สองด้านของ HMPRO
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 16, 2005 8:25 pm
สืบเนื่องจากกระทู้ของคุณ คัดท้าย ครับผมขออนุญาติเสนอ มุมมองสองด้านของ HMPRO ดังนี้ครับ
สองด้านของ HMPRO
หมายเหตุ : ผมมีการลงทุนใน HMPRO อยู่ข้อความที่เขียนอาจไม่เป็นกลาง ไม่ควรเชื่อถ้าท่านยังไม่ได้ไตร่ตรอง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนเห็นสิ่งที่ผมอาจมองข้าม ช่วยกรุณาชี้แนะด้วยนะครับ ผมเองยังต้องเรียนรู้อีกมากครับ ขอบพระคุณ
ความเสี่ยงในอนาคต
1) เรืองการเพิ่มรายได้จากธุรกิจพื้นที่ retail ให้เช่า จากการขยาย store สู่ concept Market Village ทำให้ HMPRO มีพื้นที่ให้เช่ามากกว่าเดิม เช่นสาขาหัวหิน น่าจะมีพื้นที่มากกว่า 50000 ตรม คาดว่าเป็น HMPRO แค่ไม่เกิน 7500 ตรม ที่เหลือเป็นพื้นที่ให้เช่า ก็คงต้องมาดูกันละครับว่าใครจะมาเช่า พื้นที่มากมายขนาดนี้ แล้ว HMPRO จะบริหารไหวไหม นี่สาขาเดียว ถ้ารวม บางนา และ เพชรเกษม เข้าด้วยกัน นี่เป็น แสนกว่าตารางเมตรเลยนะครับ
2) การขยายงานอย่างรวดเร็ว อาจเกิดการขัดแย้งภายใน เนื่องจากบริษัทต้องทำการจัดซื้อ จัดจ้างเป็นจำนวนมาก ความโปร่งใสในการบริหารงานอาจไม่รัดกุมเหมือนเดิม สาขาเดิม กับ สาขาใหม่ อาจมีการแย่งยอดขายกันเอง เช่น สาขาเพชรเกษม กับ สาขา บางแค
3) สาขาหัวหิน สร้างบนพื้นที่ซื้อขาด ผมเองยังห่วงว่าถ้า HMPRO หันมาซื้อที่ และไม่เช่าแบบแต่ก่อนจะหาเงินจากไหนมาขยายสาขา ทุนจะต้องเพิ่มไหม? หรือจะกู้เงิน หรือ จะเอาแบบ TICON ดี แปลง สินทรัพย์เป็นทุน
4) สาขาใหม่สร้างบนพื้นที่ที่มีอนาคตแต่ชุมชนยังไม่หนาแน่น เช่นสาขา บางนา-สุวรรณภูมิ สร้างบนพื้นที่ที่กำลังมีการก่อสร้างสูง แต่ว่ากว่าหมู่บ้านจะสร้างเสร็จมีคนมาอยู่อาศัยจริง คงใช้เวลานาน ปี สองปี แรกอาจไม่เข้าเป้า เช่นเดียวกันกับทำเลของสาขา พระรามห้า
5) ความเสี่ยงจากดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และ การอ่อนตัวของการบริโภคของประชาชน HMPRO เรงขยายงานเป็นอย่างมากในปี 48 และ 49 เห็นได้จากกระแสเงินสดในการลงทุนเป็นลบตลอด ถ้าสภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ ในอนาคตอาจทำให้ยอดขายไม่เข้าเป้า และ ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
โอกาสในอนาคต
1) HMPRO อยู่ภายใต้ กลุ่ม LH ที่มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจมากมาย ทั้งยังมี Siam Retail Co. ที่เคยมีประสพการณ์ในการบริหาร Fashion Island ที่รามอินทรา น่าจะช่วย HMPRO ในการหาผู้เช่าที่เป็นแม่เหล็กได้ และมีข่าวว่า TESCO LOTUS น่าจะมาเช่าที่ ที่สาขาบางนา และ หัวหินด้วย
2) การมุ่งขายสินค้าพร้อมบริการมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต เพราะลูกค้าของ HMPRO โดยส่วนมากถึงรู้ว่าแพงกว่า แต่ก็ซื้อเพราะลดภาระยุ่งยาก เช่นมีการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อเกิน 5000 บาท คืนได้ถ้าไม่พอใจ มีการช่วยออกแบบ และ ติดตั้ง ลูกค้าส่วนมากเน้นการให้บริการมากกว่าราคาอย่างเดียว และที่ว่าซื้อที่ LOTUS BIGC นี่ถูกกว่า ก็ไม่จริงเสมอไป เพราะเขาถูกมากๆเป็นบางอย่าง บางอย่างแพงกว่ามาก แล้วแต่เขาทำ promotion ก็เห็นคนไปกันแน่นทุกเสาร์ อาทิตย์
3) การรุกเข้าสู่ธุรกิจพื้นที่ให้เช่าน่าจะทำให้กำไรของ HMPRO เติบโตอย่างมากในอนาคตหากทำสำเร็จ ทั้งนี้ธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจกำไรน้อย แต่ให้ Cash Flow ที่สูง Margin ของค้าปลีกอยู่แค่ประมาณ 3.5% ต่างกับธุรกิจให้เช่าพื้นที่คือ CPN ที่มี net profit margin อยู่ที่ 20% มาโดยตลอด ลองดูข้อมูลของ CPN กับ SF ได้
4) ธุรกิจค้าปลีก แบบ modern trade เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากไม่ต้องพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ และ ไม่ต้องทำการประมูล สำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้างเป็น สินค้าที่ลูกค้าต้องการ คำแนะนำก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่เหมือนสินค้า อุปโภค บริโภคทั่วไปที่คนซื้อเพราะ brand และ โฆษณา เป็นหลัก HMPRO ได้ทำการสร้างศูนย์ฝึกอบรมเพื่อเตรียมพนักงานสำหรับการขยายสาขาในอนาคตไว้แล้ว
5) HMPRO ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก economies of scale ได้อีกมากเพราะตั้งเป้าไว้ 30 สาขาในปี 2550 ตอนนี้มีแค่ 18 สาขา และสาขาหลังๆ มีแนวโน้มว่าจะมี sales area มากกว่าสาขาแรกๆ ดังนั้น HMPRO น่าจะทำ net profit margin จากธุรกิจค้าปลีกได้มากขึ้น เมื่อรวมกับ กำไรจากพื้นที่เช่าที่สูงกว่า และ มีกำไรจากรายได้อื่นๆ (เช่น การจัด Home Pro Expo และ การจัด co-promotion) ซึ่งรายได้อื่นๆ มีการเติบโตอย่างมากใน Q105 ผมหวังว่า Total Net Profit Margin ที่มากกว่า 5% น่าจะเป็นไปได้ในอนาคต
ผิดพลาดโปรดอภัย มีอะไรช่วยแนะนำ ขอบคุณครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน
สองด้านของ HMPRO
หมายเหตุ : ผมมีการลงทุนใน HMPRO อยู่ข้อความที่เขียนอาจไม่เป็นกลาง ไม่ควรเชื่อถ้าท่านยังไม่ได้ไตร่ตรอง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนเห็นสิ่งที่ผมอาจมองข้าม ช่วยกรุณาชี้แนะด้วยนะครับ ผมเองยังต้องเรียนรู้อีกมากครับ ขอบพระคุณ
ความเสี่ยงในอนาคต
1) เรืองการเพิ่มรายได้จากธุรกิจพื้นที่ retail ให้เช่า จากการขยาย store สู่ concept Market Village ทำให้ HMPRO มีพื้นที่ให้เช่ามากกว่าเดิม เช่นสาขาหัวหิน น่าจะมีพื้นที่มากกว่า 50000 ตรม คาดว่าเป็น HMPRO แค่ไม่เกิน 7500 ตรม ที่เหลือเป็นพื้นที่ให้เช่า ก็คงต้องมาดูกันละครับว่าใครจะมาเช่า พื้นที่มากมายขนาดนี้ แล้ว HMPRO จะบริหารไหวไหม นี่สาขาเดียว ถ้ารวม บางนา และ เพชรเกษม เข้าด้วยกัน นี่เป็น แสนกว่าตารางเมตรเลยนะครับ
2) การขยายงานอย่างรวดเร็ว อาจเกิดการขัดแย้งภายใน เนื่องจากบริษัทต้องทำการจัดซื้อ จัดจ้างเป็นจำนวนมาก ความโปร่งใสในการบริหารงานอาจไม่รัดกุมเหมือนเดิม สาขาเดิม กับ สาขาใหม่ อาจมีการแย่งยอดขายกันเอง เช่น สาขาเพชรเกษม กับ สาขา บางแค
3) สาขาหัวหิน สร้างบนพื้นที่ซื้อขาด ผมเองยังห่วงว่าถ้า HMPRO หันมาซื้อที่ และไม่เช่าแบบแต่ก่อนจะหาเงินจากไหนมาขยายสาขา ทุนจะต้องเพิ่มไหม? หรือจะกู้เงิน หรือ จะเอาแบบ TICON ดี แปลง สินทรัพย์เป็นทุน
4) สาขาใหม่สร้างบนพื้นที่ที่มีอนาคตแต่ชุมชนยังไม่หนาแน่น เช่นสาขา บางนา-สุวรรณภูมิ สร้างบนพื้นที่ที่กำลังมีการก่อสร้างสูง แต่ว่ากว่าหมู่บ้านจะสร้างเสร็จมีคนมาอยู่อาศัยจริง คงใช้เวลานาน ปี สองปี แรกอาจไม่เข้าเป้า เช่นเดียวกันกับทำเลของสาขา พระรามห้า
5) ความเสี่ยงจากดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และ การอ่อนตัวของการบริโภคของประชาชน HMPRO เรงขยายงานเป็นอย่างมากในปี 48 และ 49 เห็นได้จากกระแสเงินสดในการลงทุนเป็นลบตลอด ถ้าสภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ ในอนาคตอาจทำให้ยอดขายไม่เข้าเป้า และ ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
โอกาสในอนาคต
1) HMPRO อยู่ภายใต้ กลุ่ม LH ที่มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจมากมาย ทั้งยังมี Siam Retail Co. ที่เคยมีประสพการณ์ในการบริหาร Fashion Island ที่รามอินทรา น่าจะช่วย HMPRO ในการหาผู้เช่าที่เป็นแม่เหล็กได้ และมีข่าวว่า TESCO LOTUS น่าจะมาเช่าที่ ที่สาขาบางนา และ หัวหินด้วย
2) การมุ่งขายสินค้าพร้อมบริการมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต เพราะลูกค้าของ HMPRO โดยส่วนมากถึงรู้ว่าแพงกว่า แต่ก็ซื้อเพราะลดภาระยุ่งยาก เช่นมีการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อเกิน 5000 บาท คืนได้ถ้าไม่พอใจ มีการช่วยออกแบบ และ ติดตั้ง ลูกค้าส่วนมากเน้นการให้บริการมากกว่าราคาอย่างเดียว และที่ว่าซื้อที่ LOTUS BIGC นี่ถูกกว่า ก็ไม่จริงเสมอไป เพราะเขาถูกมากๆเป็นบางอย่าง บางอย่างแพงกว่ามาก แล้วแต่เขาทำ promotion ก็เห็นคนไปกันแน่นทุกเสาร์ อาทิตย์
3) การรุกเข้าสู่ธุรกิจพื้นที่ให้เช่าน่าจะทำให้กำไรของ HMPRO เติบโตอย่างมากในอนาคตหากทำสำเร็จ ทั้งนี้ธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจกำไรน้อย แต่ให้ Cash Flow ที่สูง Margin ของค้าปลีกอยู่แค่ประมาณ 3.5% ต่างกับธุรกิจให้เช่าพื้นที่คือ CPN ที่มี net profit margin อยู่ที่ 20% มาโดยตลอด ลองดูข้อมูลของ CPN กับ SF ได้
4) ธุรกิจค้าปลีก แบบ modern trade เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากไม่ต้องพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ และ ไม่ต้องทำการประมูล สำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้างเป็น สินค้าที่ลูกค้าต้องการ คำแนะนำก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่เหมือนสินค้า อุปโภค บริโภคทั่วไปที่คนซื้อเพราะ brand และ โฆษณา เป็นหลัก HMPRO ได้ทำการสร้างศูนย์ฝึกอบรมเพื่อเตรียมพนักงานสำหรับการขยายสาขาในอนาคตไว้แล้ว
5) HMPRO ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก economies of scale ได้อีกมากเพราะตั้งเป้าไว้ 30 สาขาในปี 2550 ตอนนี้มีแค่ 18 สาขา และสาขาหลังๆ มีแนวโน้มว่าจะมี sales area มากกว่าสาขาแรกๆ ดังนั้น HMPRO น่าจะทำ net profit margin จากธุรกิจค้าปลีกได้มากขึ้น เมื่อรวมกับ กำไรจากพื้นที่เช่าที่สูงกว่า และ มีกำไรจากรายได้อื่นๆ (เช่น การจัด Home Pro Expo และ การจัด co-promotion) ซึ่งรายได้อื่นๆ มีการเติบโตอย่างมากใน Q105 ผมหวังว่า Total Net Profit Margin ที่มากกว่า 5% น่าจะเป็นไปได้ในอนาคต
ผิดพลาดโปรดอภัย มีอะไรช่วยแนะนำ ขอบคุณครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน