สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 961

โพสต์

สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทันหุ้น

ANAN มั่นใจเทรดวันแรกคึก การันตียืนเหนือจองหายห่วง
'ชานนท์ เรืองกฤตยา' ผู้บริหาร ANAN มั่นใจเข้าเทรดวันแรกวันนี้ (7 ธ.ค.) คึกคัก
หลังนักลงทุนเชื่อมั่นศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้านบล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการ
เงินลั่นช่วงเปิดจองซื้อหุ้นอวดความต้องการล้น ทำให้เชื่อว่า ANAN เข้าเทรดราคาจะยืนเหนือ
จองหายห่วง

UTP เด้งรับผลงานทะลุ 100 ล. ลุ้น EIA เพิ่มผลิต 2.5 แสนตัน
UTP ลุ้น EIA อนุมัติหวังเร่งเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตสู่ระดับ 2.5 แสนตันต่อปี
พร้อมคาดกำไร Q4/2555 ทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อน แม้ปิดปรับปรุงเครื่องจักรครั้งใหญ่
พร้อมวางเป้ารายได้ปี 2556 เติบโตระดับ 10% ส่วนปีนี้ทะลุ 100 ล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์
เทคนิคส่องราคาหุ้น UTP ยังขาขึ้น วางแนวต้าน 9.80 บาท

ASIMAR ฝรั่งชวนโกอินเตอร์ งานใหม่จ่อหน้าประตู 1.8 พันล.
ASIMAR ชูคอฝรั่งขอแชร์ส่วนแบ่งหุ้นบริษัทย่อยเชื่อการเจรจาวินวิน พร้อมปู
พรมธุรกิจซ่อมเรือรับ AEC จับตาปี 2556 คว้างานใหญ่ดัน Backlog พุ่ง 1.5-1.8 พันล้านบาท
เร่งขยายอู่อาซิม่า 1 พร้อมรับงานทันที ด้านงบไตรมาส 4/2555 ก้าวกระโดดจากช่วงเดียวกัน
พร้อมแจกปันผลยิลด์ 7% เป้า 3.40 บาท

WORK ลัดฟ้าโรดโชว์สิงคโปร์ ตั้งธงรายได้ปี 56 โต 31%-เป้า 40 บ.
WORK เหินฟ้าบินเดี่ยวโรดโชว์สิงคโปร์ เชื่อนักลงทุนตอบรับเพียบ ขณะที่ผลงานปีนี้
คาดโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รายได้แตะ 2 พันล้านบาท หลังธุรกิจดาวเทียมหนุน ฟากโบรกส่อง
ปี 2556 กวาดกำไร 570 ล้านบาท เชียร์ 'ซื้อ' ให้เป้า 40 บาท

ที่มารูปภาพ
เรียบเรียง โดย ประน้อม บุญร่วม


ที่มารูปภาพ

7/12/2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 962

โพสต์

สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น

CIMBปิดดีลซื้อBAY ถก‘ธปท.’ขอสว็อปหุ้น–เว้นเทนเดอร์
ผู้บริหารซีไอเอ็มบีกรุ๊ปพบแบงก์ชาติ หารือแผนควบรวมกิจการกับ BAY เตรียมตัวก่อน
ซื้อหุ้นจากกลุ่มจีอี 25.3 พร้อมขอยกเว้นเทนเดอร์หุ้นกรุงศรีฯ จากสำนักงานก.ล.ต. คาดราคา
CIMBT พุ่งก่อนรวมกิจการ นำหุ้นมาสว็อป

PTTจ่ายเช็ค6หมื่นล้าน ซื้อหุ้นเพิ่มทุนปตท.สผ.
'ปตท.' ซื้อหุ้นเพิ่มทุน PTTEP กว่า 6 หมื่นล้านบาท “สุรงค์” ลั่นการเงินยังแกร่ง มี
เงินสดเหลืออีก 3-4 หมื่นล้านบาท ชี้แม้จะเพิ่มราคาขาย NGV แต่ PTT ยังคงขาดทุนเหมือน
เดิม วงการเงินย้ำ PTTEP เพิ่มทุนสำเร็จแน่ กองทุนจองซื้อล้น

UACร่วมทุนQTC ลุยผุดโรงไฟฟ้า กำไรปีนี้130ล.
UAC ศึกษาร่วมทุน QTC ตั้งโรงไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ สรุป Q1/56 กำไรปีนี้พุ่ง 130
ล้านบาท แม้รายได้พลาดเป้า 1 พันล้านบาท เหตุมีปัญหาการขนส่งสินค้าล่าช้า แย้มปีหน้าเติบโต
25-30% จากปีนี้หลังมีโครงการรอรับรู้รายได้เพียบ

'เจ้าสัวธนินท์'แรง! ลงทุนแซงเสี่ยเจริญ
สำนักข่าว Bloomberg รายงานนักธุรกิจไทยซื้อกิจการในต่างประเทศ มากเป็นอันดับ
3 ของโลกรองจากญี่ปุ่นและจีน ด้วยมูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เจ้าสัว 'ธนินท์' ใช้เม็ด
เงินมากสุด ด้านหุ้น BBL วิ่งรับข่าว กลุ่มซีพีกู้เงินซื้อประกันผิงอัน 2.8 แสนล้านบาท

WHAลูกค้ารอเซ็นสัญญา10ราย ทุ่ม 4 พันล้านเพิ่มพื้นที่เช่า ดันรายได้ปีหน้าโต 30%
WHA ย้ำเป้ารายได้ปี 56 เติบโต 30% จากปีนี้ที่คาดจะทำได้ 2,200 ล้านบาท ทุ่ม
4,000 ล้านบาท ขยายคลังสินค้า 2-3 แสนตารางเมตร รับลูกค้าใหม่ที่รอเซ็นสัญญากว่า 10 ราย
คาดเซ็นได้ภายในปีหน้า 70% ประมาณ 2.8 แสนตารางเมตร เล็งบุ๊ครายได้จากการขาย
สินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ 2,000 ล้านบาทในไตรมาส 1/56

ที่มา รูปภาพ

เรียบเรียง โดย ประน้อม บุญร่วม
ที่มา รูปภาพ
7/12/2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 963

โพสต์

โลกร้อนเข้าขั้นวิกฤติ !!!

Dec 7th, 2012

รูปภาพ


ยูเอ็น เผย น้ำแข็งขั้วโลกละลายและซูเปอร์สตอร์ม เป็นสัญญาณสำคัญที่กำลังบอกให้โลกรู้ว่า ภาวะโลกร้อนกำลังเข้าขั้นวิกฤติ มนุษย์ควรลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอีก

สำนักงานจัดการด้านบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) เผยระดับน้ำทะเลมีวี่แววจะเพิ่มสูงอย่างน้อย 8 นิ้วภายในปี 2100 ส่งผลให้น้ำท่วมชายฝั่งทะเลทั่วโลก

จากรายงานต่างๆ ที่ทางคณะกรรมการได้นำมาเปิดเผยในที่ประชุมว่าด้วยเรื่องโลกร้อน ที่กรุงโดฮาของกาตาร์ ว่า “ภาวะโลกร้อนตอนนี้กำลังเข้าขั้นวิกฤติ และนี่คือตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก

เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายในปริมาณที่สูงขึ้น ส่งผลให้สภาพอากาศทั่วโลกแปรปรวน ไปจนถึงเหตุภัยพิบัติครั้งร้ายแรงอย่างเฮอริเคนแซนดี้ที่พัดถล่มสหรัฐฯ เหตุการณ์เหล่านี้กำลังส่งสัญญาณให้เรารู้ว่า

เราต้องทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจังแล้ว ที่ผ่านมาโลกเราต้องเผชิญกับความแปรปรวนด้านสภาพอากาศทั่วโลก และทุกคนก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ถ้าหากมนุษย์ไม่ลงมือทำอะไรเพื่อรักษาโลกตอนนี้”

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนว่า ตอนนี้มหาสมุทรทั่วโลกมีแนวโน้มสูงที่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่วัดได้ในปี 1992 อย่างน้อย 8 นิ้ว แต่ไม่เกิน 2 เมตร ภายในปี 2100

สาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าว มาจากภาวะโลกร้อนได้ทำให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลายอย่างรวดเร็ว และหากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงดังที่คาดการณ์ไว้

จะทำให้ประชาชนกว่า 8 ล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ และนี่ยังไม่รวมกับประชาชนประเทศอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเล ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมหนักบริเวณชายฝั่งในอนาคต

ดูเหมือนว่าภาวะโลกร้อนนี้จะยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องของโลกใบนี้ไปเรื่อย ๆ ในอีก 100 ปีข้างหน้า และระดับน้ำทะเลก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเพิ่มระดับเช่นกัน

แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้ กำลังละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรีนแลนด์ (ขั้วโลกเหนือ) แผ่นน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วมาก เร็วกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนถึง 3 เท่า นับว่าเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกจะได้รับผลกระทบหนักในอนาคต ถ้าหากมนุษย์ยังไม่หยุดหรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศ



ข่าวโดย : -รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 964

โพสต์

รูปภาพ

ผักที่ร้านทุกสาขา ปลอดสารพิษ ใช้ปุ๋ยชีวภาพ
สาขา 1 พัทยากลาง ตรงข้ามการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สาขา 2 ริมสุขุมวิท พัทยาเหนือ ติดกับปั๊มเชลล์
สาขา 3 พัทยาสาย 2 ซอย4 ในโรงแรมไทยซิตี้พาเลซ
สาขา 4 พัทยาใต้ ซอย7 อยู่ในโรงแรม สิวาลัย ซิตี้ เพลส
สาขา 5 จุดพักรถมอเตอร์เวย์ ฝั่งขาเข้า จ.ชลบุรี
สาขา 6 บายพาส. ปตท.แหลมฉบัง ขาเข้าพัทยา

“ต้มเลือดหมู,ตือฮวน น้ำร้ายกว่าเนื้อ”

เป็นคำยืนยันจาก หมึกแดง

รูปภาพ

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 965

โพสต์

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 966

โพสต์

รูปภาพ

G-to-Gต้องถูกตรวจสอบโดยPeople-to-People

คอลัมน์ "กาแฟดำ" วันนี้ เสนอแนะประเด็นคลายปมปัญหา "การเมืองเรื่อง MoU กับ G-to-G : ต้องตรวจสอบด้วย P-to-P หรือ "People-to-People" อย่างเข้มข้นเท่านั้น

คำว่า MoU กับ G-to-G กลายเป็นประเด็นการเมือง ที่ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านเอามาเล่นเพื่อให้ตนได้เปรียบ แต่ชาวบ้านสับสนงุนงง

ทั้งๆ ที่ทั้งสองคำนี้อาจจะไม่เกี่ยวอะไรกันเลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งจับสองคำนี้มาโยงกัน และอีกฝ่ายหนึ่งตีความไปอีกทางหนึ่ง แน่นอนว่าจะต้องมีใครมาอธิบายให้ชัดเจนว่ามันคืออะไรกันแน่

เรื่องของเรื่องเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ว่าด้วยนโยบาย "รับจำนำข้าว" ของรัฐบาล

ฝ่ายรัฐบาล บอกว่า มีหลายประเทศที่รัฐบาลตกลงยอมซื้อข้าวจากไทยแล้ว ดังนั้น ที่ฝ่ายค้านพยายามจะบอกว่าไทยขายข้าวไม่ได้ จึงไม่เป็นความจริง

รัฐบาล บอกอีกว่า ที่ขายข้าวให้ต่างประเทศได้เพิ่มจากที่เอกชนขายอยู่แล้วนั้น คือ การขายระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Government-to-Government (G-to-G)

ซึ่งมีความหมายว่าเป็นการติดต่อกันเองระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ไม่มีคนกลาง หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับผู้ประสานงานให้

แต่จะมีการจ่ายอะไรพิเศษระหว่างข้าราชการหรือนักการเมืองหรือไม่นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหาก

ฝ่ายค้าน บอกว่า ไม่เชื่อว่ารัฐบาลไทยสามารถขายให้รัฐบาลต่างชาติโดยตรงได้ เพราะว่าราคาแพงกว่าตลาดขนาดนั้น รัฐบาลไหนจะยอมซื้อแพงกว่าเอกชน

รัฐบาลยืนยันว่า มีข้อตกลงกับหลายรัฐบาลต่างชาติจริง แต่ไม่อาจจะเปิดเผยได้ เพราะจะเป็นการละเมิดความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล

ฝ่ายค้าน บอกว่า รัฐบาลไทยควรจะเปิดเผยเอกสารที่เซ็นระหว่างกันให้ประชาชนคนไทยได้รับทราบ แต่รัฐบาลยืนกรานว่าเปิดเผยไม่ได้

เป็นจังหวะเดียวกับที่ นายกฯ เวิน เจียเป่า ของจีน มาเยือนไทย และหนึ่งในกิจกรรมนั้น คือ การลงนามใน MoU (Memorandum of Understanding) ว่าด้วยความร่วมมือการค้าขายระหว่างสองประเทศ

และหนึ่งในสินค้าที่ระบุในเอ็มโอยู นั้น คือ "ข้าว"

รัฐบาลไทยดูเหมือนว่าจะพยายามส่งสัญญาณ ว่า เห็นไหม จีนตกลงจะซื้อข้าวไทยแล้ว แต่นักข่าวมารู้ภายหลังว่าในเอกสารที่ลงนามนั้นไม่ได้ระบุว่าจะซื้อข้าวไทยเท่าไร ที่ราคาอะไร และจะส่งมอบกันเมื่อไหร่ อย่างไร

นักข่าวถามท่านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ก่วนมู่ ท่านก็บอกว่า MoU ที่เซ็นกันนั้นไม่ใช่เอกสารการซื้อข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล หากแต่เป็นการที่รัฐบาลจีนให้ความหวังว่าจะเชิญชวนบริษัทในจีนที่เป็นของรัฐและเอกชนมาซื้อข้าวไทย

พูดง่ายๆ คือ เป็น MoU แต่ไม่ใช่เป็นข้อตกลงจะซื้อขายข้าวของในระดับ G-to-G

พอเอกอัครราชทูตจีน อธิบายเช่นนี้ สื่อไทยบางฉบับก็พาดหัวว่ารัฐบาลไทยกล่าวอ้างเกินความจริง เพราะว่า เอ็มโอยู นั้น ไม่ใช่เป็นการที่รัฐบาลจีนจะซื้อข้าวจากไทยอย่างที่ทางการไทยพยายามจะให้เกิดภาพต่อสาธารณชน

ต่อมาอีกวันหนึ่งท่านอุปทูตจีนประจำไทย จางอี้หมิน ก็ชี้แจงผ่านสื่อไทยฉบับเดียวกันนั้นว่า เอ็มโอยู ที่ว่านั้นเป็นการบอกว่ารัฐบาลจีนจะพยายามเชิญชวนให้บริษัทจีนซื้อข้าวจากไทย เป็นเรื่องปกติ เพราะว่า จีน ได้ซื้อข้าวไทยมาตลอดทุกรัฐบาล ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง

แต่ ท่านนายกฯ ไทย รองนายกฯ และ รัฐมนตรีพาณิชย์ หรือ รัฐมนตรีต่างประเทศของเรา ยังไม่ได้ชี้แจงว่า ตกลง MoU ฉบับนี้เกี่ยวอะไรกับ G-to-G เรื่องซื้อขายข้าวหรือไม่

ความจริงที่เกิดขึ้นในเวทีการเมืองระหว่างประเทศนั้น น่าจะอธิบายได้ไม่ยาก ว่า MoU ฉบับนี้เป็น “บันทึกความเข้าใจ” ระหว่างสองรัฐบาลกว้างๆ เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างกันในหลายๆ ด้าน แต่ไม่ใช่เป็นข้อตกลงซื้อขายที่จะระบุว่าซื้ออะไร เท่าไร และ ส่งมอบอย่างไร

เอ็มโอยู จึงไม่ใช่สัญญาการซื้อของขายของระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล เป็นเพียงการแสดงเจตจำนงที่จะร่วมมือและสานสัมพันธ์กันเท่านั้น

แต่หากจะมีการซื้อขายระหว่างรัฐต่อรัฐ ก็จะต้องเป็นข้อตกลงอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่จำเป็นจะต้องลงนามโดยคนระดับนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด

ส่วนใครจะเรียก MoU ว่าเป็น G-to-G “ปลอม” อย่างไร ก็อยู่ที่ความเข้าใจของเขาคนนั้นว่าเอกสารอย่างแรก จะถือเป็นเอกสารอย่างหลังด้วยหรือไม่

เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว MoU จะมีเรื่องการซื้อขาย G-to-G ด้วยหรือไม่ ก็ได้ และการตกลงซื้อขายแบบ G-to-G นั้น จะมาในรูปของ MoU หรือไม่ ก็ได้

เพราะกลายเป็นเรื่องการเมือง เรื่องที่ไม่ควรจะยุ่งยากก็กลายเป็นเรื่องซับซ้อนขึ้นมาได้อย่างที่เห็นในประเทศไทยวันนี้

วันก่อน ได้ยิน คุณวิชา มหาคุณ แห่ง ป.ป.ช. บอกทางวิทยุว่า เรื่อง G-to-G หลอกลวงหรือของจริงให้คอยติดตามข่าวคราวในวันที่ 13 ธันวาคม นี้ เพราะจะเป็นวันที่ศาลให้ทั้งโจทก์และจำเลยมาแถลงในคดีคอร์รัปชัน “รถดับเพลิง กทม.”

เพราะจะมีเรื่องข้อตกลงซื้อขายรถดับเพลิงแบบ G-to-G ที่มีเรื่องแลกกับ “ไก่ต้มสุก” ด้วย...

ประชาชนผู้เสียภาษีอย่างพวกเราต้องเกาะติดเรื่อง G-to-G อย่างเข้มข้น เพราะ P-to-P (People-to-People) ต้องตรวจสอบ G-to-G จึงจะป้องกันเรื่องไม่ชอบมาพากลได้อย่างจริงจัง

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 967

โพสต์

รูปภาพ

เจ้าสัวไทยยืนแชมป์อาเซียนทุ่ม7.5แสนล้านลุยเทคกิจการ

"เจ้าสัว"ไทย แชมป์อาเซียนทุ่มเงินกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ เทคโอเวอร์กิจการต่างประเทศมากสุดในรอบ 12 ปี ติดอันดับ 3 เอเชีย ตามหลังญี่ปุ่นกับจีน นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้บริษัทไทยกำลังสร้างฐานกระจายธุรกิจไปทั่วภูมิภาค โยกเงินหนีการเมืองวุ่น พร้อมสร้างความได้เปรียบชิงดีมานด์ในเอเชีย

ล่าสุด กรณีเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ปเสนอเงินมูลค่า 9.4 พันล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นของผิงอันอินชัวแรนซ์ บริษัทประกันใหญ่อันดับ 2 ของจีนจากเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ส่งผลให้บริษัทไทยและบรรดาเศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจติดอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชียในการเข้าไปเทคโอเวอร์ควบรวมกิจการครั้งใหญ่สุด

นักวิเคราะห์ต่างชาติกลุ่มหนึ่งได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยนายฟิลิปป์ ล็อตเตอร์ นักวิเคราะห์ของ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (มูดี้ส์) ในสิงคโปร์ มองว่าบริษัทไทยหลายแห่งมีสถานะทางการตลาดแข็งแกร่งในประเทศ ซึ่งตอนนี้อยู่ในจุดหักเหที่บริษัทจำเป็นต้องตัดสินใจว่า จะสร้างฐานธุรกิจไปทั่วเอเชีย หรือเลือกที่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของเกม

ขณะที่บลูมเบิร์กอ้างอิงข้อมูลรวบรวมได้ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาปีนี้บริษัทไทยประกาศซื้อธุรกิจในต่างประเทศทำสถิติสูงสุด 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่ามากกว่าการลงทุนรวมกันตลอด 12 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าดังกล่าวมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามหลังญี่ปุ่นและจีน

เจ้าสัว"เจริญ-ธนินท์"แข่งซื้อกิจการ

รายงานชี้ว่า บริษัทไทยหลายแห่งฟื้นตัวจากเหตุน้ำท่วมในปีที่แล้ว และหันมาเริ่มต้นปล่อยเงินสด ซึ่งเคยตุนไว้ตั้งแต่ไทยเผชิญวิกฤติการเงินเอเชียในปี 2540 หรือเมื่อ15ปีก่อน เริ่มจากเศรษฐีพันล้านอย่างนายเจริญ สิริวัฒนภักดี พยายามใช้เงิน 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเทคโอเวอร์บริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ของสิงคโปร์ บริษัทไทยกลายเป็นผู้ซื้อกิจการเข้าไปติดใน 4 อันดับแรกของกลุ่มบริษัทเอเชียทำดีลข้ามชาติใหญ่สุดในปีนี้

ทั้งนี้เศรษฐีพันล้านอย่าง นายธนินท์ เจียรวนนท์ ได้สร้างเจริญโภคภัณฑ์ กรุ๊ป หรือ ซีพี กรุ๊ปให้เป็นธุรกิจระดับโลกที่ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม, ค้าปลีก, เทรดดิ้ง, การสื่อสาร, การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และปิโตรเคมี ด้วยจำนวนพนักงานมีมากกว่า 2.5 แสนคน ขณะเดียวกันจากบลูมเบิร์ก บิลเลียนแนร์ อินเด็กซ์ ระบุว่านายธนินท์สั่งสมความมั่งคั่ง มีสินทรัพย์มูลค่า 6.2 พันล้านดอลลาร์

โดยถ้อยแถลงของ ซีพี กรุ๊ป บนเว็บไซต์ ระบุว่า นายธนินท์ วัย 73 ปี แบ่งการซื้อหุ้นของเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ พีแอลซีที่ถืออยู่ในผิงอัน 15.6% ออกเป็น 2 ล็อต โดยล็อตแรกจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธ.ค. และถ้อยแถลงของ ซีพี กรุ๊ป เพิ่มเติมว่า บริษัทขึ้นมาเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สำคัญอันดับหนึ่งในจีน ตั้งแต่ปี 2522 หลังจากนายเติ้ง เสี่ยวผิง เริ่มต้นการปฏิรูปเปิดตลาดเสรี

จากข้อมูลของ บลูมเบิร์ก ระบุว่า นายเจริญเจ้าของไทยเบฟเวอเรจผู้ผลิตเบียร์ช้าง มีสินทรัพย์มูลค่าสุทธิ 8.5 พันล้านดอลลาร์ และทุกวันนี้ 96% ของยอดขายรวมของไทยเบฟเวอเรจ มาจากตลาดไทย ขณะที่ธุรกิจของ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ มีตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงเครื่องดื่มน้ำอัดลม

ชี้ซื้อกิจการหวังรุกตลาดชิงกำลังซื้อ

นายอลัน ริชาร์ดสัน ผู้จัดการกองทุนของ ซัมซุง แอสเซต แมเนจเมนท์ ในสิงคโปร์ ซึ่งมีสินทรัพย์ให้บริหาร 8.2 หมื่นล้านดอลลาร์ วิเคราะห์การซื้อควบรวมกิจการไปทั่วของกลุ่มบริษัทไทย เป็นการตอกย้ำว่าบริษัทไทยกำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตอาศัยต้นทุนต่ำเพื่อส่งออกสินค้า ไปสู่ความพยายามใช้ความได้เปรียบจากความต้องการมากมายมีอยู่ในเอเชีย

"คุณกำลังเห็นรูปแบบของบริษัทต่างๆ ที่พยายามจะขยายตัวตามดีมานด์ภายในเอเชีย แทนที่จะดำเนินการเพื่อส่งออกไปยังตลาดตะวันตก บริษัทไทยเหล่านี้มีเงินสดมากมายใช้ประโยชน์ได้ และนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินเอเชียแทบไม่มีบริษัทไทยขยายธุรกิจเลย นอกจากเวลานี้" นายริชาร์ดสัน กล่าว

ข้อมูลของบลูมเบิร์ก ระบุว่า กลุ่มบริษัทไทยตุนเงินสดเพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และการถือครองเงินสดใช้ประโยชน์ได้โดยรวมของบริษัทนอกภาคการเงิน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย 422 แห่ง จนถึงสิ้นเดือนก.ย. ปีนี้ พบว่ามีถึง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ จากปี 2545 ที่มีเพียง 4.4 พันล้านดอลลาร์

ส่วน เครดิต สวิส กรุ๊ป เอจี มองการลงทุนของนายธนินท์ในผิงอัน แสดงถึงการหันเหออกจากตลาดในประเทศของกลุ่มบริษัทไทย ซึ่งเดิมที่ถูกมองว่าเป็นตลาดผลิตเพื่อการส่งออก และก่อนเกิดดีลนี้สินทรัพย์มีในธุรกิจประกันมีเพียงการร่วมลงทุนในไทยกับอัลลัยแอนซ์ เอจี ของเยอรมนีเท่านั้น

ยอดเทคฯพุ่งสู่หลักพันล้านดอลล์

บลูมเบิร์กยังให้ข้อมูลด้วยว่า มูลค่าการซื้อกิจการในต่างประเทศของบริษัทไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 379 ล้านดอลลาร์ต่อปี ตั้งแต่ปี 2543-2552 และดีลซื้อกิจการควบรวมกลับเพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด เป็น 7.3 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2553 ก่อนลดลงเหลือ 5.9 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของปตท.สผ. นำโด่งในการเป็นผู้ซื้อกิจการในดีลต่างๆ มูลค่ารวม 5.7 พันล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2553 ในจำนวนนี้รวมถึงกรณีที่ ปตท.สผ.เข้าเทคโอเวอร์ โคฟ เอ็นเนอร์ยี่ และการควบรวมซื้อกิจการพีทีที โกลบอล เคมิคอล ซึ่งนายล็อตเตอร์จากมูดี้ส์มองว่าเป็นการเดินหน้ากระจายแหล่งสำรองก๊าซฯ กับน้ำมันให้หลากหลายอย่างแน่นอน และเพื่อรับประกันได้ว่าบริษัทมีอุปทานพลังงานให้กับประเทศได้ในระยะยาว

ด้าน นายจัสติน ฮาร์เปอร์ นักวางแผนการลงทุนของไอจี มาร์เก็ตส์ ในสิงคโปร์ เห็นว่าการควบรวมซื้อกิจการของกลุ่มบริษัทไทยในปีนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของเจ้าของธุรกิจที่ หาทางโยกเงินออกจากประเทศ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ความร่ำรวยมหาศาลที่สั่งสมมา ทำให้บรรดาเจ้าสัวและเศรษฐีพันล้านต่างกระตือรือร้นที่จะนำเงินออกจากประเทศเป็นการกระจายความเสี่ยง และให้พ้นจากความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งเราได้รับข้อมูลว่ามีเงินมากมายไหลออกไปสู่ส่วนอื่นๆ ของเอเชีย" นายฮาร์เปอร์ตั้งข้อสังเกต

ชี้ปี2555เป็นปีแห่งการซื้อกิจการ

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นักวิเคราะห์มองว่าดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ บวกกับตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นถึง 30% ปีนี้ ดันธุรกิจไทยให้ออกซื้อกิจการต่างแดนมาก โดยรวมแล้วมูลค่าการเข้าถือครองและผนวกกิจการของบริษัทไทย อาจแซงหน้ายอดรวมของช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น การเข้าซื้อกิจการของบริษัทไทยในต่างแดนปีนี้ ยังมากกว่ากิจกรรมเข้าซื้อในต่างแดนของธุรกิจออสเตรเลีย มาเลเซีย และ เกาหลีใต้ รวมกัน

นางสาวดาฟเน รอธ หัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ประจำเอเชีย ของ เอบีเอ็นแอมโรไพรเวทแบงกิ้ง ชี้ว่า อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทไทยในการหาเงินทุนหรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และขยายตัวในภาคที่ตัวเองมีความชำนาญ

นายเดวิด อาโรโนวิทช์ หัวหน้าแผนกวาณิชธนกิจเอเชียอาคเนย์แห่งมอร์แกนสแตนเลย์ ซึ่งให้คำปรึกษากลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เกี่ยวกับการเสนอซื้อหุ้นที่เหลือในบริษัทเฟรเซอร์แอนด์นีฟ กล่าวว่า บริษัทไทยทุกภาคธุรกิจเล็งเห็นโอกาสอันดี ที่จะขยายกิจการไปทั้งทั่วภูมิภาคและในระดับโลก โดยแม้เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ธุรกิจทั้งหลายให้ความสำคัญตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ก็มีความต้องการมากขึ้น ที่จะมองหาโอกาสนอกภูมิภาค โดยเฉพาะในยุโรป

ขณะที่ นางสาวรอธ กล่าวว่า มูลค่าของธุรกิจต่างๆ ในยุโรปที่ลดลงอาจเป็นโอกาสอย่างมากสำหรับบริษัทไทย แต่หากบริษัทไหนเข้าไปซื้อกิจการนอกเหนือจากธุรกิจหลักของตัวเอง ก็ควรมีความระมัดระวัง

คาดกระแสยาวถึงปีหน้า

นายคอลิน แบนฟิลด์ หัวหน้าแผนกเข้าถือครองกิจการของซิตี้กรุ๊ป กล่าวว่า หลังจากนิ่งเงียบมาเป็นสิบปี การเข้าซื้อกิจการของไทยก็คึกคักมากในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา จนกลายเป็นตลาดถือครองกิจการที่คึกคักและน่าสนใจที่สุดตลาดหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก ตัวเขานั้นกำลังใช้เวลากับลูกค้าท้องถิ่นในไทยมากกว่าช่วงไหนที่ผ่านมา นับจากเกิดวิกฤติการเงินเอเชียเมื่อปี 2540 และเขาคาดว่าแนวโน้มการเข้าซื้อกิจการจะดำเนินไปถึงปีหน้า

อย่างไรก็ตาม วาณิชธนกรคนหนึ่งคาดว่า เซ็นทรัลกรุ๊ปอาจเป็นกลุ่มหนึ่งที่ยังมองหาสินทรัพย์ค้าปลีกในต่างประเทศ หลังจากซื้อห้างสรรพสินค้าอิตาลีเมื่อปีที่แล้ว

วาณิชธนากร รายนี้ ระบุว่าบริษัทมาเลเซียก็ใช้กลยุทธ์คล้ายคลึงกันนี้ ด้วยการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว


รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 968

โพสต์

รูปภาพ

Shale Gasเป็นขุมทองพลังงาน..ภัยเสี่ยงโลก?

IEA ชี้แรงกดดันราคาพลังงานลดลง หลังสหรัฐพบ "Shale Gas" หรือก๊าซธรรมชาติที่ได้จากชั้นหิน ส่งผลทิศทางการค้าพลังงานของโลกเปลี่ยน ยันหลายประเทศส่งสัญญาณผิดอุดหนุนราคาพลังงาน ย้ำการอนุรักษ์พลังงานเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในอนาคต ระบุอีก 25 ปีอาเซียนมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นถึง 80% เตรียมส่งข้อมูลให้รัฐมนตรีพลังงานอาเซียนวางแผนการใช้พลังงานในภูมิภาค

ขณะที่ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ได้เคยเสนอบทวิเคราะห์ไว้ว่า "Shale gas ขุมทองแห่งพลังงานในอนาคต?" แต่ก็ได้ชี้ผลเชิงลบในอีกด้านหนึ่งว่า อนาคตของ Shale gas อาจไม่สดใส เพราะผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการขุดเจาะ กำลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามอง โดยพบว่า วิธี Hydraulic Fracturing ที่ผสมสารเคมีลงในน้ำเพื่อสร้างรอยร้าวในชั้นหิน ทำให้เกิดการเจือปนของสารพิษในน้ำใต้ดิน ส่งผลต่อคุณภาพและความสะอาดของน้ำดื่ม นอกจากนี้ อาจเกิดการรั่วซึมของก๊าซมีเทนซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน หากรั่วไหลในปริมาณมากอาจเกิดการระเบิดได้ ขณะเดียวกัน การขุดเจาะดังกล่าว สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหว

กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) จัดประชุมเปิดตัวผลการศึกษา "แนวโน้มพลังงานโลก ประจำปี 2555" วานนี้ (6 ธ.ค.) โดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงการพยากรณ์แนวโน้มการผลิต การใช้ การค้าและการลงทุนทางด้านพลังงาน รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกจนถึงปี 2578

นายแฟตตี บิลโล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ไออีเอ กล่าวว่า ระหว่างปี 2553-2578 โลกมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 35% โดยแต่ละภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นแตกต่างกัน อาเซียนจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 80% ในช่วง 25 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้อาเซียน รวมทั้งจีน และอินเดีย จะมีบทบาทอย่างมากในตลาดพลังงานโลก และเชื่อว่าอาเซียนจะสามารถจัดการให้มีพลังงานใช้อย่างพอเพียง ในราคาที่ยอมรับได้อย่างยั่งยืน

รายงานยังแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลาที่ความต้องการพลังงานของอาเซียนเพิ่มขึ้นนั้น สหรัฐจะค้นพบ Unconventional Gas หรือก๊าซธรรมชาติที่ได้จากชั้นหินในปริมาณมาก จนสามารถเปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้าพลังงาน เป็นผู้ส่งออกก๊าซฯ ภายในปี 2563 ทำให้ทิศทางการค้าพลังงานของโลกเปลี่ยนแปลงไป

อาเซียนที่นำเข้าน้ำมัน 40% ในปี 2554 จะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันเป็น 75% ในปี 2578 ทำให้การส่งน้ำมันจากประเทศในตะวันออกกลางมายังเอเชีย จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 90% ในปีดังกล่าว

"เชื้อเพลิงฟอสซิลจะยังคงมีบทบาทในโครงสร้างพลังงานของโลก โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ การอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยในปี 2554 พบว่า มีเงินอุดหนุนสำหรับเชื้อเพลิงฟอสซิลในโลกสูงถึง 523 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่การอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลในอาเซียน คิดเป็น 45 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2554 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2553 ที่มีการอุดหนุน ประมาณ 30 พันล้านดอลลาร์"

ในส่วนของความต้องการใช้ก๊าซฯ จะเพิ่มขึ้น 50% เป็น 5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2578 โดยการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซฯ นั้น 50% จะมาจาก Unconventional Gas ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหิน จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเชิงนโยบายของแต่ละประเทศ ซึ่งอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่ผลิตถ่านหินได้เพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 4 ของปริมาณการผลิตของโลกที่เพิ่มขึ้น

ปี2558พลังงานทดแทนผลิตไฟฟ้าพุ่ง

นอกจากนี้ ภายในปี 2558 พลังงานทดแทน จะกลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญอันดับ 2 ในด้านการผลิตไฟฟ้า ปัจจัยสำคัญคือต้องมีการอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2554 การอุดหนุนพลังงานทดแทน รวมทั้งเชื้อเพลิงชีวภาพทั้งโลก คิดเป็นจำนวนประมาณ 88 พันล้านดอลลาร์ และจำนวนเงินที่ต้องใช้อุดหนุนจนถึงปี 2578 คิดเป็นจำนวน 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนในภูมิภาคอาเซียนนั้น มีทรัพยากรด้านพลังงานหมุนเวียนจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้ถูกพัฒนา หรือนำมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นผลดีต่อทุกประเทศ และมีต้นทุนต่ำ ทำให้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนักในการจัดหาพลังงาน ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดหาพลังงาน และยังลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย

กระนั้นก็ตาม จะได้ผลดีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนในประเทศนั้นๆ รวมถึงการส่งสัญญาณของราคาที่ชัดเจนด้วย หากส่งสัญญาณถูก การอนุรักษ์พลังงานก็จะถูกทิศทางเช่นเดียวกัน โดยมีความเชื่อว่าการสะท้อนต้นทุนของราคาที่แท้จริง และสะท้อนไปยังผู้บริโภค จะส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ชี้อุดหนุนพลังงานส่งสัญญาณผิด

นายบิลโล ยอมรับว่า เข้าใจดีว่าในบางประเทศ ที่มีขนาดเศรษฐกิจแตกต่างกัน และในบางสถานการณ์ การวางโครงสร้างราคาอาจไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แม้แต่ในประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ก็พบว่ามีการอุดหนุนราคาขายปลีกอย่างมาก ทำให้ราคาขายอยู่ในระดับ 8 เซนต์ต่อลิตรเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตจากแหล่งอยู่ที่ประมาณ 20 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง จนทำให้มีการใช้พลังงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ

นายทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า แนวโน้มการค้าพลังงานของโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากสหรัฐจะเริ่มผลิตก๊าซฯ จากชั้นหินดินดาน หรือ เชลก๊าซ ออกมาใช้เองจำนวนมาก และสหรัฐจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้นำเข้าพลังงานจากตะวันออกกลาง มาเป็นผู้ส่งออกก๊าซฯ

ตลาดที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา รวมถึงภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นจะเห็นบทบาทของสหรัฐในเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอาเซียน ที่เป็นประเทศนำเข้าพลังงาน อย่างไรก็ตามจะเป็นการพลิกโฉมหน้าพลังงานของโลกหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า สหรัฐจะตัดสินใจส่งออกก๊าซฯที่พบมากน้อยเพียงใด

แนวโน้มไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น

สำหรับสถานการณ์พลังงานของไทย ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันเป็นผู้นำเข้าพลังงานเป็นหลัก และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ที่ไทยกลายเป็นผู้นำเข้าสุทธิจากเมื่อ 5 ปีเป็นผู้ส่งออก สาเหตุมาจากการอุดหนุนราคา

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบดีถึงผลของการส่งสัญญาณที่ผิด และทำความเข้าใจกับประชาชนมาโดยตลอดถึงต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียน ที่จะมีการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศมากขึ้น หากประเทศใดยังอุดหนุนราคาพลังงาน จะเกิดภาระหนักทันที เพราะจะมีประเทศอื่นเข้ามาช่วยใช้พลังงาน และเกิดภาระในการใช้เงินอุดหนุน

ในส่วนของไทยที่ผ่านมาได้ให้สัญญาณที่ถูกต้องมาแล้วในเรื่องน้ำมันที่มีการปล่อยราคาลอยตัวเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ขณะนี้จึงเหลือแอลพีจี และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือเอ็นจีวีเท่านั้น ที่อยู่ระหว่างการวางขั้นตอนปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง

นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การค้นพบก๊าซฯ จากชั้นหินจำนวนมากของสหรัฐ จะทำให้สหรัฐลดการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง และกลายเป็นผู้ส่งออก ซึ่งจะทำให้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางต้องหันมาส่งออกน้ำมันมายังเอเชียมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค ที่จะมีทางเลือกของการใช้พลังงาน รวมทั้งความวิตกกังวลเรื่องแรงกดดันราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจะลดลง เพราะมั่นใจได้ว่า พลังงานจะมีใช้อย่างเพียงพอกับความต้องการ

ปตท.จับตาสถานการณ์พลังงานโลก

ด้าน นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ได้ตั้งทีม เพื่อติดตามดูสถานการณ์แนวโน้มการใช้พลังงานของโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการพบก๊าซฯ และน้ำมันจากชั้นหินของสหรัฐ ที่จะเปลี่ยนทิศทางการค้าของโลกในอนาคต

ในส่วนของ ปตท.มีความพร้อมที่จะเข้าไปลงทุนเชลก๊าซในสหรัฐ หากมีการเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าไปลงทุนได้ แต่เข้าใจว่าในช่วงเริ่มต้นจะมีการเปิดให้เฉพาะบริษัทพลังงานของสหรัฐอเมริกาดำเนินการก่อน

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ไออีเอได้ย้ำให้เห็นข้อมูล ว่าทิศทางพลังงานโลกกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยประเทศผู้ผลิตก๊าซฯ และน้ำมันกำลังพุ่งความสนใจ หันมาจำหน่ายให้ประเทศแถบเอเชียเป็นจำนวนมาก โดยประเทศผู้ผลิตน้ำมันแถบตะวันออกกลางจะหันมาเทขายน้ำมันทางฝั่งประเทศภูมิภาคเอเชียสูงถึง 90% จากที่ผลิตได้ และอีก 10% จำหน่ายในสหรัฐ และยุโรป ซึ่งสูงกว่าเดิมที่เคยมีสัดส่วนการขายในเอเชีย 50% และสหรัฐ ยุโรป 50% จากที่ผลิตได้

ทั้งนี้ ไออีเอ ได้เตรียมจัดประชุมที่ฝรั่งเศส เพื่อจัดทำทิศทางพลังงานโลกในอนาคต และไทยได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประชุมด้วย โดยผลการจัดทำครั้งนี้ จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนในเดือนก.ย. 2556 ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เพื่อให้อาเซียนได้นำข้อมูลไปจัดทำแผนพลังงานของอาเซียนต่อไป

สำหรับทิศทางที่ ไออีเอ เห็นตรงกับไทยเกี่ยวกับทิศทางพลังงานของอาเซียน คือ อาเซียนจะเกิดการซื้อขายพลังงาน เช่น ก๊าซฯ ถ่านหิน ไฟฟ้า และ น้ำมันระหว่างประเทศสมาชิกมากขึ้น เนื่องจากตลาดผู้ใช้พลังงานโลกย้ายมายังฝั่งอาเซียนเป็นหลัก

Shale gasขุมทองแห่งพลังงานในอนาคต?

ก่อนหน้านี้ ดร. ศิวาลัย ขันธะชวนะ และ ชนิตา สุวรรณะ ได้นำเสนอมุมมองในรายงานของศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ ว่า ทั่วโลกเริ่มตื่นตัวกับการค้นพบ Shale gas ในปริมาณมหาศาล ด้วยความหวังว่าจะนำก๊าซธรรมชาติในรูปแบบใหม่นี้มาใช้ทดแทนพลังงานรูปแบบอื่น เหตุเพราะปัญหาราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูง ความเสี่ยงจากพลังงานนิวเคลียร์และถ่านหิน พลังงานหมุนเวียนที่มีกำลังการผลิตต่ำ รวมถึงทรัพยากรพลังงานแบบดั้งเดิมเริ่มร่อยหรอ

การค้นพบ Shale gas ในปริมาณมากอาจจะทำให้โลกเข้าสุ่ยุคทองของการใช้ก๊าซธรรมชาติ และพลิกโฉมธุรกิจพลังงานในอนาคตอันใกล้ ทว่า เสียงต่อต้านจากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการขุดเจาะ อาจทำให้การพัฒนาและผลิต Shale gas ก้าวช้ากว่าที่คาด

ขณะที่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การขุดเจาะ Shale gas มีความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ ปริมาณสำรองที่ค้นพบใหม่รวมกับก๊าซธรรมชาติอื่น จะทำให้โลกมีก๊าซธรรมชาติใช้เพิ่มจาก 60 ปี เป็น 200 ปี

Shale gas เป็นก๊าซธรรมชาติที่เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์นับล้านๆปี โดยถูกกักอยู่ในชั้นหินดินดานซึ่งยอมให้ก๊าซไหลผ่านยาก จึงต้องอาศัยกรรมวิธีการขุดเจาะที่ซับซ้อนกว่าก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิม (Conventional gas) หากพิจารณาคุณสมบัติของ Shale gas พบว่าไม่แตกต่างจากก๊าซธรรมชาติที่ใช้กันทุกวันนี้อย่างมีนัยสำคัญ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ค้นพบและพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะ Shale gas โดยใช้วิธี Hydraulic Fracturing หรือ การใช้แรงดันน้ำขนาดสูงผสมสารเคมีและทรายเพื่อทำให้หินร้าว ควบคู่กับ Horizontal Drilling หรือ การเจาะแนวราบ เพื่อช่วยเพิ่มผิวสัมผัสของหลุมเจาะกับชั้นหิน Shale ทำให้สามารถผลิต Shale gas ได้ปริมาณมากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง

แนวโน้มการสำรวจและขุดเจาะ Shale gas พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในแหล่งที่พบมากอย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ปัจจุบันค้นพบแหล่ง Shale gas 48 แห่ง ครอบคลุม 32 ประเทศ ขนาด 170 tcm (ล้านล้านลูกบาศก์เมตร) หรือประมาณ 6,000 เท่าของปริมาณที่ไทยผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปี 2011 โดยจีนมีแหล่ง Shale gas มากที่สุด ประมาณ 36 tcm หรือ 21% รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งมีอยู่ประมาณ 24 tcm และ 18 tcm หรือคิดเป็น 14% และ 11% ตามลำดับ ซึ่งในอนาคตอาจค้นพบแหล่ง Shale gas ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมากกว่านี้

องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) คาดว่าภายในปี 2035 การผลิตก๊าซธรรมชาติจะขยายตัวถึง 55% ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นอัตราการเติบโตของการผลิต Shale gas ประเทศผู้บริโภคพลังงานมากที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกาได้ทำการขุดเจาะ Shale gas ช่วงต้นปี 2012 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 29% ส่วนจีนสนับสนุนการสำรวจขุดเจาะ Shale gas อย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันจีนยังไม่มีการผลิต Shale gas แต่จีนได้ตั้งเป้าการผลิต Shale gas ไว้ปีละ 6.5 bcm (พันล้านลูกบาศก์เมตร) ภายในปี 2015 และจะเพิ่มเป็นปีละ 60-100 bcm ภายในปี 2020

หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น สหรัฐอเมริกาได้รับประโยชน์ค่อนข้างมากจาก Shale gasซึ่งนับเป็นอีกแรงหนึ่งของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ จากความได้เปรียบ 2 ประการ ได้แก่ ศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะอย่างต่อเนื่อง และ ลักษณะทางธรณีวิทยา ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถนำ Shale gas ขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ปริมาณมากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งปัจจุบันต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 3-7 $/MMBtu1 ปริมาณการผลิต Shale gas ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนี้ ส่งผลให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ผลักดันให้ราคาก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันปรับลดลงเหลือที่ประมาณ 2-3 $/MMBtu จากราคาเฉลี่ยที่ 6 $/MMBtu ในช่วงปี 2000-2008 หรือลดลงกว่า 50-70%

สำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (US Energy Information Administration: EIA) คาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิต Shale Gas ในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นจาก 23% ของก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ในปี 2010 เป็น 49% ในปี 2035 ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลกนำหน้ารัสเซีย และอาจเปลี่ยนบทบาทจากประเทศผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ มีการศึกษาว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดต่ำลงยังช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ช่วยกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน โดยภายในปี 2025 การจ้างงานในโรงงานอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านคน และหนึ่งครัวเรือนสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยได้ถึง 926 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี 2

การค้นพบ Shale gas สร้างความท้าทายให้ธุรกิจพลังงานประเภทอื่น และอาจพลิกโฉมรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต เกิดคำถามที่ว่าการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน อย่างพลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวภาพ ที่มีต้นทุนสูง กำลังการผลิตต่ำ จะคุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับ Shale gas ที่จะมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือในราคาถูก Shale gas ยังเป็นก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถูกกว่าถ่านหิน นำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใยต่างๆ และเป็นก๊าซเชื้อเพลิงให้รถยนต์ ซึ่ง Shale gas ถือเป็นเชื้อเพลิงสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นถึง 50% แน่นอนว่าก๊าซธรรมชาติจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่น้ำมัน และถ่านหินจะลดบทบาทลง (IEA คาดการณ์ว่าสัดส่วนความต้องการใช้น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ต่อความต้องการพลังงานรวม ปี 2010 = 32% 28% และ 21% ตามลำดับ ปี 2035 = 27% 24% และ 25% ตามลำดับ) ก๊าซธรรมชาติจะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอันดับสอง รองจากน้ำมัน แซงหน้าถ่านหินในอนาคต

อนาคตของ Shale gas อาจไม่สดใส เพราะผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการขุดเจาะ กำลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามอง โดยพบว่า วิธี Hydraulic Fracturing ที่ผสมสารเคมีลงในน้ำเพื่อสร้างรอยร้าวในชั้นหิน ทำให้เกิดการเจือปนของสารพิษในน้ำใต้ดิน ส่งผลต่อคุณภาพและความสะอาดของน้ำดื่ม นอกจากนี้ อาจเกิดการรั่วซึมของก๊าซมีเทนซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน หากรั่วไหลในปริมาณมากอาจเกิดการระเบิดได้

ขณะเดียวกัน การขุดเจาะดังกล่าว สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่ระดับ 1-3 ริคเตอร์ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบ่อย บริเวณ Fayetteville Shale ในรัฐ Arkansas ของสหรัฐอเมริกา จากการขุดเจาะ Shale gas ที่ลึกลงมากขึ้น แม้ว่าหลายประเทศให้ความสนใจในการขุดเจาะนำ Shale gas ขึ้นมาใช้ แต่ปัจจุบันหลายฝ่ายยังคงถกเถียงและไม่มั่นใจต่อผลกระทบจากวิธีการขุดเจาะดังกล่าว เช่น รัฐ New York, Maryland และ New Jersey ในสหรัฐอเมริกา สั่งห้ามการขุดเจาะชั่วคราว ส่วนฝรั่งเศส บัลกาเรีย ให้เลื่อนเวลาการเริ่มขุดเจาะออกไปก่อน และเยอรมนีกำลังเผชิญกับฝ่ายต่อต้านการขุดเจาะดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์อย่างธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์ ถ่านหิน หรือแม้แต่รัสเซีย ที่เกรงว่าสหรัฐอเมริกาจะแย่งส่วนแบ่งตลาดก๊าซธรรมชาติ ก็ออกมาต่อต้านการขุดเจาะ Shale gas เช่นกัน

ไทยได้รับอานิสงค์จากราคาก๊าซธรรมชาติที่อาจถูกลง หากการขุดเจาะ Shale gas เป็นที่ยอมรับและมีการขุดขึ้นมาใช้จำนวนมาก จะส่งผลดีต่อไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้นำเข้า และมีอุปสงค์ของก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจโรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติสูงถึง 60% และ 21% ของการใช้ก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของไทย หรืออุตสาหกรรมเซรามิก แก้ว และกระจก ที่มีต้นทุนเชื้อเพลิง 40% ของต้นทุนรวม จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ลดต่ำลง ภาคขนส่งจะมีรถที่เปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น ซึ่งในระยะยาวก๊าซธรรมชาติจะเริ่มถูกนำมาใช้ทดแทนน้ำมันมากยิ่งขึ้น ดุลการค้าสหรัฐอเมริกาที่ดีขึ้น อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในเชิงมหภาค

โดยการที่สหรัฐอเมริกานำเข้าก๊าซธรรมชาติน้อยลง จนอาจนำไปสู่การส่งออก จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาแข็งแกร่งขึ้น การเคลื่อนย้ายเงินทุนจะไหลกลับไปสู่สหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อผู้ส่งออกไทย นอกจากนี้ การที่ปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จะช่วยเพิ่มทางเลือกด้านพลังงานให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ


รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 969

โพสต์

รูปภาพ
ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

ถอดโมเดล"ลูกเจ้าสัว"ยึดอาเซียน ค่ายกล Regional Integration
บิ๊กดีล การถือหุ้นF&N หนึ่งบริบทสำแดงเดช ทายาทไทยเบฟ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ลูกเจ้าสัวเจริญ ไม่ได้เล่นเป็นแต่บทบู๋บทบุ๋น ปูทางพันธมิตรใน10ประเท
หลังสร้างประวัติศาสตร์กิจการไทยบุกอาเซียนด้วยบิ๊กดีล กับความพยายามฮุบหุ้นใหญ่บริษัทเฟรเซอร์แอนด์นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) ในสิงคโปร์ ภาคต่อหนีแรงต้านตลาดหุ้นไทย ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์เมื่อปี 49 แล้ว ล่าสุดบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ยังเป็นบริษัทนำร่องที่เปิดซื้อขายในตลาดหุ้นอาเซียน (ASEAN Link) เมื่อ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ฉายภาพการวางกลยุทธ์เป็นขั้นเป็นตอน ก่อนไต่สู่การครองตลาดอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ โดยทุกธุรกิจที่ไปต้องติดอันดับท็อปทรี !
แน่นอน แม้ว่าแผนแผ่อาณานิคมทางการค้าในอาเซียน ย่อมต้องมีเสนาบดีมือเก๋า ในแต่ละกลุ่มธุรกิจวาดแผนถากถางทางให้ทายาทรุ่นใหม่ก้าวเดิน กลายเป็นความกังขาต่อความสามารถของเจ้าสัวน้อย “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ไทยเบฟ หนึ่งในผู้ซึ่งเจ้าสัวเจริญ หมายให้สืบทอดกิจการแสนล้านต่อจากเขา
ว่าที่จริงแล้ว เก่งจริงหรือหลอก ! เขามีส่วนในการระดมสมองกับงานช้างนี้มากน้อยแค่ไหน ด้วยความที่ร่างเงาของผู้พ่อ และแม้แต่บรรดากุนซือทั้งหลาย กลบเงาเขาจนมิด
ทว่าเมื่อผ่านความคิดของฐาปนออกมาเป็นคำพูด ในเวทีเสวนาบ่อยครั้งขึ้น แม้เขาจะพูดน้อยแต่ประมวลได้ว่า “ฐาปน” เป็นคนที่มีวิธีคิด มุมมองธุรกิจ ที่ทั้งถ่ายทอดทางดีเอ็นเอ ทั้งน่าจะถูกสอนกันมาอย่างดีจากคนในตระกูล กับบุคลิกสุภาพ นอบน้อม มือเป็นดอกบัวเจอใครก็ไหว้ไว้ก่อน ไม่ต่างจากเจ้าสัวเจริญ
ฐาปน มองว่าธุรกิจจากนี้ไปมองแค่ในประเทศไม่พอแล้ว เพราะตลาดเปิด โดยเฉพาะ 10 ประเทศในอาเซียนซึ่งเป็นโอกาสที่ต้องพุ่งเข้าใส่ กับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ขณะที่คนหนุ่มไฟแรงกว่า และมีความพร้อมด้านภาษา กลายเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับยุคก่อนหน้า
“ไทยเบฟให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจมีการเชื่อมโยงมากขึ้น ต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนอาจจะยังไม่ตื่นตัวจริงจัง แต่วันนี้ทุกอย่างคล่องตัว”
เขายังเคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เออีซี จะทำให้ตลาดเพิ่มจาก 70 ล้านคนในไทย เป็น 600 ล้านคนในอาเซียน ดังนั้นการขยายธุรกิจของไทยเบฟในอนาคตจะต้องมองถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญจากขนาดตลาดที่ใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว
ส่วนกลยุทธ์ที่จะใช้รุกตลาดประเทศนั้น ไม่เพียงการเล่นบทบู๋ด้วยการไล่ซื้อกิจการชาวบ้าน เพื่อสวมหัวเป็นหุ้นใหญ่ ต่อยอดความรวย ทั้ง เอฟแอนด์เอ็น โออิชิ และเสริมสุข ดูเหมือนฐาปนพยายามแก้ภาพลักษณ์นี้ให้กับไทยเบฟ ด้วยอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ การวางโครงข่ายพันธมิตรอาเซียน (regional Integration) ทั้ง 10 ประเทศ ที่จะเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำของคนหนุ่มเช่นเขา ที่จะต้องกล้าลุย และมุ่งมั่นที่จะก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ
“เราจะต้องผสมผสานคนยุคเก่าที่มีประสบการณ์และความรอบคอบ เคยเดินมาก่อน กับคนรุ่นใหม่มีความกล้าและมุ่งมั่นในการทำอะไรบางอย่าง เอาข้อดีของสองรุ่นมาผสมผสานจะเกิดความได้เปรียบในการคิดจะทำอะไรใหม่ในระยะยาว” เขาเปิดมุมมอง
ก่อนจะขยายความถึงแผนการสร้างพันธมิตรในอาเซียนว่า ที่ผ่านมาไทยเบฟมองหาพันธมิตรตลอดเวลา เพื่อเติมเต็มจุดแข็งทางธุรกิจ สร้าง “ทางด่วน” ของการเติบโต โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนับหนึ่ง (Organic Growth)
“เรามองหาพันธมิตร คู่ค้ามาตลอด ซึ่งแต่ละประเทศในอาเซียนก็มีความลงตัวแตกต่างกัน พันธมิตรเป็นทางเชื่อมต่อสำคัญทำให้เราโตก้าวกระโดด หากเจรจากับพันธมิตรแล้วเกิดพออกพอใจกัน ก็อาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันด้วยการควบรวมกิจการ (M&A - Mergers & Acquisitions)”
เขายังมีมุมมองในการ "แปลงศัตรูเป็นมิตรทางธุรกิจ" ได้อย่างน่าสนใจ
“เราจะแข่งขันกันไปทำไม สู้รวมตัวกันขยายฐานเพื่อการเติบโตที่ดีขึ้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละประเทศ ไม่ใช่พอประเทศเปิดปุ๊บต้องตั้งบริษัทได้เลย ร่วมกันได้เลย ไม่ใช่แบบนั้น”
นอกจากนี้ เขายังระบุถึงข้อดีของการมีพันธมิตรทางธุรกิจว่า จะช่วยเป็นฐานในการเรียนรู้ไปพลางๆ ก่อนจะเข้าไปทำตลาดจริงๆจังๆ โดยพันธมิตรจะทำให้เกิดการเข้าใจตลาด เรียนรู้นิสัยใจคอคนในพื้นที่
เหมือนตัวอย่างที่ไทยเบฟเข้าไปตั้งสำนักงานใน 7 ประเทศ ส่งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในเครือไปจำหน่ายใน 80 ประเทศทั่วโลก เริ่มต้นจากการส่งออกก่อนจะไปตั้งโรงงานผลิต ชัดที่สุดคือการไปตั้งฐานโรงงานผลิตสกอตวิสกี้ในสกอตแลนด์ 5 โรงงาน เพื่อใช้เป็นฐานส่งไปทำตลาดในตลาดอินเดีย
ในการรุกตลาดต่างประเทศของไทยเบฟ เป็นไปตามเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจต่างประเทศเพิ่มจาก 4-5% ในปัจจุบัน เป็น 30%ในอนาคต จากยอดขายในปี 2554 อยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท
ปัจจุบันไทยเบฟประกอบด้วย 4 สายธุรกิจ ได้แก่ สุรา, เบียร์, เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ และมีเครือข่ายการกระจายสินค้าครอบคลุม ศูนย์กระจายสินค้า 3 แห่ง ศูนย์ขนส่ง 23 แห่ง และคลังสาขาจังหวัดอีก 86 แห่ง นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายโลจิสติกส์ของบริษัทเสริมสุขจำกัด (มหาชน) ที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายใน 2 แสนร้านค้า
ที่ผ่านมายังมีเครือข่ายจาก Inver House ในสกอตแลนด์ และสำนักงานใน 7 ประเทศ ทำให้สามารถส่งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในเครือเพื่อจำหน่ายกว่า 80 ประเทศทั่วโลกใน 3 โรงเบียร์, 6 โรงงานผลิตเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์, 18 โรงงานสุรา, 5 โรงงานผลิตสกอตวิสกี้ในสกอตแลนด์, และ 1 โรงงานผลิตสุราในจีน
ไทยเบฟเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มรายแรกและรายเดียวของไทยที่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ปัจจุบันได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 30 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด


โดย : ประกายดาว แบ่งสันเทียะ
รูปภาพ
วันที่ 7 ธันวาคม 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 970

โพสต์

รูปภาพ

ซีพีเอฟ ยึดโมเดล Feed- Farm- Food บุกโลก ส่งกองหน้า"ไก่ห้าดาว"
ปักธงธุรกิจอาหารในอินเดีย หวังใช้สแกนตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค ก่อนรุกใหญ่



การรุก “ธุรกิจไก่ห้าดาว” (5 Star Chicken) ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือซีพีเอฟ สาขาแรกในอินเดีย ณ เมืองบังกาลอร์ (ประชากร 100 ล้านคน) เมื่อ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีแผนที่จะขยายจุดขายไก่ย่างและไก่ทอดให้ครบ 10 จุดจำหน่ายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 200 จุดจำหน่ายในปีหน้า

แม้จะดูเป็นเรื่องจิ๋วๆ เมื่อเทียบกับขนาดธุรกิจของซีพีเอฟ ที่พูดกันที่รายได้ปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ขณะที่การออกไปลงทุนต่างประเทศในแต่ละครั้ง มักจะพูดกันที่ตัวเลขหลักหมื่นล้านบาท

โดยในปี 2555 ซีพีเอฟตั้งเป้าลงทุนไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ 60-70% เป็นการลงทุนในต่างประเทศ โดยธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ ยังคงเป็นหัวหอกการลงทุน

ปัจจุบันซีพีเอฟปักหมุดลงทุนไปแล้ว ใน 11 ประเทศ เรียกว่าแทบจะทุกภูมิภาคของโลก ไล่มาตั้งแต่ อังกฤษ จีน ตุรกี รัสเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน กัมพูชา เวียดนาม หรือแม้แต่อินเดีย ที่ซีพีเอฟ เข้าไปทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ และเลี้ยงสัตว์ ก่อนหน้านี้

ทว่า หากวิเคราะห์ลงไป การรุกธุรกิจไก่ห้าดาวครั้งนี้ พบความน่าสนใจไม่น้อย กลับปฏิบัติการ “แผนซ้อนแผน”

นอกจากจะสะท้อนกลยุทธ์ธุรกิจคือการเข้าไปให้ถึง “ดีมานด์” จากขนาดประชากรของอินเดีย 1,200 ล้านคน เป็น“อันดับสอง”ของโลกรองจากจีน ประชากรอินเดียยังมากกว่าเมืองไทยถึง 20 เท่า จากจำนวนประชากรไทย 60 กว่าล้านคน

ผู้คนส่วนใหญ่ในอินเดีย ยังนับถือศาสนาอิสลาม ที่นิยมบริโภคเนื้อไก่ การที่อินเดียกำลังจะกลายเป็นอีกมหาอำนาจเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ สะท้อนกำลังซื้ออันดับต้นๆของโลก

แน่นอนว่า แผนขยายธุรกิจไก่ห้าดาว ยังคงรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง หากชิมลางรอบนี้แล้ว ประสบความสำเร็จ
ทว่า ไม่เพียงการเข้าไปลงทุนในธุรกิจไก่ห้าดาว !!

แผนที่ลึกกว่านั้นของซีพีเอฟ คือ ออกไปลงทุน “ธุรกิจอาหาร” ขาที่สามของซีพีเอฟบุกตลาดโลก โดยมีอินเดียเป็นสมรภูมิรบแรกๆ

มีกองหน้าตัวจี๊ด อย่างไก่ห้าดาวเป็น “โมเดลต้นแบบ” ในการรุกธุรกิจค้าปลีกอาหารในเอเชียใต้ พ้นจากเอเชียตะวันออกที่บริษัทแม่อย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) เข้าไปบุกตลาดจนปรุ ฐานที่เป็นนักลงทุนต่างชาติ หมายเลข 001 ในจีน

นี่คือแผนเปิดตลาดอีกภูมิภาคของซี.พี.ที่ไม่เพียงกุมตลาดประชากรอันดับ 1 ของโลกอย่างตลาดจีนได้แล้ว ยังมองไปถึงการกุมตลาดที่มีประชากรใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่างอินเดีย ไว้ในมือ

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ธุรกิจที่ซีพีเอฟรุกออกไปโตนอกบ้าน จะให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ยังคงต้องสกัดจุดอ่อนการลงทุนในธุรกิจอาหาร อีกขาธุรกิจที่ซีพีเอฟให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นๆในระยะหลัง

แม้ว่า ปัจจุบันธุรกิจอาหารสัตว์จะยังคงทำรายได้หลักให้กับซีพีเอฟ “อดิเรก ศรีประทักษ์” ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซีพีเอฟ เคยให้สัมภาษณ์ว่าปีนี้ซีพีเอฟจะมีรายได้หลักจากธุรกิจอาหารสัตว์ ในสัดส่วน 50% ของรายได้ที่คาดว่าจะสูงกว่า 3 แสนล้านบาท ที่เกิดจากการเข้าไปซื้อและควบรวมกิจการในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารจะอยู่ในสัดส่วนราว 15%

ทว่า การมุ่งสู่การผู้ผลิตอาหารป้อนประชากรโลก จำเป็นต้องส่ง “ธุรกิจอาหาร” ในนิยามของซีพีเอฟ คือ การผลิตเนื้อสัตว์กึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ออกไปลงทุนนอกบ้าน ไม่เพียงการส่งออกจากฐานผลิตในไทย

แต่ต้องรุกธุรกิจอาหาร ในรูปแบบของ “ธุรกิจค้าปลีก” ในต่างประเทศ สร้างแบรนด์ CP เพราะนั่นคือการสร้างมูลค่าเพิ่ม กำไรต่อหน่วยเป็นกอบเป็นกำ เมื่อผู้บริโภคภักดีต่อแบรนด์ จะสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง
ที่ผ่านมาจึงเห็นความพยายามของซีพีเอฟ ในการสร้างแบรนด์ ผ่านการรุกธุรกิจค้าปลีก แม้ส่วนใหญ่จะยังไม่อาจหลุดพ้นจากขอบเขตประเทศไทย

ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มธุรกิจ ซีพี เฟรชมาร์ท จำหน่ายอาหารสด อาหารปรุงสุก และอาหารพร้อมรับประทาน ที่ปัจจุบันมีกว่า 600 สาขาทั่วประเทศ และ ซีพี ฟู้ดมาร์เก็ต เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา ยังเพิ่งเซ็นต์สัญญาขยายสาขาในปั๊มน้ำมันเชลล์ให้ครบ 20 สาขาภายใน 5 ปี

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสาขาซีพี ฟู้ดมาร์เก็ต ในจีน (เซียงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว) และเวียดนาม ภายใน 1 ปี รวมไปถึงการขายแฟรนไชส์ ที่จะสรุปได้ในอีก 2 ปีจากนี้

ล่าสุดซีพีเอฟยังได้พัฒนาศูนย์อาหารโมเดลใหม่ ในชื่อ “ซีพี ฟู้ด เวิลด์" เปิดสาขาแรกไปแล้วในไทย ต้นแบบในการขยายสาขาในไทยและต่างประเทศ

จะมีก็แต่ ไก่ห้าดาว ก่อนหน้าที่ไปลงทุนในอินเดีย ได้เข้าไปลงทุนใน 6 ประเทศรอบบ้าน ได้แก่ พม่า บังคลาเทศ เวียดนาม มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา ปัจจุบันมีสาขารวม 400 แห่ง นับว่าสาขายังน้อย จึงน่าจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในการพลิกแผนรุกตลาดอินเดีย รอบนี้

จะเห็นได้ว่า ร้านค้าปลีกเหล่านี้ล้วนเป็นการวางหมากในการเพิ่ม “ช่องทาง” หรือ “หน้าร้าน” ในการกระจายสินค้าของซีพีเอฟ ที่เริ่มมองไกลไปถึงการขยายหน้าร้านไปในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยยึดโมเดลการลงทุน Feed -Farm - Food

นั่นคือ การรุกเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) ก่อน ตามมาด้วยธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) เมื่อมีฐานการผลิตที่เข้มแข็งในประเทศนั้นๆ จึงเข้าไปต่อยอดด้วยธุรกิจอาหาร (Food) เพื่อให้ธุรกิจครบทุกซัพพลายเชน จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ (From Farm to Table)

โดยโมเดลดังกล่าว มีการดำเนินการไปแล้วใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ตุรกี มาเลเซีย ไต้หวัน กัมพูชา ประเทศล่าสุดคืออินเดีย

เวลาผ่านไปเกือบ 35 ปี (กว่า 3 ทศวรรษ) ของซีพีเอฟ นับแต่การก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2521 ธุรกิจในขณะนี้ได้เดินมาถึงการต่อยอดธุรกิจอาหาร รับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีชีวิตที่เร่งรีบ ประกอบอาหารกินเองน้อยลง

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะมองเป็นเรื่องของการบริหารความเสี่ยงด้านราคา และแหล่งวัตถุดิบ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า การสร้างกำไรต่อหน่วยที่สูงขึ้น การดำเนินธุรกิจครบทั้งซัพพลายเชน ล้วนตอบโจทย์นี้

จะมีก็ได้การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศให้ถ่องแท้ บวกกับคู่แข่งขันในตลาด ซึ่งดูจะเป็น “ความเสี่ยงหลัก”ในการลงทุนธุรกิจอาหารในต่างประเทศของซีพีเอฟในธุรกิจอาหาร

โดยเฉพาะในตลาดอินเดีย ซึ่งมีความซับซ้อน หลากหลายทางวัฒนธรรม มีภาษาพูดมากถึง 800 ภาษา

นอกจากนี้ หากจะประเมินแผนการรุกตลาดค้าปลีกของซีพีเอฟ ธุรกิจไก่ห้าดาวจะเป็นเหมือน “ด่านหน้า” ในการลงทุนในต่างประเทศ เพราะลงทุนต่ำ แต่ได้ทั้งการเข้าไปศึกษาสภาพการแข่งขันในตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค สร้างคอนเนคชั่น จนแน่ใจ ก่อนจะส่งร้านค้าปลีกที่มีขนาดการลงทุนมากขึ้น เข้าไปลงทุนต่อเนื่อง

สถิต สังขนฤบดี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจ 5 ดาว บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จอมโปรเจคที่ซีพีเอฟ มอบหมายให้เป็นโค้ชวางแผนรบธุรกิจไก่ห้าดาว กล่าวว่า การรุกธุรกิจนี้ในอินเดีย ได้ยึดความสำเร็จในไทยมาเป็นต้นแบบ

โดย 8 ปีในการทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ไก่ห้าดาวมีสาขามากถึง 5,200 จุดจำหน่าย เปิดแฟรนไชส์เฉลี่ย 600-800 จุดจำหน่ายต่อปี มียอดขายอยู่ที่ 4,800 ล้านบาท (75%เป็นรายได้ในประเทศ)

เรียกว่าเป็นธุรกิจที่มีอัตราเติบโตสูงปี๊ด ขณะที่มีต้นทุนต่ำ

ในไทยยังแตกไลน์มากถึง 7 ธุรกิจแฟรนไชส์ ประกอบด้วย ไก่ย่าง ไก่ทอด ข้าวมันไก่ บะหมี่เกี๊ยวทอด เรดดี้มีล และธุรกิจใหม่ล่าสุด คือ ธุรกิจตู้แช่เย็น เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือ

ทว่าตลาดในไทยดูจะเล็กไปแล้ว จากธุรกิจไก่ย่างที่เริ่มอิ่มตัว จนต้องปรับผลิตภัณฑ์ไก่แตกไลน์มาสู่ธุรกิจอื่นๆ รวมไปถึงโฟกัสตลาดต่างประเทศมากขึ้น

“ธุรกิจจะโตได้ต้องไปต่างประเทศ ซีพีเอฟขยายต่างประเทศเยอะแยะ แค่เมืองไทยเป็นครัวของโลกไม่ได้ ต้องออกไปต่างประเทศ อินเดียคือประเทศที่เราโฟกัส วางให้เป็นโรลโมเดลก่อนขยับไปสู่ประเทศอื่น หากสำเร็จ” เขาถอดสลักความคิดซูเปอร์ซีอีโอซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์

หากการทำธุรกิจในอินเดียประสบความสำเร็จ เป็นไปได้อาจจะใหญ่กว่าธุรกิจซีพีเอฟในเมืองไทย เขาเผย
โดยจะไม่ได้หยุดแค่ไก่ย่าง แต่หมายถึงการขยายฟาร์มเลี้ยงไก่ และธุรกิจอาหารสัตว์ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว สุดท้ายโรงเชือดไก่ที่อินเดียยังมีความต้องการ ก็จะตามไปในปลายปีหน้า แบบครบซัพพลายเชน หากธุรกิจไก่ห้าดาวไปได้สวย

ถึงวันนั้น อาจจะไม่ใช่แค่ผลิตไก่ป้อนธุรกิจห้าดาว หรือธุรกิจอาหารในซีพีเอฟ แต่ยังผลิตไก่สดป้อนทั้งเชนธุรกิจฟาสต์ฟู้ดในอินเดีย เช่น เคเอฟซี และ แมคโดนัลด์ เมื่อซีพีเอฟสามารถปักธงธุรกิจครบวงจรทั้งซัพพลายเชน

โดยปัจจุบันฟาร์มเลี้ยงไก่ของซีพีเอฟ จัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย จากความสามารถในการผลิตไก่ 1.5 ล้านตัวต่อสัปดาห์ สถิต ระบุ

ไม่เพียงตลาดในบังกาลอร์ สถิตบอกว่า นิวเดลี,มุมไบ,ไฮเดอราบัด,กัลกัตตา,เชนไน จะเป็นอีก 5 ตลาดที่ซีพีเอฟโฟกัส

“เรามีวัตถุดิบที่เพียงพอไม่ต้องกลัวขาดแคลน เราชำนาญเรื่องฟีด(อาหารสัตว์) ฟาร์ม(เลี้ยงสัตว์) ถือว่าสุดยอดในอินเดีย และกำลังขยายไปสู่ฟู้ด(อาหารคน) เพราะฟู้ดยังไม่สุดยอดจึงต้องพัฒนา”

โดยส่ง 4 เมนู ชิมลางรสนิยมคนอินเดีย ได้แก่ ไก่ทอดสูตรเด็ดสุดจากไทย และสูตรภารตะ คิดค้นรสชาติมีส่วนผสมเครื่องเทศสไตล์แขก พร้อมกับสแน็คขบเคี้ยว อีก 2 เมนู

“เราเริ่มเข้าไปศึกษาตลาด 1 ปีที่ผ่านมา ก่อนส่งคนไปทำอาร์แอนดีพัฒนาสูตรให้ผู้บริโภคชิม 7-8 เดือน จนแน่ใจวางขาย 2 สูตรไทยและอินเดีย พบว่าขายดีพอๆกัน เขาชอบทั้งแบบไทยๆและแบบแขก”

โดยในระยะแรกจะเป็นการลงทุนเองทั้งหมดใน 20 จุดจำหน่าย ยังไม่ใช่ระบบแฟรนไชส์

“เราต้องการบุกเบิกโมเดลของเราก่อน ไม่ต้องการให้คนในท้องถิ่นมาเสี่ยงกับเรา” เขาบอก

พร้อมคำนวณเสร็จสรรพว่า หากธุรกิจประสบความสำเร็จจะคืนทุนใน 1 ปี

“ถ้าเปิดได้ 200 จุดขายตามเป้าหมายในปีหน้า จะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทเข้ามา (หากแต่ละคีออสขายไก่ได้เดือนละ 1 แสนบาท) บนต้นทุนเพียงประมาณ 90 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนตั้งโรงงานหมักไก่ 60 ล้านบาท และค่าซื้ออุปกรณ์ตู้และเตาจำหน่ายจุดละ 1.5 แสนบาท รวมเป็น 30 ล้านบาท”

สถิต ยังบอกถึงเหตุผลของการรุกตลาดอินเดียว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการบริโภคโปรตีนจากไก่สูง เข้าได้กับทุกศาสนา ขณะนี้เชนไก่ทอดเคเอฟซีและแมคโดนัลด์ ฟาสต์ฟู้ดสัญชาติตะวันตกรุกเข้าไปขยายร้านแล้วกว่า 100 สาขา

โดยธุรกิจไก่ห้าดาว เป็นโมเดลแรกที่ลงไปหาตลาดใหญ่ประชากรมาก ในกลุ่ม Mass ธุรกิจโตเร็วลงทุนต่ำ จะไม่จำกัดตัวเองอยู่ในห้างสรรพสินค้า จับตลาดกลางค่อนไปทางบน เพราะจะใช้เงินลงทุนสูง ขยายสาขาได้จำกัด

“คนอินเดียกินไก่มากที่สุด เชนฟาสต์ฟู้ดต่างชาติไปเปิดก็ขายดีมาก แต่ยังไม่มีแฟรนไชส์ที่ซื้อแล้วนำกลับไปกินบ้าน (take away)” เขาบอกถึงโอกาสธุรกิจที่ยังไม่มีคนเริ่มทำ

เขายังระบุว่า ระบบแฟรนไชส์ จะเป็นบิซิเนสโมเดลที่กองทัพห้าดาวในไทยมั่นใจว่าจะเป็นกองหน้าตัวจี๊ดที่ทะลวงดินแดนภารตะ รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด เพราะทำง่าย ลงทุนต่ำ คืนทุนเร็ว ขายมากกำไรมาก ค่าเช่าอุปกรณ์เพียง 1.5 หมื่นบาทก็รับอุปกรณ์ไปพร้อมเปิดร้านแฟรนไชส์

“ธุรกิจห้าดาวเหมาะกับคนอินเดีย เพราะคล้ายกับไทย ไม่ร่ำรวยมาก เราจะได้ขยายเยอะๆ เราเน้นเรื่องการสร้างอาชีพ เพราะหากจ้างพีซีไว้ขาย ก็สู้ระบบแฟรนไชส์ไม่ได้ เหนื่อยมากก็ได้แค่นั้น สู้เหนื่อยน้อยดีกว่า แต่แฟรนไชส์เจ้าของขายดีก็มีรายได้ดีเหนื่อยมากยังดีกว่าขายไม่ดี แล้วเครียด”

ทว่าการจะเอาชนะตลาดที่กว้างใหญ่อย่างอินเดีย ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนบอกว่าเป็นตลาดปราบเซียน

สถิต ฉายภาพบันได 3 ขั้น ของธุรกิจห้าดาวในการเข้าถึงตลาดคนแขก นั่นคือ โปรดักท์ดี ทำเลเยี่ยม ราคาเหมาะสม
เขาไล่เลียงให้ฟังว่า โปรดักท์ที่ดีก็ไม่ง่ายหลังทดลองสูตรกว่า7-8 เดือนได้มา 4 เมนู ก่อนจะค่อยๆ ต่อยอดไปสู่เมนูอื่นๆ ข้อได้เปรียบยังดีตรงที่มีวัตถุดิบในกลุ่มธุรกิจของตัวเองที่ควบคุมคุณภาพได้

ส่วนทำเล เขายกให้เป็นหน้าที่ของคนในพื้นที่ เกิดและโตในอินเดีย ซานจีฟ แพนท์ รองกรรมการผู้จัดการ สายธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ซีพีอินเดีย คือคีย์แมนคนสำคัญที่เข้าใจพื้นที่ ตลาด และรสนิยมของคนแขก

ในอีกด้านก็ยังพกความกว้างขวางตามสไตล์เด็กที่ไปเรียนหนังสือและใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกามากกว่า 10 ปี และยังเคยมีประสบการณ์ทำงานในเครือพีแอนด์จี

เมื่อนำความเชี่ยวชาญทางการตลาด มาผสานกับโมเดลความสำเร็จธุรกิจของไก่ห้าดาวในไทย ทำให้เชื่อว่า 200 จุดจำหน่ายในทำเลทองของบังกาลอร์ในปีหน้า จะไม่ใช่เรื่องยากนัก

สิ่งสุดท้ายที่จะเอาชนะให้ได้คือ “ราคาที่เหมาะสม” ไม่แพงเว่อร์ จนจับต้องไม่ได้

สถิต มองว่ากำไรน้อยแต่ขายมาก ก็กลายเป็นมากได้ และยังจะเป็นการตีกันคู่แข่งขันให้ไม่อยากลงมาแข่งด้วย เพราะกำไรน้อย ไหนจะต้องมาดูแลแฟรนไชส์

แต่ซีพีเอฟอยู่ได้ เพราะมีข้อได้เปรียบจากการเป็นเจ้าของวัตถุดิบ ธุรกิจห้าดาวจึงเป็นการสร้างช่องทางการขายให้กับสินค้าในเครือ แทนการขายแต่ไก่สด ก็ขยายเป็นไก่ปรุงสุก กึ่งปรุงสุก และเมนูพร้อมรับประทาน

“กลยุทธ์ราคาเหมาะสม ขายเปอร์เซ็นต์ แต่เน้นปริมาณ ค่าบริหารก็ต่ำ และคู่แข่งไม่ลงมาแข่ง เพราะกำไรนิดเดียว”
ในส่วนของพฤติกรรมผู้บริโภค นอกจากรสชาติที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นของกลิ่นเครื่องเทศแล้ว เวลากินข้าวเย็นของคนอินเดียก็ดึกไปถึง 2-3 ทุ่ม ไก่ห้าดาวในอินเดีย จะปิดเร็วเหมือนในไทยไม่ได้ ต้องเลื่อนเวลาปิดให้ช้าลง

“เขากินข้าวเย็นในตอนค่ำก็ต้องขายตอนค่ำ”

รูปภาพ
Go อินเดีย! ถอดรหัส "ซีพีเอฟ" Feed -> Farm -> Food บุกโลก
โดย : ประกายดาว แบ่งสันเทียะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 971

โพสต์

SET:คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้น
แรงซื้อต่างชาติหนุน, มองแรงขายทำกำไรที่ 1,345

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--รอยเตอร์


*นักวิเคราะห์คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้น โดยปัจจัยหลักยังมาจากแรงซื้อของ

นักลงทุนต่างชาติที่หนุนตลาดหุ้นไทยอยู่ อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยปรับขึ้นมา

อย่างต่อเนื่องแล้ว ทิศทางการขึ้นต่อในวันนี้ น่าจะถูกจำกัดอยู่ที่บริเวณ

แนวต้านที่ 1,345 จุด ซึ่งเชื่อว่าจะมีแรงขายทำกำไรออกมา

*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดวานนี้ปรับขึ้นเล็กน้อย บวก 0.30% สู่ 13,074.04 ก่อน

การรายงานข้อมูลการจ้างงานเดือนพ.ย.ในวันศุกร์นี้ ขณะที่การดีดตัวขึ้นของ

หุ้นแอปเปิลช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

*วานนี้ ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร จาก

ความหวังที่ว่า สหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะวิกฤติทางการคลัง ส่งผลให้

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มาเลเซีย, สิงคโปร์

และอินโดนีเซีย ปิดในแดนบวกเช่นกัน ส่วนเวียดนามปิดทรงตัว

*ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดวานนี้ ร่วงลง

1.62 ดอลลาร์ สู่ระดับ 86.26 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังนายมาริโอ ดรากี

ประธานธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนเผชิญ

ความเสี่ยงช่วงขาลง และการฟื้นตัวอาจจะไม่ เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงปี 2013

*วันพฤหัสบดี ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,780.39 ลบ.จากวันอังคาร ซื้อสุทธิ 688.33 ลบ.

*เช้านี้บาท/ดอลลาร์อยู่ที่ 30.66/68 จากเมื่อวันพฤหัสบดี อยู่ที่ 30.65/67

*นักวิเคราะห์มองแนวรับที่ 1,335 ส่วนแนวต้านที่ 1,345


"momentum ยังขึ้นต่อได้ แต่เชื่อว่าที่แนวต้านระดับ 1,345 น่าจะเป็นแรงกดดัน

ระยะสั้นสำหรับตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้" นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์

หลักทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าว

เขา มองว่า แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ยังน่าจะมีต่อเนื่อง และยังเป็นปัจจัยหลักที่

หนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อได้ในวันนี้ แต่โดยภาพรวมมองว่า การปรับขึ้นคงไม่แรง เนื่องจาก

ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่องแล้ว

ทั้งนี้ ระดับดัชนีหุ้นไทยในปัจจุบัน สูงกว่าเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 1,328 จุดแล้ว แต่มุมมอง

ในปีหน้า มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,422 จุด ดังนั้นสำหรับการลงทุนในระยะยาว ก็ยัง

สามารถที่จะถือหุ้นไว้ต่อได้ โดยไม่ต้องรีบขายทำกำไร


ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ

*ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดบวก 9.82 จุด หรือ 0.74% มาที่ 1,339.88

ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36,750.97 ล้านบาท

*ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดบวก 39.55 จุด หรือ 0.3% มาที่

13,074.04 และดัชนีแนสแดค ปิดบวก 15.57 จุด หรือ 0.52% มาที่ 2,989.27

*ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้ ส่วนใหญ่ปรับขึ้น โดยตลาดหุ้นสิงคโปร์ บวก 0.87%, ญี่ปุ่น

บวก 0.17%, เกาหลีใต้ บวก 0.51%, ไต้หวัน บวก 0.50% และฮ่องกง บวก

0.51%


จับตาหุ้น

*อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์(ANAN) เข้าซื้อขายวันแรก จากราคา IPO 4.20 บาท

*WHA มั่นใจรายได้ปีนี้แตะ 2.2 พันลบ.ตามเป้าหมาย, ปีหน้าคาดโต 30%

*CENTEL รุกเปิด"โคซี่"โรงแรมราคาประหยัด เริ่มปลายปี 56

*PJW คาดรายได้ปี 56 โต 20-25%, งบลงทุนปี 55-58 ที่ราว 556 ลบ.

*TTA คาดงวดปี 55/56 พลิกมีกำไรสุทธิ, ตั้งเป้ารายได้โต 15-20%

*UAC คาดกำไรปีนี้โตเกินเป้าหมายที่ 15% แต่รายได้ต่ำกว่าเป้า--จบ--


(โดย กชกร บุญลาย รายงานและเรียบเรียง--บร--)

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 972

โพสต์

SET:ปัจจัยจับตาการลงทุนวันนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวก-ราคาน้ำมันดิบอ่อนลง


กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--รอยเตอร์


**ต่างประเทศ


*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดวานนี้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย บวก 0.30% สู่ 13,074.04 ก่อนการ

รายงานข้อมูลการจ้างงานเดือนพ.ย.ในวันศุกร์นี้ ขณะที่การดีดตัวขึ้นของหุ้นแอปเปิล

ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

*วานนี้ ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร จากความหวัง

ที่ว่า สหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะวิกฤติทางการคลัง ส่งผลให้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์

ปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ปิดใน

แดนบวกเช่นกัน ส่วนเวียดนามปิดทรงตัว

*ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดวานนี้ ร่วงลง 1.62

ดอลลาร์ สู่ระดับ 86.26 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคาร

กลางยุโรป(อีซีบี) ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนเผชิญความเสี่ยงช่วงขาลง

และการฟื้นตัวอาจจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงปี 2013

*ประธานอีซีบี เปิดเผยในการแถลงข่าวหลังอีซีบีลงมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.75% ว่า

อีซีบีจะยังคงอัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคารต่างๆในยูโรโซนต่อไปอย่างน้อยที่สุดจน

ถึงเดือนก.ค. 2013

*ดัชนีค่าระวางเรือ(Baltic Dry Index) ปิดวานนี้ (6 ธ.ค.) ลบ 32 จุด หรือ 3.13%

สู่ระดับ 990 ขณะที่ระดับสูงสุดของปีนี้อยู่ที่ 1624 และระดับต่ำสุดของปีนี้อยู่ที่ 647

*กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 25,000

ราย สู่ 370,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ธ.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ที่

ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะ

อยู่ที่ 380,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงจาก 395,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า


**เศรษฐกิจทั่วไป


*วันนี้หุ้นบมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ANAN จะเข้าซื้อขายใน SET โดยบริษัท

เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 1,333 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท โดยมี บล.

บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

*รมว.คมนาคม เผยว่าความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทยจีนว่า จีนได้สรุปผลการศึกษา

การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-หนองคาย

โดยเสนอให้ไทยก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ-ภาชี จ.พระนคร

ศรีอยุธยา ระยะทาง 54 กม. นำร่องก่อน เพื่อทดสอบระบบและจะใช้สำหรับรองรับ

การจัดงานไทยแลนด์เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ซึ่งคาดว่าไตรมาส 3 ปี 2556 จะสามารถ

ประกวดราคาหาผู้รับเหมาได้(นสพ.โพสต์ทูเดย์)

*"กิตติรัตน์" เผยว่า ไม่สามารถให้ผู้ประกอบการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นเวลา

3 ปี ตามข้อเสนอของภาคเอกชนที่จะให้ลดผลกระทบค่าแรง 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค.

56 เพราะระบบภาษีจะเลือกปฏิบัติกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คงไม่ได้ (นสพ.โพสต์ทูเดย์)

*กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน จะเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนให้ผู้ตรวจการ

แผ่นดินรัฐสภาภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมติ

ครม. เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ได้เห็นชอบร่างกรอบเอฟทีเอ ไทย-อียู ว่าเข้า

ข่ายผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ (นสพ.โพสต์ทูเดย์)

*เครดิตบูโรเล็งจับมือศูนย์วิจัยแบงก์ เตรียมจัดทำข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้สะท้อนภาพ

รวมเศรษฐกิจ เพื่อส่งสัญญาณให้สาธารณชนเป็นรายไตรมาส ชี้สัญญาณการผิดนัด

ชำระหนี้ลูกค้ารายได้ต่ำ น่าเป็นห่วง แนะทุกฝ่ายเลิกกระตุ้นวัฒนธรรมการก่อหนี้

ด้าน"ธปท."ลุยศึกษาธุรกิจ"นอนแบงก์" หวังแยกประเภทธุรกิจ เพื่อหาคนดูแล

ชี้หลังได้ข้อมูลชัดเจน ถกร่วมคลังเพิ่มเติม(นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)

*ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักงานสลากฯ จะเดินหน้า

โครงการจำหน่ายหวยตู้ เพื่อนำเงินจากหวยใต้ดินที่มีอยู่หลายแสนล้านบาทขึ้นมาบนดิน

นำมาพัฒนาสังคม โดยจะพยายามเร่งผลักดันให้ความชัดเจนในปีหน้า (นสพ.โพสต์ทูเดย์)

*ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูปมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า

สถานการณ์การเมือง จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่ต้องจับตามอง

โดยสิ่งที่อาจเป็นปัญหาคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (นสพ.โพสต์ทูเดย์)

*รมว.พลังงาน เผยวันนี้ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือเรื่องมาตรการช่วยเหลือ

ผู้มีรายได้น้อย กรณีการขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)ภาคครัวเรือน และหารือถึงแนวทาง

การขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ด้วย เพื่อทำข้อเสนอทั้งหมดเสนอ

ต่อ กพช. และจะขอเลื่อนระยะเวลาปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี (ภาคครัวเรือนและ

รถยนต์) ออกไปเป็นช่วงกลาง ก.พ.56(นสพ.มติชน)

*รมว.อุตสาหกรรม เผยบีโอไอได้ สรุปผลการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มสำคัญ

ซึ่งจะหมดระยะเวลาให้ยื่นขอรับส่งเสริมใน ธ.ค.55 พบว่ามีผู้ขอส่งเสริมการลงทุนใน

กิจการเป้าหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประเทศจำนวนมาก อาทิ กิจการพลังงานทดแทน

กิจการประหยัดพลังงาน กิจการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเกิดการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร

เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (นสพ.มติชน)


**การเมือง


*อธิบดีดีเอสไอ เผยว่าที่ประชุมร่วม ดีเอสไอ ตำรวจและอัยการ มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา

"ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา เล็งเห็นผล" แก่"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

และ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ.

ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53

*โฆษกสำนักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยว่า อีก 1-2 วันจะมีความชัดเจนว่า ผู้ตรวจการ

แผ่นดินจะยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ กรณีการประมูลใบอนุญาตโทรศัพท์

เคลื่อนที่ระบบ 3G ภายหลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำร้อง เมื่อต้นสัปดาห์นี้

*พรรคเพื่อไทย นัดส.ส.ถกแก้รัฐธรรมนูญ วันที่ 25 ธ.ค. ด้าน'นพดล'เมินคำขู่ลุย

แก้ รธน.ทำตามนโยบายหาเสียง ส่วน'เฉลิม'แนะแก้รายมาตรา(นสพ.มติชน)--จบ--


(โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--บร--)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 973

โพสต์

รูปภาพ

UAC คาดการณ์กำไรปีนี้เกินเป้าหมาย 15% หลายโครงการเดินหน้าพร้อมรับรู้ปี 2556
กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์

บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ฯ คาดกำไรปีนี้เกินเป้าหมาย 15% หลัง 9 เดือนบริษัทฯมีกำไร 103 ล้านบาท เหตุได้แรงหนุนจากราคาปิโตรเคมีในตลาดปรับเพิ่ม และลดต้นทุนการบริหารได้ดีขึ้น สำหรับปี 2556 เตรียมรับรู้รายได้โครงการ CBG โครงการแรกเต็มปี พร้อมเดินหน้าสร้างต่ออีก 10 โครงการ ส่วนโครงการ PPP สุโขทัยรับรู้ไตรมาส 2/56 มองธุรกิจพลังงานทดแทนยังขยายได้อีกมาก

นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2555 ว่า แนวโน้มของกำไรน่าจะเกินเป้าหมาย หลัง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯสามารถมีกำไรไปแล้ว 103 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 4 น่าจะมีกำไรใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของกำไรปีนี้เติบโตขึ้น 15% จากปีก่อน

ทั้งนี้ การเติบโตของกำไรดังกล่าวเป็นผลมาจากการขายและการบริการที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ขณะที่ในส่วนของรายได้คาดว่าอาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จากที่ผ่านมาเกิดปัญหาการขนส่งสินค้าที่มีความล่าช้า แต่เชื่อว่าจะอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงเป้าหมายมากที่สุด

“ในเรื่องของกำไรปีนี้คาดว่าบริษัทฯทำได้เกินเป้าหมายที่จะเติบโตขึ้น 15% ดูได้จากผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำกำไรไปแล้วกว่า 103 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 4 น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนรายได้รวมของบริษัทฯอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาจากปัญหาความล่าช้าในการส่งสินค้า แต่ยังเชื่อว่าจะยังมียอดขายมากกว่าปีก่อน”นายกิตติ กล่าว

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของ UAC ในปี 2556 นายกิตติ กล่าวว่า บริษัทฯ มีหลายโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีนี้ พร้อมรับรู้รายได้ไม่ว่าจะเป็น โครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูงจากมูลสุกรและพืชพลังงาน หรือ CBG จังหวัดเชียงใหม่ที่จะมีกำลังการผลิต และรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ประมาณ50- 60 ล้านบาท ประกอบกับโครงการ PPP (Petroleum Product Production) จังหวัดสุโขทัย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก และพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/56 โดยเบื้องต้นคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 130-140 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯได้เตรียมการก่อสร้างโครงการ CBG อีก 16 โครงการ โดย 10 โครงการจะยังคงพื้นที่ในเขตภาคเหนือใน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน ส่วนอีก 6 โครงการ บริษัทฯจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเลย ซึ่งเงินลงทุนในโครงการ CBG นั้นส่วนหนึ่ง มาจากการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ RO จำนวน 100 ล้านบาท ที่ได้ให้ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นในปลายเดือนพ.ย. ประกอบกับเงินเพิ่มทุนแบบ PO อีกกว่า 100 ล้านบาท และการออกวอร์แรนต์ ในต้นปีหน้า ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม ในแต่ละโครงการทางบริษัทฯยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติประมาณ 10% ตามนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานทดแทน

นายกิตติ กล่าวเสริมว่า พลังงานทดแทนยังคงเป็นโอกาสให้กับบริษัทฯ เพื่อจะต่อยอดในเรื่องของรายได้ และธุรกิจ เนื่องจากบริษัทฯเชื่อว่า Knowhow และความเชี่ยวชาญของ UAC สามารถมองหาวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้อีกจำนวนมาก ด้วยการวิจัย และสำรวจอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการสนับสนุนของรัฐที่เปิดโอกาสให้พลังงานทดแทนเข้ามามีบทบาทที่จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ น่าจะส่งผลให้ในอนาคตบริษัทฯจะมีรายได้ด้านพลังงานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

วันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 974

โพสต์

รูปภาพ

“โยชิโนยะ” ชวนคุณมาสนุกยิ่งขึ้นกับการทานข้าวหน้าเนื้อ

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--เซ็นทรัล เรสตอรองส์

กิจกรรม : “โยชิโนยะ” ชวนคุณมาสนุกยิ่งขึ้นกับการทานข้าวหน้าเนื้อ

รับฟรี!! ชีส / กิมจิ / ไข่ออนเซน

วันที่ : วันนี้ – 31 มกราคม 2556

สถานที่ : ร้านโยชิโนยะ ทุกสาขา

โยชิโนยะ แบรนด์ในเครือบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (ซีอาร์จี)
“สุดยอดต้นตำรับข้าวหน้าญึ่ปุ่น ตำนานกว่า 100 ปี” ชวนคุณมาสนุกยิ่งขึ้นกับการทาน “ข้าวหน้าเนื้อ”...
รับฟรี!! ชีส / กิมจิ / ไข่ออนเซน (*เลือกรับฟรี! ท็อปปิ้ง 1 อย่าง มูลค่า 20 บาท
เมื่อสั่งเมนู Beef Bowl ขนาดใหญ่)และพบกับ 2 ความอร่อยใหม่จากญี่ปุ่น

Spicy Kara-age ไก่คาราอาเกะรสเผ็ดซี๊ดดด เพียง 75 บาท

Cherry Cheese Pudding อร่อยนุ่มลิ้นจากชีสตัดรสหวานอมเปรี้ยวของเชอร์รี่ เพียง 49 บาท

เชิญลิ้มลองความอร่อยระดับตำนาน และความคุ้มค่าแบบสุดๆกับโปรโมชั่นของ โยชิโนยะ
ได้ตั้งแต่ วันนี้ – 31 มกราคม 2556 ที่ ร้านโยชิโนยะ ทุกสาขา (เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น G /
เทอมินอล 21 ชั้น 4 / เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 6 / เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 6 / เมกาบางนา ชั้น 2 /
เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 5 / ซีคอนสแควร์ ชั้น 4/ สีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น B
และเตรียมพบกับสาขาใหม่ เซ็นทรัลพระราม 3 ชั้น 5)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-66-33-888


วันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 975

โพสต์

รูปภาพ
ฉลองเทศกาลแห่งความสุข 2555

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--โรงแรม พลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน

โรงแรม พลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน เชิญท่านร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขกับครอบครัวและ เพื่อนๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริง สนุกสนานและอบอุ่น พร้อมด้วยอาหารเลิศรสและความบันเทิงอันหลากหลาย ที่ทางโรงแรมได้คัดสรรค์ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณและคนพิเศษโดยเฉพาะ


คริสต์มาสอีฟ

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 976

โพสต์

รูปภาพ

ทรูมูฟ เอช ชวนโหลด “Mr.H Stamp” เป็นรายแรกในไทย
แต่งภาพสนุกผ่านแอพ LINE camera


อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์

ทรูมูฟ เอช โชว์ศักยภาพผู้นำบริการ 3G ตัวจริง ร่วมมือกับ LINE camera แอพพลิเคชั่นสุดฮอต เปิดตัว “Mr.H Stamp” ซึ่งถือเป็นรายแรกในประเทศไทย ที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่นิยมเม้าท์มันส์และตกแต่งภาพถ่ายในสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะแชตหรือแชร์ภาพก็เร็ว แรง สนุกมากกว่าเดิม พร้อมทั้งแนะนำ “TrueMove H LINE Official Account” แจ้งข่าวสาร อัพเดตเทรนด์ใหม่ๆ และสิทธิพิเศษมากมายจาก ทรูมูฟ เอช ที่มาพร้อมสติ๊กเกอร์ Mr.H 16 แบบ สื่อความหมายโดนใจ สร้างสีสันความสนุกทุกครั้งที่แชต

•ดาวน์โหลดสแตมป์ Mr.H ฟรี! ที่แอพพลิเคชั่น LINE camera ได้แล้ววันนี้ ถึง 5 มกราคม 2556
•ดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ Mr.H ฟรี! ที่ LINE Sticker Shop ของแอพพลิเคชั่น LINE ได้แล้ววันนี้จนถึง 28 ธันวาคม 2555

สนุกกับการแชตและแต่งภาพได้นาน 90 วัน นับจากวันที่ดาวน์โหลด พิเศษ!! สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช ลุ้นรับตุ๊กตาคาเรกเตอร์สุดฮิตของแท้จากประเทศเกาหลี เพียงถ่ายรูปแรงถึงใจสไตล์คุณด้วย LINE camera แล้วตกแต่งด้วย Mr.H Stamp พร้อมแชร์ภาพผ่าน www.facebook.com/TrueMoveH ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2555 - 15 มกราคม 2556 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.truemove-h.com

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 977

โพสต์

รูปภาพ
ANAN ซื้อขายวันแรก

ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมแสดงความยินดีกับผู้บริหาร
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (ANAN) ในโอกาสเข้าเทรดวันแรก

สมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ร่วมแสดงความยินดีกับ ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่
บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ พร้อมผู้บริหาร ในโอกาสที่ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ “ANAN”
เข้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 7 ธันวาคม 2555

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 978

โพสต์

ตำซั่ว"แจ้งเกิด ร้านแซ่บวันรัชดา

อิ่มอร่อย
รูปภาพ

นอกจากร้านแซ่บวันรัชดา จะเป็นร้านอาหารอีสานรสเด็ดขวัญใจคนย่านถนนรัชดาฯ แล้ว
คนจากพื้นที่อื่นๆ ก็มักแวะเวียนไปเป็นลูกค้าให้ร้านคึกคักอยู่เสมอ ตั้งแต่เริ่มเปิดร้านตอนสายๆ
ยิ่งตอนเย็นหลังเลิกงานจะแน่นเป็นพิเศษ


การเติบโตของกิจการเริ่มจากขายบนรถเข็นจนมาเป็นร้านสุดฮิต
ถึงขนาดทำบัตรคิวแจกให้กับลูกค้า เกิดได้ด้วยเมนู "ตำซั่ว" อันเลื่องชื่อ

สุนทรี แสงพล เจ้าของร้านวัย 38 ปี เล่าว่า พื้นเพเป็นคนจังหวัดยโสธร
เข้ามาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารอีสานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 14 ปี พออายุ 18 ปี
จึงแต่งงานสร้างครอบครัว ด้วยความที่ชอบกินส้มตำและฝีมือตำส้มตำอร่อยไม่เป็นรองใคร
ตนและสามีจึงลงทุนซื้อรถเข็นและอุปกรณ์ต่างๆ โดยพยายามหาทำเลที่เป็นแหล่งชุมชน
ก็พบว่าบริเวณใกล้แยกเทียมร่วมมิตร ริมถนนรัชดาภิเษก มีรถยนต์และผู้คนสัญจรผ่านไปมาตลอดเวลา

รูปภาพ

เริ่มกิจการตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน แรกเริ่มเดิมทียังขายไม่ค่อยดี
จนสักพักลูกค้าเริ่มติดใจในรสชาติแล้วบอกต่อ ขยับขยายเปิดเป็นร้านอาหารอีสาน
ไม่น่าเชื่อผ่านไป 5 ปี มีลูกค้าแน่นตลอดทั้งวัน จนต้องตั้งชื่อร้านเพื่อเป็นที่จดจำของลูกค้า

ชื่อร้าน "แซ่บวัน" มาจากรสชาติอาหารที่แซ่บ บวกกับชื่อเล่นของตนชื่อ "วัน"
รวมกันแล้ว คือ แซ่บวัน มีเพียงสาขาเดียว เน้นเมนูส้มตำ ไม่ว่า ส้มตำไทย ส้มตำไทยไข่เค็ม
ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำปูม้า ส้มตำหอยดอง

สำหรับเมนูขึ้นชื่อจริงๆ ขายดีที่สุดต้อง ตำซั่ว เป็นสูตรเฉพาะไม่เหมือนใคร
ปกติที่มีขนมจีนและผัก แต่ที่ร้านเพิ่มปลา กรอบเข้าไปและโรยด้วยกากหมูกับถั่วงอกด้านบน
เป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นมาเอง แล้วลองทำขาย ปรากฏว่าลูกค้าชอบได้ความแปลกใหม่การที่เพิ่มปลา
กรอบและกากหมูเข้าไปไม่ทิ้งรสชาติตำซั่ว

เมื่อเพิ่มรสเค็มเข้าไป เนื้อปลาและกากหมูทำให้ตำซั่วนี้รสชาติกลมกล่อมมากขึ้น
ไม่ใช่จะเผ็ดเพียงอย่างเดียว เพราะรสชาติส้มตำจะเน้นรสจัด แต่ถ้าลูกค้าไม่ชอบก็บอกได้
หรือถ้าใครไม่พอใจในรสชาติก็คืนได้ ทางร้านเราจะตำให้ใหม่ทันทีโดยไม่คิดเงิน

เมนูกินแกล้มด้วยกัน ได้แก่ ปลาทับทิมเผาเกลือ ไก่ย่าง คอหมูย่าง
โดยเนื้อปลา เนื้อไก่ และเนื้อหมู ทุกอย่างจะซื้อของซี.พี.เท่านั้น
เพราะเป็นของที่มีคุณภาพ ผ่านกรรมวิธีการหมักของทางร้าน รวมถึงน้ำจิ้มต่างๆ
ที่เราทำเอง ร่วมกันกับเนื้อปลาหรือเนื้อไก่ที่หนานุ่มข้าวเหนียวร้อนๆ รับรองลูกค้าต้องติดใจ
อาหารของร้านเราจะเน้นความสะอาด สด ใหม่เท่านั้น วัตถุดิบทุกอย่างจะสั่งมาใหม่ทุกวันจากตลาดห้วยขวาง

ราคาตำซั่วและตำอื่นๆ เริ่มต้นที่จานละ 40 บาท ปลาทับทิมเผาเกลือตัวละ 150 บาท
ไก่ย่างตัวละ 150 บาท (ครึ่งตัว 80 บาท) คอหมูย่างจานละ 60 บาท
ทั้งนี้ยังมีบริการดีลิเวอรี่ จัดส่งอาหารให้ลูกค้าคิดค่าจัดส่งตามระยะทาง

รูปภาพ

ร้าน "แซ่บวัน รัชดา ตำซั่ว" อยู่ตรงข้ามห้างบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า สาขารัชดา
หรือข้างปั๊มปิโตรนาส ตรงแยกเทียมร่วมมิตร โทร.08-1751-3181 และ 08-1830-4894
เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00-20.30 น. วันจันทร์-วันเสาร์ หยุดวันอาทิตย์วันเดียว

รูปภาพ
วันที่ 07 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8044 ข่าวสดรายวัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 979

โพสต์

รูปภาพ

ขอเชิญเที่ยวงานประจำปี แห่เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ชุมแสง ประจ าปี 2555
ขอเชิญเที่ยวงานประจำปี แห่เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ชุมแสง ประจำปี 2555 กราบขอพร เจ้าพ่อเจ้าแม่

วันที่ 6 ธันวาคม -11 ธันวาคม 2555 ณ อ าเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
6 วัน 6 คืน พร้อมตื่นตาขบวนแห่ สุดอลังการ ชิมอาหารเลิศรส แสนรื่นรมย์ ล่องเรือชมแคว ยมน่านสราญใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 980

โพสต์

กทค.คลอดใบอนุญาตคลื่น 3จี ให้ผู้ชนะประมูลทั้ง3ราย "เอไอเอส ดีแทคและทรู"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.)
ที่มีพ.อ.ดร.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธาน ได้มีมติรับรองผลการออกใบอนุญาต
ให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 2.1กิ๊กกะเฮิร์ตซ์
ให้กับผู้ผ่านการประมูลทั้ง3รายได้แก่ ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด
บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด และบริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือทรูคอร์ปอเรชั่น

รูปภาพ
วันที่ 07 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13:26:51 น.

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 981

โพสต์

กสทช.ออกแถลงการณ์ มอบ3G เป็นของขวัญปีใหม่ เผยเงื่อนไขหลังแจกใบอนุญาตคลื่น2.1GHz

คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค) ภายใต้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ออกแถลงการณ์เรื่อง"กสทช. มอบ 3G เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน" มีเนื้่อหาระบุว่า นับตั้งแต่การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz สิ้นสุดลง ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2555 โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมประมูล 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด และบริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ซึ่งภายหลังจาก กทค. มีมติรับรองผลการประมูลในวันที่ 18 ตุลาคม 2555 โดยบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค เสนอราคาประมูลสูงสุด 14,625 ล้านบาท บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ และบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค เสนอราคาประมูลเท่ากันคือ 13,500 ล้านบาท

พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และกรรมการกิจการโทรคมนาคม ได้ร่วมประชุมกันในที่ประชุม กทค. ครั้งที่ 45/2555 วันที่ 7 ธันวาคม มีวาระพิจารณาออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ IMT ย่าน 2.1 GHz (3G) โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค) ภายใต้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติให้ออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ IMT ย่าน 2.1 GHz และใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 เพื่อประกอบกิจการตามขอบเขตการอนุญาต ให้แก่ผู้ชนะการประมูล ภายหลังจากผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการดำเนินการก่อนรับใบอนุญาตอย่างครบถ้วนและถูกต้อง ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งเป็นผู้ชนะการประมูลเรียบร้อยแล้วฃ

สำนักงาน กสทช. พิจารณาแล้ว โดยที่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด และบริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด มีการดำเนินการครบถ้วนและถูกต้องตามเงื่อนไขในการดำเนินการก่อนรับใบอนุญาต ที่กำหนดในข้อ 12 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (International Mobile Telecommunications – IMT) ย่าน 2.1 GHz พ.ศ. 2555 จึงเห็นควรเสนอที่ประชุม กทค. พิจารณาอนุมัติให้ทั้ง 3 บริษัท ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (International Mobile Telecommunications – IMT) ย่าน 2.1 GHz

ส่วนเรื่องสำคัญยิ่งที่ กทค. ต้องให้ความสำคัญ คือการคุ้มครองผู้บริโภคโดยในประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (International Mobile Telecommunications – IMT) ย่าน 2.1 GHz พ.ศ. 2555 ได้ระบุไว้ในหัวข้อมาตรการเพื่อสังคมและคุ้มครองผู้บริโภค ที่ว่า “ผู้รับใบอนุญาตต้องกำหนดอัตราค่าบริการให้เป็นธรรม สมเหตุสมผลและไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และจัดให้มีบริการที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด” กทค. จึงมีมติในที่ประชุมให้กำหนดเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต เรื่องอัตราค่าบริการ ดังนี้

1. ตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กำหนดให้ “ในการกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาต ให้คณะกรรมการกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบ โดยเฉพาะของผู้รับใบอนุญาต ให้ชัดเจน รวมทั้งกำหนดแผนการให้บริการกิจการโทรคมนาคมของผู้รับใบอนุญาต โดยอย่างน้อยต้องกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการเริ่มให้บริการ รายละเอียดของลักษณะ หรือประเภทการให้บริการ อัตราค่าบริการ การให้บริการแจ้งข้อมูลผู้ใช้เลขหมายโทรคมนาคม และการอื่นที่จำเป็นในการให้บริการเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

2. ตามประกาศ กทช. เรื่อง เงื่อนไขมาตรฐานในการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ได้กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาต ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สามไว้ในหมวดที่ 1 เงื่อนไขทั่วไป ข้อ 8 ซึ่งผู้รับใบอนุญาตแบบที่สามทุกรายต้องปฏิบัติ ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมไว้

3. นอกจากนี้ ตามข้อ 16.8.5 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลย่าน 2.1GHz พ.ศ. 2555 ได้กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตเป็นพิเศษว่า “ผู้รับใบอนุญาตต้องกำหนดอัตราค่าบริการให้เป็นธรรม สมเหตุสมผลและไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ... ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับอัตราค่าบริการ และเพื่อให้ไม่ขัดต่อประกาศ กทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการและการเรียกเก็บเงินค่าบริการล่วงหน้าในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 จึงเห็นควรกำหนดกรอบเงื่อนไขให้มีการลดค่าบริการในร้อยละที่กำหนดตามที่ กทค. ได้แสดงเจตนารมณ์ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศ กสทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการฯ

4. สำหรับเงื่อนไขใบอนุญาตที่ให้มีการลดค่าบริการเป็นร้อยละนั้น เห็นควรกำหนดเป็นร้อยละ 15 ของอัตราค่าบริการเฉลี่ยของบริการประเภทเสียง (voice) และบริการที่ไม่ใช่เสียง (non-voice) ที่มีการให้บริการอยู่ในตลาด ณ วันที่ได้รับใบอนุญาต จนกว่าคณะกรรมการจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

4.1 ที่มาของการลดลงร้อยละ 15 นั้น เนื่องจากทิศทางและแนวโน้มอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเฉลี่ยในตลาดปัจจุบันแล้วลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงประมาณร้อยละ 10 และคาดว่า หากมีผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นในตลาด จะก่อให้เกิดระดับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับผู้รับใบอนุญาตรายใหม่มีภาระต้นทุนบางส่วนที่ลดลง อันจะส่งผลให้อัตราค่าบริการมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ถึงร้อยละ 15

4.2 การกำกับดูแลอัตราค่าบริการนั้น จะพิจารณาเปรียบเทียบอัตราค่าบริการของผู้รับใบอนุญาตกับอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเฉลี่ยในตลาด ณ วันที่ได้รับอนุญาต โดยข้อมูลที่จะใช้ในการตรวจสอบอัตราค่าบริการนั้น จะพิจารณาจากการรายงานโครงสร้างและอัตราค่าบริการที่ผู้รับใบอนุญาตนำส่งแก่สำนักงานทุกวันสิ้นเดือน ตามข้อ 16 ของประกาศ กทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการและการเรียกเก็บเงินค่าบริการล่วงหน้าในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549

4.3 สำหรับเหตุผลสนับสนุนการกำหนดให้ใช้อัตราค่าบริการเฉลี่ยในตลาด ณ วันที่ได้รับอนุญาต

4.3.1. การกำหนดให้ใช้อัตราค่าบริการเฉลี่ยในตลาด ณ วันที่ได้รับใบอนุญาตจะก่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ เนื่องจากจะทำให้ผู้ประกอบการทราบว่าจะคำนวณอัตราค่าบริการให้ลดลงร้อยละ 15 โดยอาศัยฐานตัวเลขใดในการพิจารณา

4.3.2. การใช้ฐานการคำนวณจากอัตราค่าบริการเฉลี่ยในตลาด ณ วันที่ได้รับใบอนุญาตจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการทุกรายเนื่องจากใช้ตัวเลขเฉลี่ยจากอัตราค่าบริการทั้งหมดในตลาด ทำให้ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ

4.3.3. การกำหนดอัตราค่าบริการเฉลี่ยดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการทราบข้อมูลล่วงหน้าและสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนการส่งเสริมการขายล่วงหน้าได้ทันก่อนการเปิดให้บริการ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องตามเงื่อนไขการอนุญาตดังกล่าว

4.3.4. การกำหนดให้อัตราค่าบริการลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ดังกล่าว จะสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าจะได้รับค่าบริการที่ลดลงแน่ๆ โดยไม่ต้องรอให้มีการออกประกาศ กสทช. เรื่องการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงเสียก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปี จึงเท่ากับเป็นหลักประกันให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าก่อนออกประกาศดังกล่าว ผู้ประกอบการจะถูกควบคุมโดยเงื่อนไขการอนุญาตว่าค่าบริการจะลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15

การให้ใบอนุญาตฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งเริ่มต้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการสื่อสารของประเทศจากระบบสัญญาสัมปทานมาเป็นระบบการให้ใบอนุญาต โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากความสามารถในการนำคลื่นความถี่มาให้บริการเพื่อรองรับความต้องการได้มากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน ในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะอื่น อีกทั้งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ภาคเศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนสนับสนุนส่งเสริมสิทธิในการติดต่อสื่อสาร การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนให้มีความเจริญก้าวหน้า สอดคล้องกับนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในด้านกิจการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่ง กสทช. ต้องกำกับดูแลอย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด และเกิดการพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับวิวัฒนาการของโลก ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงในระดับสากลต่อไป

รูปภาพ
วันที่ 07 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13:51:39 น.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 982

โพสต์

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 983

โพสต์

รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 984

โพสต์

***หุ้นโค้งสุดท้าย... สั่งถอย ! สัปดาห์หน้าหาก SET ไม่ทำนิวไฮ

ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ ปิดตลาดในแดนลบ ปรับตัวลงไป 4.93 จุด หรือ 0.37%
มาอยู่ที่ระดับ 1,334.95 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35,195 ล้านบาท


นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ – 688.95 ล้านบาท
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ – 159.71 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ - 10.04 ล้านบาท

นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ + 951.70 ล้านบาท


นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผอ.อาวุโส สายงานวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสินบอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้าย ว่า สัปดาห์หน้า น้ำหนัก ตัวเลขเศรษฐกิจบวกนิดหน่อย ทั้งในการประชุม FOMC การประชุมของกลุ่มสหภาพยุโรปเพื่อพิจารณาช่วยเหลือกรีซ รวมทั้งการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีน

ดังนั้นในช่วงต้นสัปดาห์ เป็นจังหวะขายทำกำไร และในช่วงปลายสัปดาห์จะเห็นดัชนีปรับตัวลงเล็กน้อย และหลังกลางเดือนเป็นต้นไป เม็ดเงินจาก LTF& RMF จะไหลเข้ามามากขึ้น แต่สำหรับนักลงทุนที่รอซื้อหุ้น แนะให้ไปซื้อต้นปีจะดีกว่า เพราะช่วงนั้นสถาบันจะขายหุ้นทำกำไรออกมา โดยไตรมาส 1 ปีที่แล้วขายออกมาถึง 50,000 ล้านบาท จึงน่าจะเป็นจังหวะเข้าซื้อที่ดีกว่า

จากการรวบรวมของ Money Channel บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้กรอบการลงทุนทางด้านเทคนิคและหุ้นแนะนำในสัปดาห์หน้า ดังนี้

บล. ซีไอเอ็มบีไทย ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,328- 1,340 จุด แนะลงทุน WORK
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,325 -1,340 จุด จุด แนะลงทุน OTW

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 985

โพสต์

รูปภาพ

นักลงทุนเริ่มขายทำกำไรฉุดหุ้นปิดลบ4.93จุด

นักลงทุนเริ่มขายทำกำไรฉุดหุ้นปิดลบ4.93จุด แตะ 1,334.95 จุด อ่อนกว่าตลาดต่างประเทศ

วันนี้ (07 ธ.ค. 55) ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,334.95 จุด ลดลง 4.93 จุด(-0.37%)มูลค่าการซื้อขาย 35,194.67 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้อ่อนกว่าตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก และตลาดในยุโรปก็อยู่ในแดนบวก ทั้งนี้ มองเป็นแค่การพักฐานหลังตลาดปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว อีกทั้งยังได้แรงถ่วงจากหุ้น ANAN เป็นตัวแรกของปีนี้ที่เข้าเทรดวันแรกแล้วต่ำกว่าราคาจอง อีกทั้งมองนักลงทุนเริ่มขายทำกำไรบ้างแล้วก่อนที่จะถึงวันหยุดยาวในเทศการคริสต์มาส สัปดาห์หน้าตลาดฯมีโอกาสปรับฐานต่อ เหตุการเจรจาแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ยังไม่จบ อีกทั้งยังจะมีเรื่องจะเริ่มมีการนำ Capital Gain Tax และ Divident Gain Tax เข้ามาใช้อีกครั้ง หากใช้จริงตรงนี้จะกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,300-1,350 จุด โดยการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,343.03 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,330.26จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 206 หลักทรัพย์ ลดลง 395 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 130 หลักทรัพย์

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง และดูอ่อนกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก แม้แต่ตลาดหุ้นในยุโรปในช่วงบ่ายนี้ก็อยู่ในแดนบวก ทั้งนี้ มองว่าเป็นการพักฐานภายหลังจากที่ตลาดบ้านเราได้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว

นอกจากนี้ การเข้าเทรดวันแรกของหุ้น ANAN ก็สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน จากที่เปิดเทรดวันแรกราคาหุ้นต่ำกว่าราคาขาย IPO เป็นตัวแรกของปีนี้(2555) ซึ่งทำให้กดดันตลาดฯด้วย อีกทั้งมองว่านักลงทุนคงจะเริ่มขายทำกำไรก่อนที่จะถึงวันหยุดระยะยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายสุรชัย กล่าวว่า ตลาดฯมีโอกาสที่จะปรับฐานต่อ เนื่องจากมีประเด็นการเจรจาแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ อีกทั้งตลาดสหรัฐฯก็จะเริ่มมีการนำ Capital Gain Tax และ Divident Gain Tax เข้ามาใช้อีกครั้ง หากใช้จริงตรงนี้จะกดดันหุ้นในสหรัฐฯเป็นอย่างมาก และจะกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอีกด้วย แม้ว่าตลาดบ้านเราจะมีแรงซื้อจาก LTF และ RMF เข้ามาช่วยหนุนตลาดฯก็ตาม พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,300-1,350 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

ANAN มูลค่าการซื้อขาย 2,219.01 ล้านบาท ปิดที่ 3.80 บาท จากราคา IPO 4.20 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,079.04 ล้านบาท ปิดที่ 153.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,668.37 ล้านบาท ปิดที่ 185.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,623.13 ล้านบาท ปิดที่ 171.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,597.78 ล้านบาท ปิดที่ 66.00 บาท ลดลง 0.50 บาท


รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 986

โพสต์

SET:หุ้นไทยปิดลบ 0.37% ขายกลุ่มอสังหาฯ-พลังงาน, ยังกังวล fiscal cliff

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--รอยเตอร์


ดัชนีหุ้นไทยปิดลบ 0.37% หลังภาวะการซื้อขายภาคบ่าย ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ

แคบ โดยมีแรงขายหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มพลังงานฉุดตลาด ขณะที่มูลค่าการ

ซื้อขายไม่มากนัก อยู่ในระดับกว่า 3 หมื่นล้านบาท

นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นได้รับปัจจัยหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุน

ต่างชาติที่กลับมาซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่นักลงทุนก็ยังกังวลต่อความไม่แน่นอนของ

เศรษฐกิจยุโรป รวมถึงภาวะหน้าผาการคลัง(fiscal cliff) ของสหรัฐ จึงทำให้มีการ

ขายทำกำไรในระหว่างวัน

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดลบ 4.93 จุด มาที่ 1,334.95 ขณะที่ดัชนีสูงสุดอยู่

ที่ 1,343.03 และต่ำสุดที่ 1,330.26 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 35,194.67 ล้านบาท

ขณะที่ SET 50 ปิดลบ 3.52 จุด หรือ 0.39% มาที่ 905.71 และ SET 100

ปิดลบ 7.24 จุด หรือ 0.36% มาที่ 1,992.43

ดัชนีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ลบ 0.38% มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ 21.87%

รองลงมา ได้แก่ กลุ่มธนาคาร บวก 0.50% และกลุ่มพลังงาน ลบ 0.99%


"ตลาดวันนี้ค่อนข้างผันผวน ดัชนีขึ้นลงในแดนบวกสลับกับแดนลบ และในระหว่างวัน

ก็มีแรงขายทำกำไรออกมา" นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย

บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าว

นางสาวธีรดา กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้ปัจจัยหลักมาจากแรงซื้อของนักลงทุน

ต่างชาติ ที่กลับมาสะสมหุ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความไม่แน่นอนในปัญหาเศรษฐกิจของยุโรป

รวมถึง fiscal cliff ของสหรัฐ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อการลงทุน

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า เขา คาดว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยจะ

ต้องติดตามการกระชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)

ในวันที่ 11-12 ธ.ค.นี้ ว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงยังต้องติดตามเกี่ยวกับ fiscal cliff

โดยดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,310 และ 1,300 ส่วนแนวต้านที่ 1,350


หลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด

ANAN ซื้อขายวันแรก อยู่ที่ 3.80 บาท (ราคา IPO ที่ 4.20 บาท)

PTTEP ลบ 2.50 บาท มาที่ 153.00 บาท

BBL บวก 0.50 บาท มาที่ 185.00 บาท

SCB บวก 2.00 บาท มาที่ 171.00 บาท

INTUCH ลบ 0.50 บาท มาที่ 66.00 บาท--จบ--


(โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร รายงานและเรียบเรียง--บร--)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 987

โพสต์

*SET:ตลท.เผยวันนี้นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 103.04 ล้านบาท

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--รอยเตอร์


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ระบุในเว็บไซต์
สรุปการซื้อขายหลักทรัพย์ จำแนกประเภทผู้ลงทุน
ซึ่งไม่รวมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai)ประจำวันดังนี้


ประเภทนักลงทุน มูลค่าซื้อ(ลบ.) มูลค่าขาย(ลบ.) สุทธิ(ลบ.)

นักลงทุนสถาบัน 2,531.05 3,220.00 -688.95

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 4,230.51 4,390.22 -159.71

นักลงทุนต่างชาติ 9,205.64 9,308.68 -103.04


นักลงทุนทั่วไป 19,227.47 18,275.77 +951.70



ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ปิด ลบ 4.93 จุด หรือ 0.37% มาที่ 1,334.95

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 988

โพสต์

รูปภาพ
กสทช.ให้ไลเซน3โอเปอเรเตอร์ทันที ให้ลดค่าบริการ15%

(เบื้องต้น) มติ กสทช.ออกใบอนุญาต 3 จี ให้โอเปอเรเตอร์ 3 ราย ที่ชนะประมูล มีผลทันที ให้ลดค่าบริการลง 15%

รูปภาพ
วันที่ 7 ธันวาคม 2555 17:11
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 989

โพสต์

สรุปข่าววันที่ 7 ธ.ค.2555 เวลา06.00 น.-18.00 น.

รูปภาพ

มติบอร์ด กทค. 4:1 เห็นชอบให้ไลเซ่นส์ 3 จี แก่เอกชน 3 ราย
ในเครือเอไอเอส ดีแทค ทรูที่ชนะการประมูล คาดดีเดย์ 14 ธ.ค.นี้
อายุ 15 ปี นับจาก 7 ธ.ค. 2555 วันอนุมัติ
เอเบคโพลล์ ชี้ ในหลวงเสด็จออกสีหบัญชรทำปชช.
ปลื้มปีติ-มีความสุข พุ่งสูงสุด 9.52 จากคะแนนเต็ม 10 โล่ง
สิ้นสุดวิกฤตการณ์ 67 ชั่วโมง ซ่อมสายเคเบิลสำเร็จแล้ว เกาะสมุย-พะงัน มีไฟฟ้าใช้ได้ตามปกติ..


http://www.thairath.co.th/content/region/311723

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 990

โพสต์

"Property Perfect"
เปิดตัวคอนโด "THE LAKE @ METRO PARK SATHORN"


รูปภาพ
"Property Perfect" เปิดตัวคอนโด "THE LAKE @ METRO PARK SATHORN" ซึ่งไม่ใช่แค่เท่ แต่เท่กระจายด้วยนิยามใหม่ของคอนโดจาก "Property Perfect" กับคอนโดเท่ๆ ติดทะเลสาบ พร้อมไลฟ์สไตล์เก๋ๆ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า...

จากข่าวความคืบหน้าการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้า ทำให้เส้นทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านในแต่ละจุด เกิดความคึกคักจนเป็นที่น่าจับตามองของบรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายๆ ราย เพราะเป็นช่องทางที่สามารถลงทุนและสร้างผลประกอบการได้มากมายในอนาคต ทำเลใกล้รถไฟฟ้าจึงเป็นคำโปรโมตที่ติดหูของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในยุคนี้ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งมีจุดเด่นในด้านทำเล ส่วนมากจะตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่ติดรถไฟฟ้า และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้อยู่อาศัยมองหานอกจากความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ไปจนถึงไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมนั่นคือ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของแต่ละคอนโดมิเนียม โดยแต่ละแห่งจะมีการจัดสรรพื้นที่ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งหนึ่งในผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่นและใส่ใจในเรื่องการอยู่อาศัยอย่าง Property Perfect ก็ได้เปิดตัวอีกหนึ่งคอนโดมิเนียมทำเลศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า พร้อม Facilities ที่ครบครัน เหมาะสำหรับคนเมืองอย่าง “THE LAKE @ METRO PARK SATHORN” คอนโดพร้อมอยู่ ภายใต้คอนเซปต์สุดเก๋ “เท่กระจายได้ NOW คอนโดติด LAKE ใกล้รถไฟฟ้า เพื่อชีวิตติด Trend”

รูปภาพ

จุดเด่นของ “THE LAKE @ METRO PARK SATHORN” คือ คอนโดติดทะเลสาบ มอบไลฟ์สไตล์สุด Chic พร้อม Facilities สุด Cool อาทิ สระว่ายน้ำติด Lake และ Club House ขนาดใหญ่ ที่ไม่ว่าจะฟิตเนส หรือสนามพัทกอล์ฟ ก็ให้คุณใช้ชีวิตเท่ๆ ได้ทั้งในวันทำงานและวันพักผ่อน สร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการอยู่อาศัย ด้วยการเดินทางที่สะดวกสบายเพียงแค่ 10 นาทีก็ถึงสาทร ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยาย “สถานีวุฒากาศ” อีกทั้งภายในโครงการยังมี True Coffee ให้ได้นั่งพักผ่อน จิบกาแฟได้สบายๆ ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวอีกกว่า 70% เพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้กับผู้อยู่อาศัย ยังไม่นับรวม Lifestyle Mall หน้าโครงการ ซึ่งกำลังจะสร้างขึ้น ไม่ว่าจะ Shopping หรือพักผ่อนทานอาหารเมนูเก๋ๆ ทุกมื้อก็ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล จัดว่าเป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตเมืองชนิดที่หาได้ยากในยุคนี้

สำหรับผู้สนใจอยากมีชีวิตเมืองแบบเท่กระจายได้ NOW กับ “THE LAKE @ METRO PARK SATHORN” ไปพบกับ Promotion พิเศษสุดได้ที่ Sales Gallery 14-15-16 ธันวาคมนี้เท่านั้น พิเศษเริ่มเพียง 1.59 ล้าน แถม Register NOW รับส่วนลดเพิ่ม 50,000 บาททันที Click NOW http://www.pf.co.th/TheLake หรือ Call NOW 1375

รูปภาพ