สัมภาษณ์พิเศษ - "พอล ครุกแมน"กูรูเศรษฐศาสตร์เตือนภ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 10:36 am
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews. ... 0000066852
สัมภาษณ์พิเศษ"พอล ครุกแมน"กูรูเศรษฐศาสตร์เตือนภัยเอเชีย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2548 01:45 น.

"พอล ครุกแมน" ศาสตราจารย์สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์แหงมหาวิทยาลัย Princeton สหรัฐอเมริกา เดินทางมาบรรยายเรื่อง Warning System; Positioning of Thailand & South East Asia จัดโดย บริษัทไทยเดย์ ดอทคอม จำกัด และบมจ.แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ระหว่างวันที่ 17-18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 17 พ.ค. นักเศรษฐศาสตร์ชื่อก้องโลก ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "สโรชา พรอุดมศักดิ์" เกี่ยวกับอนาคตทิศทางเศรษฐกิจประเทศในเอเชีย "ผู้จัดการออนไลน์"มีรายละอียดมานำเสนอ
ท่านคือคนที่เคยบอกว่ามีสัญญาณเตือนหลายอย่างก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ปี 2540 ท่านเป็นผู้หนึ่งที่บอกว่า โดยพื้นฐานแล้วเอเชียมีเสถียรภาพเฉพาะในด้านแรงงานเท่านั้น ไม่ใช่ผลิตภาพ
ผมว่าการเติบโตในอัตราที่บ้าคลั่งในเอเชียอาคเนย์ช่วงก่อนวิกฤตการณ์นั้นเป็นการเติบโตที่ไม่ยั่งยืน ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างตามมา ตอนนั้นผมเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดวิกฤตการณ์รุนแรงขนาดนั้น ผมคิดว่ามันน่าจะมีอาการสะดุดหรือชะลอตัวลงเท่านั้น
คนอื่น ๆ ต่างพากันมองในแง่ดี ขณะที่ผมมองในแง่ร้ายนิดหน่อย แล้วมันก็กลายเป็นว่าได้เกิดความหายนะรุนแรงขึ้น
สิ่งที่ท่านคาดการณ์ไว้กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าเปรียบเทียบกันเป็นระดับ 1 ถึง 10 เป็นอย่างไร
ถ้าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับ 10 ผมก็คาดการณ์ไว้ในระดับ 2 เท่านั้นครับ ตอนนั้นผมคิดว่าสถานการณ์มันน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบราซิลเมื่อปี 2542 ซึ่งค่าเงินจะอ่อนตัวลงอย่างรุนแรง แต่ไม่คิดว่าผลผลิตจะตกต่ำลงถึง 13 หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่เกิดกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตอนนั้น
พูดถึงสถานการณ์ในขณะนี้ เรามองกันว่าเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น มีภัยคุกคามจากลัทธิก่อการร้าย มีปัญหาเกี่ยวกับค่าเงินหยวนของจีน ในบรรดาปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ท่านคิดว่ามีข้อไหนที่ระบบเศรษฐกิจเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ควรจะระมัดระวังเป็นพิเศษ
มีปัญหาพื้นฐานที่ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน นั่นคือปัญหาด้านดุลยภาพ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน ในภาพรวม ถ้ามองให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่าเงินส่วนหนึ่งไปอยู่กับการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นฟองสบู่อย่างหนึ่ง อีกด้านหนึ่งระบบเศรษฐกิจใหม่ในเอเชียมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล จีนมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่กลุ่มประเทศในเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งประเทศไทย ก็มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเหมือนกัน ทั้งหมดมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯประสบภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นภาวะที่จะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่พิลึกพิลั่น เพราะการไหลของเงินทุนมันผิดทิศทาง มีการไหลของเงินทุนจากประเทศยากจนไปสู่ประเทศร่ำรวย
ความจริงแล้วเงินทุนในภาคเอกชนส่วนใหญ่พยายามที่จะไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ก็ถูกขัดขวางโดยทุนสำรองจำนวนมหาศาลที่สะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ภาวะเช่นนี้เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะเกิดการแตกหักขึ้น สิ่งที่ผมกังวลเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจใหม่ในเอเชียคือการเติบโตที่พึ่งพาอาศัยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากเกินไป รวมทั้งประเทศที่ขาดดุลด้วย ทั้งสองฝ่ายอาจมีเหตุผลทั้งในทางเศรษฐกิจและเหตุผลทางการเมือง ที่จะผลักดันให้มีการเติบโตต่อไปในลักษณะนั้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะต้องมีการปรับตัว ปัญหาก็คือว่าการปรับตัวนั้นมันจะส่งผลออกมาอย่างไร
ที่ว่ามันเป็นไปได้ไม่นานนั้น พอจะอธิบายได้มั้ยว่าเรามีเวลาสักเท่าไหร่ กรอบเวลาในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
เป็นเรื่องที่อธิบายยากมากครับ มีหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่เราพูดถึงกันบ่อย ๆ ว่า สิ่งที่ดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืนไม่ได้มันจะต้องหยุด ปัญหาก็คือมันจะหยุดเมื่อไหร่ ทุกท่านก็พยายามจะคำนวณออกมาเป็นตัวเลขแล้วก็ประมวลว่า มันจะดำเนินต่อไปได้สัก 5 ปีหรือไม่ แต่ผมว่ามันไม่น่าจะถึง 5 ปี
อะไรจะเกิดขึ้นกับทุนสำรองของจีนที่สะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อะไรจะเกิดขึ้นกับราคาที่พักอาศัยในสหรัฐฯ อะไรจะเกิดขึ้นกับหนี้ต่างชาติของสหรัฐฯ เรื่องเหล่านี้เราไม่อาจคาดคำนวณเวลาออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้
ผมว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในทศวรรษนี้จะต้องเกิดการปรับตัวกันครั้งใหญ่ ซึ่งคงจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน
เมื่อพูดถึงจีนในฐานะมหาอำนาจเกิดใหม่ในเอเชีย จีนจะช่วยถ่วงดุลสหรัฐฯได้อย่างไร หรือจะทำให้โครงสร้างทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
แน่นอน จีนไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพการผลิตสูงเท่าสหรัฐฯในการที่จะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก เพราะจีนมีประชากรมาก และ ณ เวลานี้ถ้าคุณดูจากการไหลของการค้า คุณจะเห็นว่าหลาย ๆ ประเทศ ทั้งที่เห็นได้ชัดเจนและเห็นไม่ค่อยชัด เริ่มจะเปลี่ยนศูนย์กลางจากสหรัฐฯไปเป็นจีนกันแล้ว คุณจะเห็นได้จากกรณีของออสเตรเลีย และบางประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกาก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางกันบ้างแล้ว
ดังนั้น ถ้ามองกันในแง่ของอิทธิพลทางเศรษฐกิจ จีนก็เริ่มจะมีบทบาทเข้าไปถ่วงดุลสหรัฐฯบ้างแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่เชื่อว่าในอีก 15-20 ปีข้างหน้า จีนจะไม่มีอัตราเติบโตมากกว่าสหรัฐฯหลายเท่าตัว
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดร้ายแรงเกิดขึ้นเสียก่อน เชื่อได้เลยว่าจีนจะมีสถานภาพใหม่ ที่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเทียบเท่ากับสหรัฐฯอย่างแน่นอน
เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกันในฐานะมหาอำนาจทางทหารด้วยแล้ว ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร แต่ในทางการค้าซึ่งเป็นเรื่องที่ผมถนัดกว่า คุณจะเห็นได้ว่าการถ่วงดุลมันเกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ด้าน หลายประเทศเริ่มให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนมากกว่าความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯแล้ว
สหรัฐฯจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
โดยภาพรวมแล้ว สิ่งที่สหรัฐฯจะต้องทำก็คือยอมรับความเปลี่ยนแปลงโดยดุษณี แต่ผมก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนักเกี่ยวกับตรรกะในนโยบายของสหรัฐฯในปัจจุบัน
ในส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯนั้น มีแนวโน้มค่อนข้างสูงว่า จะมีความเชื่อมั่นในพลังอำนาจของตัวเองเกินกว่าที่มีอยู่จริง มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถใช้อิทธิพลข่มขู่ประเทศอื่น ๆ ได้ ผมไม่ได้พูดถึงกรณีสงครามอิรักกรณีเดียว แต่มันมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า สหรัฐฯนั้นสามารถใช้อิทธิพลข่มขู่ให้ประเทศต่าง ๆ เดินตามกรอบที่ขีดไว้ได้
แต่ถ้ามองในด้านการค้า การไหลของความช่วยเหลือ คุณจะเห็นได้ว่าสหรัฐฯไม่ได้อยู่ในสถานะที่โดดเด่นเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
ไม่ทราบว่าท่านมีข้อมูลเกี่ยวกับข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐที่กำลังเจรจากันอยู่ในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน
ผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไรนักนะครับ
ท่านมีข้อวิตกกังวลสำหรับประเทศไทยบ้างมั้ย ดูจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่เคยทำความตกลงกับสหรัฐมาก่อนหน้านี้ เปรียบเทียบกับสถานภาพที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน มีประเด็นไหนที่น่ากังวลบ้างมั้ย คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs กล่าวกันว่าเราจะต้องระมัดระวังกันให้มากเป็นพิเศษในการเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐ ท่านเห็นด้วยมั้ยคะ
คุณต้องระวังให้มากเป็นพิเศษครับ เพราะสหรัฐฯเคยใช้กลยุทธที่เอาเปรียบคู่เจรจามาแล้ว อย่างเช่นกรณีข้อตกลงกับออสเตรเลีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชาวออสเตรเลียตกเป็นฝ่ายค่อนข้างเสียเปรียบ
CAFTA ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกากลาง ซึ่งยังคาราคาซังอยู่ก็ไม่ได้เป็นข้อตกลงที่ดีนักสำหรับชาวอเมริกากลาง
สหรัฐมักจะยัดเยียดเงื่อนไขเรื่องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่คู่เจรจาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อกันเท่าไรนัก
สัมภาษณ์พิเศษ"พอล ครุกแมน"กูรูเศรษฐศาสตร์เตือนภัยเอเชีย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2548 01:45 น.
"พอล ครุกแมน" ศาสตราจารย์สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์แหงมหาวิทยาลัย Princeton สหรัฐอเมริกา เดินทางมาบรรยายเรื่อง Warning System; Positioning of Thailand & South East Asia จัดโดย บริษัทไทยเดย์ ดอทคอม จำกัด และบมจ.แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ระหว่างวันที่ 17-18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 17 พ.ค. นักเศรษฐศาสตร์ชื่อก้องโลก ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "สโรชา พรอุดมศักดิ์" เกี่ยวกับอนาคตทิศทางเศรษฐกิจประเทศในเอเชีย "ผู้จัดการออนไลน์"มีรายละอียดมานำเสนอ
ท่านคือคนที่เคยบอกว่ามีสัญญาณเตือนหลายอย่างก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ปี 2540 ท่านเป็นผู้หนึ่งที่บอกว่า โดยพื้นฐานแล้วเอเชียมีเสถียรภาพเฉพาะในด้านแรงงานเท่านั้น ไม่ใช่ผลิตภาพ
ผมว่าการเติบโตในอัตราที่บ้าคลั่งในเอเชียอาคเนย์ช่วงก่อนวิกฤตการณ์นั้นเป็นการเติบโตที่ไม่ยั่งยืน ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างตามมา ตอนนั้นผมเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดวิกฤตการณ์รุนแรงขนาดนั้น ผมคิดว่ามันน่าจะมีอาการสะดุดหรือชะลอตัวลงเท่านั้น
คนอื่น ๆ ต่างพากันมองในแง่ดี ขณะที่ผมมองในแง่ร้ายนิดหน่อย แล้วมันก็กลายเป็นว่าได้เกิดความหายนะรุนแรงขึ้น
สิ่งที่ท่านคาดการณ์ไว้กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าเปรียบเทียบกันเป็นระดับ 1 ถึง 10 เป็นอย่างไร
ถ้าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับ 10 ผมก็คาดการณ์ไว้ในระดับ 2 เท่านั้นครับ ตอนนั้นผมคิดว่าสถานการณ์มันน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบราซิลเมื่อปี 2542 ซึ่งค่าเงินจะอ่อนตัวลงอย่างรุนแรง แต่ไม่คิดว่าผลผลิตจะตกต่ำลงถึง 13 หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่เกิดกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตอนนั้น
พูดถึงสถานการณ์ในขณะนี้ เรามองกันว่าเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น มีภัยคุกคามจากลัทธิก่อการร้าย มีปัญหาเกี่ยวกับค่าเงินหยวนของจีน ในบรรดาปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ท่านคิดว่ามีข้อไหนที่ระบบเศรษฐกิจเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ควรจะระมัดระวังเป็นพิเศษ
มีปัญหาพื้นฐานที่ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน นั่นคือปัญหาด้านดุลยภาพ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน ในภาพรวม ถ้ามองให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่าเงินส่วนหนึ่งไปอยู่กับการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นฟองสบู่อย่างหนึ่ง อีกด้านหนึ่งระบบเศรษฐกิจใหม่ในเอเชียมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล จีนมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่กลุ่มประเทศในเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งประเทศไทย ก็มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเหมือนกัน ทั้งหมดมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯประสบภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นภาวะที่จะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่พิลึกพิลั่น เพราะการไหลของเงินทุนมันผิดทิศทาง มีการไหลของเงินทุนจากประเทศยากจนไปสู่ประเทศร่ำรวย
ความจริงแล้วเงินทุนในภาคเอกชนส่วนใหญ่พยายามที่จะไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ก็ถูกขัดขวางโดยทุนสำรองจำนวนมหาศาลที่สะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ภาวะเช่นนี้เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะเกิดการแตกหักขึ้น สิ่งที่ผมกังวลเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจใหม่ในเอเชียคือการเติบโตที่พึ่งพาอาศัยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากเกินไป รวมทั้งประเทศที่ขาดดุลด้วย ทั้งสองฝ่ายอาจมีเหตุผลทั้งในทางเศรษฐกิจและเหตุผลทางการเมือง ที่จะผลักดันให้มีการเติบโตต่อไปในลักษณะนั้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะต้องมีการปรับตัว ปัญหาก็คือว่าการปรับตัวนั้นมันจะส่งผลออกมาอย่างไร
ที่ว่ามันเป็นไปได้ไม่นานนั้น พอจะอธิบายได้มั้ยว่าเรามีเวลาสักเท่าไหร่ กรอบเวลาในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
เป็นเรื่องที่อธิบายยากมากครับ มีหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่เราพูดถึงกันบ่อย ๆ ว่า สิ่งที่ดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืนไม่ได้มันจะต้องหยุด ปัญหาก็คือมันจะหยุดเมื่อไหร่ ทุกท่านก็พยายามจะคำนวณออกมาเป็นตัวเลขแล้วก็ประมวลว่า มันจะดำเนินต่อไปได้สัก 5 ปีหรือไม่ แต่ผมว่ามันไม่น่าจะถึง 5 ปี
อะไรจะเกิดขึ้นกับทุนสำรองของจีนที่สะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อะไรจะเกิดขึ้นกับราคาที่พักอาศัยในสหรัฐฯ อะไรจะเกิดขึ้นกับหนี้ต่างชาติของสหรัฐฯ เรื่องเหล่านี้เราไม่อาจคาดคำนวณเวลาออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้
ผมว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในทศวรรษนี้จะต้องเกิดการปรับตัวกันครั้งใหญ่ ซึ่งคงจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน
เมื่อพูดถึงจีนในฐานะมหาอำนาจเกิดใหม่ในเอเชีย จีนจะช่วยถ่วงดุลสหรัฐฯได้อย่างไร หรือจะทำให้โครงสร้างทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
แน่นอน จีนไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพการผลิตสูงเท่าสหรัฐฯในการที่จะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก เพราะจีนมีประชากรมาก และ ณ เวลานี้ถ้าคุณดูจากการไหลของการค้า คุณจะเห็นว่าหลาย ๆ ประเทศ ทั้งที่เห็นได้ชัดเจนและเห็นไม่ค่อยชัด เริ่มจะเปลี่ยนศูนย์กลางจากสหรัฐฯไปเป็นจีนกันแล้ว คุณจะเห็นได้จากกรณีของออสเตรเลีย และบางประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกาก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางกันบ้างแล้ว
ดังนั้น ถ้ามองกันในแง่ของอิทธิพลทางเศรษฐกิจ จีนก็เริ่มจะมีบทบาทเข้าไปถ่วงดุลสหรัฐฯบ้างแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่เชื่อว่าในอีก 15-20 ปีข้างหน้า จีนจะไม่มีอัตราเติบโตมากกว่าสหรัฐฯหลายเท่าตัว
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดร้ายแรงเกิดขึ้นเสียก่อน เชื่อได้เลยว่าจีนจะมีสถานภาพใหม่ ที่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเทียบเท่ากับสหรัฐฯอย่างแน่นอน
เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกันในฐานะมหาอำนาจทางทหารด้วยแล้ว ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร แต่ในทางการค้าซึ่งเป็นเรื่องที่ผมถนัดกว่า คุณจะเห็นได้ว่าการถ่วงดุลมันเกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ด้าน หลายประเทศเริ่มให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนมากกว่าความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯแล้ว
สหรัฐฯจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
โดยภาพรวมแล้ว สิ่งที่สหรัฐฯจะต้องทำก็คือยอมรับความเปลี่ยนแปลงโดยดุษณี แต่ผมก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนักเกี่ยวกับตรรกะในนโยบายของสหรัฐฯในปัจจุบัน
ในส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯนั้น มีแนวโน้มค่อนข้างสูงว่า จะมีความเชื่อมั่นในพลังอำนาจของตัวเองเกินกว่าที่มีอยู่จริง มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถใช้อิทธิพลข่มขู่ประเทศอื่น ๆ ได้ ผมไม่ได้พูดถึงกรณีสงครามอิรักกรณีเดียว แต่มันมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า สหรัฐฯนั้นสามารถใช้อิทธิพลข่มขู่ให้ประเทศต่าง ๆ เดินตามกรอบที่ขีดไว้ได้
แต่ถ้ามองในด้านการค้า การไหลของความช่วยเหลือ คุณจะเห็นได้ว่าสหรัฐฯไม่ได้อยู่ในสถานะที่โดดเด่นเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
ไม่ทราบว่าท่านมีข้อมูลเกี่ยวกับข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐที่กำลังเจรจากันอยู่ในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน
ผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไรนักนะครับ
ท่านมีข้อวิตกกังวลสำหรับประเทศไทยบ้างมั้ย ดูจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่เคยทำความตกลงกับสหรัฐมาก่อนหน้านี้ เปรียบเทียบกับสถานภาพที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน มีประเด็นไหนที่น่ากังวลบ้างมั้ย คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs กล่าวกันว่าเราจะต้องระมัดระวังกันให้มากเป็นพิเศษในการเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐ ท่านเห็นด้วยมั้ยคะ
คุณต้องระวังให้มากเป็นพิเศษครับ เพราะสหรัฐฯเคยใช้กลยุทธที่เอาเปรียบคู่เจรจามาแล้ว อย่างเช่นกรณีข้อตกลงกับออสเตรเลีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชาวออสเตรเลียตกเป็นฝ่ายค่อนข้างเสียเปรียบ
CAFTA ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกากลาง ซึ่งยังคาราคาซังอยู่ก็ไม่ได้เป็นข้อตกลงที่ดีนักสำหรับชาวอเมริกากลาง
สหรัฐมักจะยัดเยียดเงื่อนไขเรื่องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่คู่เจรจาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อกันเท่าไรนัก