หน้า 1 จากทั้งหมด 1
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:53 pm
โดย LOSO
55
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:53 pm
โดย LOSO
**หยวนมีโอกาสแข็งค่าทันที5%
ค่าเงินหยวนไม่ใช่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ หรือ Economic Factor อย่างเดียวแล้ว มันกลายเป็นปัจจัยทางด้านการเมือง ดูได้จากการเคลื่อนไหวของรัฐสภาสหรัฐ ฯ ว่าจะกดดันให้จีนปรับค่าเงินหยวนภายใน 6 เดือน หากไม่แล้ว สภาคองเกรสสหรัฐ ฯจะเสนอกฏหมาย ต่อต้านและตอบโต้ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ในอัตราเฉลี่ย 27.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่าเงินหยวนอ่อนกว่าความเป็นจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐ ฯมองค่าเงินหยวนปัจจุบัน อ่อนกว่าค่าความเป็นจริงถึง 30% และไม่ได้รับความชอบธรรมจากสินค้านำเข้าที่มาจากจีน
เท่าที่ดูการที่จีนจะขยายแบรนด์ หรือปรับค่าเงินให้แข็งขึ้นคงไม่เกิน 3-5% ถ้าเกินกว่านั้นเศรษฐกิจจีนในระยะสั้น ๆ จะรองรับไม่ไหว จึงพูดได้เลยว่าต่อให้จีนปรับค่าเงินให้แข็งค่าขึ้น ความกดดันจากสหรัฐ ฯหรือความขัดแย้งก็ยังคงอยู่ และมีความเป็นไปได้สูงว่า ทันทีที่จีนปลดล็อกค่าเงินหยวน โดยให้ขยับขึ้นได้ 3-5% จะวิ่งชนเพดานภายในวันหรือสองวันทันที จนแข็งค่าไปที่ 7.8-8 หยวนต่อดอลลาร์ และคงอยู่ในระดับนั้น เพราะตลาดก็ยังคาดว่าจีนจะปรับขึ้นค่าเงินหยวนอีกต่อไป และจีนก็อ่านเกมออก ว่าต่อให้ปรับค่าเงินหยวนแข็งขึ้น ความกดดันที่ได้รับก็ไม่ได้สิ้นสุด จนจีนต้องปล่อยค่าเงินหยวนลอยตัวในที่สุด แต่ความเป็นไปได้ที่จะลอยตัวขณะนี้เป็นไปได้ยากมาก
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:54 pm
โดย LOSO
** หยวนแตะ 7.8 ต่อดอลฯเห็นเมื่อไร ?
ภายใน 6 เดือน ถึง 1 ปี ข้างหน้านี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นค่าเงินหยวนปรับค่าแข็งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2548 นี้ โดยจุดที่จะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายของจีนจะเป็นต้นพฤศจิกายน 2548 นี้ เพราะเดือนนี้มีการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่จัดขึ้นทุก 5 ปีครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 17 เป็นการประชุมที่มีความสำคัญสุดของจีน เพราะเป็นองค์กรที่ตัดสินทางด้านนโยบาย ,ทิศทางเศรษฐกิจ, และการเมือง และค่าเงินหยวน คงถูกโยนเข้าไปสู่กระบวนการตัดสินใจ ก่อนที่จะกำหนดออกมาเป็นนโยบายของประเทศ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับการที่สภาคองเกรส สหรัฐ ฯได้ตั้งไว้ว่า จีนจะต้องปรับค่าเงินหยวนภายใน 6 เดือน นับจากเดือนพฤษภาคม 2548
และอย่างมากที่สุดคงแข็งค่าจากปัจจุบัน ( 4.89 หยวนต่อดอลลาร์ ) ขึ้นไป 3-5% หรือประมาณ 7.8 หยวนต่อดอลลาร์ หลังจากนั้นจีนจึงค่อยเปิดเสรีทางการเงิน เพราะจีนมีคำมั่นสัญญากับ WTO ( World Trade Organization ) ว่าจะต้อง เปิดเสรีทางการเงินภายในปี 2007 (พ.ศ 2550) หรือประมาณอีกปีครึ่ง และจีนก็ยึดกฏเกณฑ์ของ WTO มากซึ่งคิดว่าจีนจะลอยค่าเงินก็ต่อเมื่อปี 2550 นี้
ตอนนั้น (พ.ศ.2550 ) การคอนเวิรค์ค่าเงิน แลกค่าระหว่างเงินสกุลหยวน กับเงิน สกุลต่าง ๆจะทำได้คล่องตัวขึ้น รัฐบาลจีนจะไปห้ามไม่ให้ต่างชาติทำธุรกรรมการเงินไม่ได้อีกแล้ว เพราะปัจจุบันคนที่จะได้รับอนุญาตทำธุรกรรมค่าเงินหยวน อัตราแลกเปลี่ยนในจีน เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ต่อให้คนได้ใบอนุญาตก็ทำไม่ได้ ห้ามไม่มีการแลกเปลี่ยนระหว่าเงินหยวนกับเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเป็นดอลลาร์สหรัฐ อย่างคล่องตัว ดังนั้นการที่สหรัฐ ฯไปกดดันจีน แต่จีนไม่ปฏิบัติตามก็เพราะมันไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์ของ WTO
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:55 pm
โดย LOSO
** 6 ปีของจีนที่ทำไปกับพันธะ WTO
สิ่งแรก ๆ WTO กำหนดให้จีนทำในเรื่องของ Trade เปิดเสรีการค้า แล้วจึงเปิดภาคบริการ (รวมไปถึงภาคการเงิน )ในช่วง 6 ปีหลังคือปี 2550 โดยนับจากปีแรกที่จีนเข้าเป็น สมาชิก WTO เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2544 ในระหว่างนี้จีนจึงค่อย ๆปลดล๊อกความเข้มงวดทางการเงิน ตัวอย่างที่เห็นคือ 1.การให้นำเงินหยวนไปที่ฮ่องกง โดยง่ายขึ้น 2.อนุญาตให้นำบัตรเครดิตไปใช้ที่ฮ่องกงในรูปของเงินหยวน 2. สามารถรูดบัตรเครดิต ในรูปของดอลลาร์ฮ่องกงที่จีนได้ 3. การที่จีนจะตั้งกองทุน Mutual Fund ,กองทุนตราสารหนี้ ไปซื้อพันธบัตรไปลงทุนในตราสารต่างประเทศ ตลอดจนเวลานี้จีนได้ส่งเสริมกองทุนต่างๆ เพื่อนำไปสู่การการลงทุนในต่างประเทศที่คล่องตัวขึ้น
อย่างไรก็ตามจีนคงไม่เปิดภาคการเงินแบบฉับพลัน เพราะจีนรู้ว่าระบบทุนนิยมของจีนยังไม่พร้อม อีกอย่างระบบทุนการเงิน หรือ Financial Capitalism มันคือสุดยอดของทุนนิยมโลก ที่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ใช้เป็นเครื่องมือ หาประโยชน์ และหวังจะดึงเงินหยวนมาเล่นในระบบนี้ เป็นทุนที่มุ่งเน้นการเก็งกำไรในเรื่องของ Casino Economies (เศรษฐกิจเก็งกำไร) ที่สหรัฐ ฯหวังจะใช้เพื่อกู้เศรษฐกิจของตัวเอง
เพราะเจตนารมย์จริงที่สหรัฐ ฯต้องบีบคั้นจีน ไม่ใช่เพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้า ตามที่สหรัฐ ฯ กล่าวอ้าง เพราะต่อให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นไป 10-20% สหรัฐ ฯก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีนได้ เหมือนกับที่สหรัฐ แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าไม่ได้กับญี่ปุ่น ทั้งที่ ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นไปเท่าตัว จากที่เคยอยู่ที่ 360 เยนต่อดอลลาร์ก่อน วันที่ 15 สิงหาคม 1971 (พ.ศ.2514 ) ในช่วงเหตุการณ์ พลาซ่า แอคคอร์ท และ 11 กันยายน 1985 (พ.ศ. 2528 )
ค่าเงินเยนก็ได้แข็งขึ้นแตะ 250 เยนต่อดอลลาร์ จนมาแข็งขึ้นมาเป็น 100เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและบัญชีเดินสะพัดกับญี่ปุ่นไม่ได้ ตัวเองยังขาดดุลมากขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นเงินหยวนก็คงแบบเดียวกัน และจีนก็ดูออก
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:56 pm
โดย LOSO
**มูลเหตุจริง ๆที่สหรัฐ ฯบีบให้หยวนแข็งขึ้น
ข้ออ้างอันหนึ่งของสหรัฐ ฯ ที่น่าสนใจมาก แม้แต่อลัน กรีนสแปน อ้างถึงก็คือ เพื่อสร้างความสมดุล ให้กับประชาคมโลก ความสมดุลในที่นี่ก็คือความคล่องตัวในการไหลเวียนของเงินระหว่างประเทศ International Capital Flaw เพราะทุกวันนี้ การค้าเงิน การค้าในตลาดทุน ระหว่างประเทศของโลกมันใหญ่กว่าการจะมาส่งออกสินค้าขายกัน เทียบกันไม่ได้เลย
แต่ละวันของโลกค่าเงินเฉพาะค่าเงินตราต่างประเทศอย่างเดียว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ จีดีพีทั้งโลกปีละ 35 ล้านล้านดอลลาร์ โลกค้าเงินไม่ถึง 20 วัน เท่ากับมูลค่าจีดีพีทั้งโลก เรามีสินค้าทางการเงินขณะนี้ ที่เรียกว่า Financial Stock ในรูปแบบต่าง ๆที่มีมูลค่ารวมถึง120 ล้านล้านดอลลาร์
ซึ่ง 120 ล้านล้านดอลลาร์มันใหญ่กว่าจีดีพีของโลก 3 -4เท่าตัว เมื่อเทียบจีดีพีโลกที่อยู่ที่ 35 ล้านดอลลาร์ ก็เพื่อเทียบให้เห็นว่าภาคการเงินของโลกเวลานี้มันใหญ่โตมาก Financial Sector มันใหญ่กว่า Real Sector มาก และ Real sector ไม่ได้ต่อสายสร้างมูลค่าให้กับ Real Sector เป็นหลักเหมือนในอดีต
แต่เป็นการหาประโยชน์กับ Finance Sector (ภาคการเงิน) เป็นการเก็งกำไรค่าเงิน หาประโยชน์จากตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ หรือหาประโยชน์กับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า เช่นซื้อขายตั๋วทองคำ ตั๋วน้ำมัน ตั๋วเหล็ก ทุกรูปแบบ และ หาประโยชน์จากตลาดตราสารอนุพันธ์ที่เป็นตลาดใหญ่มาก ตราสารอนุพันธ์โลกที่มีมูลค่า 150 ล้านล้านดอลลาร์ เครื่องมือบริหารความเสี่ยง ในตัวมันกลับกลายเป็นตัวเสี่ยงเสียเอง ก่อให้เกิดการเก็งกำไร
เจตนารมณ์ของสหรัฐ ฯในการบีบคั้นจีนให้ลอยตัวค่าเงินหยวน ก็คือ เพื่อให้ค่าเงินหยวนถูกเก็งกำไรได้ เป็นการกดดันเพื่อเร่งให้จีนเปิดเสรีทางการเงินเร็วขึ้น นั่นคือปัจจัยหลัก อย่างที่กล่าวว่า ต่อให้เงินหยวนแข็งค่าก็แก้ขาดดุลการค้า ก็แก้ขาดดุลการค้าที่มีกับจีนไม่ได้ โดยสหรัฐ ฯขาดดุลบัญชีเดินสะพัดโดยรวมต่อปีมากถึง 600,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้วัดได้จากการจ้างงานของสหรัฐ 1 ชั่วโมง จ้างคนงานจีนได้ถึง 4-5 วัน ต้นทุนการผลิต สหรัฐ ฯเทียบไม่ได้กับจีนเลย การอ้างว่าเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ฯจึงเป็นความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:56 pm
โดย LOSO
**ผลได้ที่ตามจากหยวนแข็งค่า
หากค่าเงินหยวนเปิดเสรี ซื้อขายได้ และมีธุรกรรมต่อเนื่อง เช่นการบริหารความเสี่ยงว่าด้วยค่าเงิน และการซื้อขายล่วงหน้าเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศอีกเยอะ กระบวนการขับเคลื่อนระบบการเงินต่าง ๆสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สหรัฐ ฯมีความได้เปรียบและเชี่ยวชาญมากที่สุดในโลก มีที่ไหนเก่งเท่า ศูนย์การเงินวอลสตรีทของสหรัฐ ฯ ดังนั้นการเปิดภาคการเงินของจีน โดยการปรับค่าเงินหยวนแข็งขึ้น จึงเป็นตัวกรุยทาง เพิ่มประสิทธิภาพภาคการบริการของสหรัฐ ฯ และภาคบริการที่สำคัญที่สุดก็คือ Finanncial Sector
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ใช่มีเพียง ดุลการค้าที่เป็นไส้ในอย่างเดียวยังมีดุลบริการ ดุลเงินโอน โดยเฉพาะดุลบริการ ภาคการเงินที่สหรัฐ ฯ มีความเชี่ยวชาญมาก สหรัฐ ฯจึงหวังประโยชน์จากธุรกรรมการเงินที่จะขยายตัวอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะจีน เพราะทันทีที่ค่าเงินหยวนลอยตัว จะนำมาสู่ความผันผวนของค่าเงินในสกุลต่าง ๆทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเอเซียตะวันออกอย่างทั่วหน้ากัน ยิ่งเป็นการเอื้อโอกาสให้เหล่าบรรดา Fund Manager (ผู้จัดการกองทุน ) เป็นการข้ามซอตคือไม่ค้าสินค้าระหว่างประเทศ ไม่ค้า Real Sector แต่เป็นการ Finance Sector และไม่น่าแปลกใจว่าการเจรจาผ่าน FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี ) ของสหรัฐ ฯ จึงต้องมีเรื่องการเปิดเสรีทางการเงินพ่วงไปด้วย เป็นแพกเกจของการเจรจา
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:57 pm
โดย LOSO
** มีโอกาสนำไปสู่ความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจโลก ?
ความขัดแย้งระหว่าง 2 อภิมหาอำนาจโลก สหรัฐ จีน เป็นความเสี่ยงตัวหนึ่งของโลก และเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะหากสหรัฐ ฯเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นอีก ผมมองว่าปัจจัยความเสี่ยงที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ ต่อไปจะมากขึ้น สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาของจีน-ญี่ปุ่น , จีน-ไต้หวัน และการเคลื่อนไหวของสหรัฐ ฯที่เข้ามาใกล้ในภูมิภาคนี้
สหรัฐ ฯที่มีแนวร่วมเป็นลูกพี่ใหญ่ของญี่ปุ่น และของไต้หวัน ขณะนี้มีเวียตนามมาสมทบอีก และการเมืองในเอเชีย จากนี้ไป จะมีความครุกกรุ่นและแยกกันไม่ออกระหว่าง ผลประโยชน์ทางอำนาจทางการเมือง และผลประโยชน์ทางอำนาจทางเศรษฐกิจ พวกนี้เป็นสิ่งที่เราต้องประเมิน และแยกให้ออกว่ามหาอำนาจกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ เพื่อะเพิ่มความปลอดภัยให้กับตน ทำให้เราไม่เป็นหญ้าแพรกเมื่อช้างสารชนกัน เราจะได้ไม่แหลกรานไปด้วย ๆ เพราะไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ ที่ประเทศมหาอำนาจเดินเกมการฑูตที่ เอาเปรียบ โจ่งครึ้ม เผชิญหน้าเท่าที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 9:59 pm
โดย LOSO
ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ..............
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 10:09 pm
โดย CK
ค่าเงินเยนก็ได้แข็งขึ้นแตะ 250 เยนต่อดอลลาร์ จนมาแข็งขึ้นมาเป็น 100เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและบัญชีเดินสะพัดกับญี่ปุ่นไม่ได้ ตัวเองยังขาดดุลมากขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นเงินหยวนก็คงแบบเดียวกัน และจีนก็ดูออก
กรณีนี้ไม่น่าจะเหมือนกันครับ ตอนนั้นสหรัฐฯ บีบให้เยนแข็ง ชาวญี่ปุ่นก็ช่วยกันคิด
ว่า ทำไงสินค้าที่เคยผลิตได้ที่ต้นทุน 250 เยน จะต้องผลิตได้ที่ต้นทุน 220 เยน
ถ้าผลิตได้ที่ 220 เยน ก็ต้องลดให้เหลือ 200 เยน ชาว metco ทราบดี
ไปๆ มาๆ ญี่ปุ่นก็เลยผลิตสินค้าได้ที่ 100 เยน จากเมื่อก่อนต้องใช้ 250 เยน
ทำยังไง ราคาสินค้าจากญี่ปุ่นก็ถูกกว่าอเมริกาผลิตเองอยู่ดี
แต่จีนไม่น่าจะกดต้นทุนลงไปได้มากกว่านี้สักเท่าไหร่ครับ
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 10:12 pm
โดย Stock Broker
อ่านจบแล้ว สรุปได้ว่า เกลียดไอ้กันเหมือนเดิม
พี่ใหญ่จีนอย่าไปยอมมัน จำนวนคนเราเยอะกว่าซะอย่าง 5555
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 10:24 pm
โดย ปรัชญา
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 10:32 pm
โดย naris
คุณCKเปลี่ยนเป็นตัวโกงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ :lovl:
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 10:48 pm
โดย CK
Anakin is no more...
Meet Darth Vader haha
888
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 01, 2005 11:31 pm
โดย โป้ง
อย่างที่ผมเคยบอก ตราบใด สหรัฐยังเป็นมหาอำนาจทางการทหารอยู่ ไม่มีวันล้ม
เห็นได้ชัด เมื่อถึงที่สุด ก็นำมาตราการข่มขู่ บีบเค้น มาใช้กับประเทศนั้นๆ
เรื่อง กฎ ความตกลงสนธิสัญญา พวกองค์กร WHO , UN เอาเข้าจริงๆก็อยู่เหนือกฎ อยู่เหนือองค์กรต่างๆ
ฟืด...ฟาด......
เอ้...ว่าไปแล้วที่เสียงลมหายใจเป็นแบบนี้ เพราะกำลังมีความต้องการทางเพ? หรือเปล่า :lol:
888
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2005 12:41 am
โดย CEO
จีนจะโดนรุมกินโต๊ะเหมือนสมัยสงครามฝิ่นหรือเปล่า
สมัยโน้น อังกฤษเอาฝิ่นมาแพร่จนชาวจีนติดกันงอมแงมแล้วก่ฃ็โดนรุมยำทั้งจากเพื่อนบ้านเองและตะวันตก
สมัยนี้ จีนเสพ ระบบทุนนิยมจนติดงอมแงม ชาวจีนติดกับ
สุดท้ายก็โดนรุมยำจากเพื่อนบ้านคือญี่ปุ่นและตะวันตก
ไทยจะเอาตัวรอดเหมือนสมัยโน้นได้หรือเปล่า
ใครจะเป็นนายปรีดี คนต่อไป