจ. ทำหมด ไหนจะปัญหาที่นับวันจะเกิดมามากและแก้ไขไม่ได้ คงไม่ต้องบอกว่าอะไร....เทคโนโลยีมันไปไกลเหลือเกิน ไม่มีทางที่จะควบคุมได้

มันก็ก็อปกันทุกค่ายแหละครับ

เพียงแต่ใครจะทำได้เนียนกว่ากัน

แล้วถ้าคุณรู้ว่าเค้าก๊อบมา คุณยังจะซื้อของเค้าอีกเหรอ

เด็ก bakery ก็ชอบหาว่าเพลง grammy copy มาครับ

แต่ว่าเพลง bakery เองก๊อปมาก็เยอะ

อีกอย่างจะไม่ให้ grammy ก๊อปอย่าง bakery หรือค่ายอื่นๆก็ไม่ได้หลอกครับ ดูเพลงแต่ละอัลบั้ม ของ grammy อัลบั้มใหม่อันนึงมีประมาณ 10 กว่าเพลง ของค่ายอื่นที่บอกว่าไม่ก๊อป มีกันอยู่สองเพลง หลายเวอร์ชั่น ใครซื้อแล้วจะรู้ครับ แพงกว่าด้วย

มหาลัยเหมืองแร่ ผมว่าเดี๋ยวก็เท่าทุนหรือไม่อาจมีกำไรครับ จะมาแนวโหมโรงอาทิตย์แรกน้อย แต่จะค่อยๆเพิ่มตามปากต่อปาก

วันนี้ผมพึ่งไปดูมา รู้สึกดีกับหนังจริงๆ ไม่ได้เป็นหน้าม้าด้วย ถึงตอนนี้จะมีหน้าม้าอยู่ก็เหอะ อิอิอิ

ถ้าจะทำเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เรื่องเพลงให้หมดไป
คุณต้องทำให้CDเพลงเป็นmass productให้ได้
คือต้องขายต่ำกว่า 50 บาทให้ได้

ส่งเทคโนโลยี่มันพัฒนาไปเร็วมากๆๆ ตอนนี้อาจจะมีCD บ้างแผ่นมีprotect
ในการทำMP3แล้วก็ได้ เปิดกับเครื่องคอมไม่ได้ หรือเปิดได้กับโปรแกรมที่มากับแผ่นเท่านั้น

คิดๆๆดูgrammy ปีนี้ผลประกอบการไม่น่าจะสวยเท่าไร กำไรไม่สูงมาก
ถ้าไม่มีProjectแบบใหญ่จริงๆๆ แบบรวมศิลปินทั้งค่ายมาลงแผ่น แบบมาjoinกัน

น่าจะมีกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ บ้าง (ไม่เอาแบบขายความหวังนะ)

อย่างเช่น ซื้อครบสิบอัลบั้ม (มากไปไหมเนี่ย เอาแค่ห้าก็แล้วกัน)
สามารถแลกบัตรชมคอนเสิร์ตได้ฟรี หรือมีส่วนลด หรืออื่นๆ เป็นต้น

ซัดกันตรงๆ แบบนี้ พวกก็ก็อปปี้อย่างเดียวน่ะสิ คนทำ MP3 น่ะพอจะได้ตังค์ แต่
ศิลปินที่ปั่นเพลง เอ๊ย! ที่ทำเพลงมาให้ฟัง ไม่ค่อยได้ตังค์

เสนอกันตรงนี้เลยว่า
ทำการแจกการโหลดมันทางinternetแบบIMacกันเลย
คิดเพลงละ 5 บาทโดยคนที่จะโหลดส่งSMS เข้าSERVER
แล้วได้Passwordในการโหลด คิดเป็นครั้งในการโหลดกันไปเลย

แล้วติดเครื่องที่ว่า ทุกจุดที่วัยรุ่นเดิน เช่น สยาม มาบุญครอง เซ็นทรัส พระรามสอง พระรามสาม ฯลฯ เอาเข้าไปเลย ว่า 5 บาท จะทำได้ไหมล่ะ

ตอนนี้ศิลปินในค่ายค่าลิขสิทธิ์เทปกับCDมันน้อย กินแต่ค่าเดินสายทัวร์อย่างเดียว
ถ้ามันไม่ทำแบบข้างบนนี้ จะทำอย่างไงล่ะนั้น ต่างประเทศเข้าก็เดินทางนี้กันแล้ว
คิด 99 เซ็นต์ แต่เมืองไทย 5 บาทเท่านั้น

แล้วต่อด้วย ออกเป็นบัตรสมาชิกในการโหลดเพลง แบบว่าให้เลือกศิลปินเลยว่า
ชอบศิลปินคนไหน เอาแบบว่า ถ้ามีข่าวอะไรก็ส่งให้ทางมือถือ แบบเกาะติดกันเป็นรายวงหรือรายบุคคลกันไปเลย
เพราะเดี๋ยวนี้ เห็นวัยรุ่นคลั่งกันมากๆๆ จนขนาดสักยันต์เป็นรูปBig assก็มี ฮาเลยล่ะนั้น

มาบอกแค่นี้อ่ะ เอาความคิดการตลาดมาขายกันเต็มๆๆ ถ้ามันไม่ทำก็ช่วยไม่ได้แล้ว

ปล เราไม่มีหุ้นGrammyเลย มาคิดให้ถือว่า ฟรีล่ะกัน

ซื้อครับ ถ้าเป็นงานที่ฟังแล้วดี บางครั้งทำนองอาจลอกมาบ้าง แต่เนื้อร้อง และ การเล่นดนตรี ทำได้ดี ดูเป็นมืออาชีพ ก็ชอบและซื้อครับ

เพราะผมและหลายคนที่เป็นนักร้องและศิลปิน คงชอบนักร้องเมืองนอก และก็มีเป็นแบบอย่าง ทำให้แนวทางมันคล้ายกันไปทั่วโลกเลยครับ

Basic เขียน:ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธุรกิจเพลงคือการละเมิดลิขสิทธิ์ครับ ซึ่งก็จะไปเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้วย แต่ก่อนแกรมมี่ขายซีดีกำไรอื้อซ่า พอมีเทคโนโลยี mp3 ทำให้ต้นทุนในการละเมิดลิขสิทธิ์ต่ำลงไปอีก แล้วคนเราก็อยากซื้อของถูก และที่น่ากลัวไปกว่านั้นในปัจจุบัน แผ่นmp3ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ สามารถdownloadได้ฟรีทาง website ประเภท sharing file เพียงแค่คุณมี hi speed internet อันนี้แหละครับที่ในอนาคตจะน่ากลัวสำหรับแกรมมี่

เห็นด้วยครับ แต่ก่อนผมเคยคิดว่าการละเมิดลิขสิทธิ์จะลดลงเมื่อประเทศมีการพัฒนามากขึ้น ระบบกฏหมายมีความสมบูรณ์มากขึ้น แต่ไปๆ มาๆ แล้ว ไม่ยักจะเห็นว่าแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นเลย

ซ้ำร้ายยังมีเรื่องของ ระบบ file sharing บน hi-speed internet เกิดขึ้นมาอีก
เรื่องนี้ผมว่าเป็นเรื่องใหญ่นะครับ กลายเป็นว่าทุกอย่างเป็นของฟรี จะฟัง MP3 หรือ ดูหนัง ก็ไม่ต้องไปซื้อแผ่นผีแล้ว (อย่าว่าแต่แผ่นแท้เลย) โหลดเอาดื้อๆ จากเครื่องของคนที่มาแชร์ด้วยกันเลย กฏหมายผมเข้าใจว่ายังทำอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าของเวปไซต์อ้างว่า ทุกอย่างที่มีคนนำมาโพส ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเวป เป็นเรื่องของคนโพสเอง และคนที่มาแชร์ไฟล์กัน ก็มีเป็นร้อยๆ พันๆ คน จะมาไล่จับก็ยากอีก (ไม่เหมือนแต่ก่อนที่แอบปั้ม CD ขายกัน ก็พอไปไล่เบี้ยเอาตาม แหล่งผลิต แหล่งขายได้) เลยยังมองไม่ออกเหมือนกันว่าปัญหาเหล่านี้ จะแก้ไขได้อย่างไร

เคยได้ยินมาว่าคน Upload ผิด แต่คน Download ไม่ผิด.......อ้อ อีกอย่างใครเคยดูโฆษณาของ True Internet ตอนที่บอกว่าชอบเพลงเดียวในอัลบั้มแล้วขอซื้อเพลงเดียวได้ไหมครับ มันก็สื่ออยู่นะฮะว่าใช้ Internet ความเร็วสูงไปทำไม