Re: ใกล้ฟองสบู่ ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 18, 2013 9:37 am
ขอบคุณทุกความเห็นเลยค่ะ
บทความดร.นิเวศน์ วันนี้เหมือนตอบข้อสงสัยที่คาใจอยู่
บทความดร.นิเวศน์ วันนี้เหมือนตอบข้อสงสัยที่คาใจอยู่
picatos เขียน:เอาเรื่องใกล้ตัวง่ายๆ ก็เป็นความรู้สึกที่เห็นคนรอบๆ ตัวเล่นหุ้นมากขึ้น คิดจะออกจากงานประจำมาลงทุนเต็มตัวมากขึ้น ทั้งๆ ที่พอร์ตเล็กนิดเดียว (วีไอสมัยก่อนออกมาลงทุนเต็มตัวตอนมีเงิน 10 ล้านบาทนี่ก็ถือว่าเร็วมาก และเสี่ยงมากแล้วนะครับ) ความคาดหวังว่าจะหาเงินได้ง่ายๆ สูงมาก ทั้งๆ ที่ประสบการณ์ความรู้มีน้อยนิด หนังสือหุ้นเต็มไปหมด งานสัมมนาหุ้นคนจองเต็มเร็วมาก ฯลฯ อีกมากมายที่ดูแค่นี้ก็รู้ว่ากระทิงตัวนี้ไม่ธรรมดา น่าจะอยู่ในระดับฟองสบู่skyearth เขียน:ถามพี่ picatos หน่อยครับ ทำไมถึงพี่คิดว่าเป็นฟองสบู่เหรอครับ (ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ)picatos เขียน:อ้าว... นี่เราไม่ได้อยู่ในฟองสบู่หรอกเหรอ?
ผมเข้าใจว่าตลาดแบบนี้แหละที่เรียกว่าฟองสบู่ เป็นฟองสบู่ที่ drive ด้วยสภาพคล่องที่ถูกอัดฉีดเข้ามาล้นโลก ส่วนจะแตกเมื่อไหร่นี่ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ก่อนแตกนี่สนุ้กสนุก แต่หลังแตกนี่เซ็งเป็ดมากมาย
พี่เอาอะไรเป็นตัววัดเหรอครับ ความรู้สึก, เงินนอก (เป็นเงินระยะสั้น หรือ ระยะยาว), รายรับ/รายจ่าย หรือ เอา p/e ตลาดเป็นเกณฑ์ครับ
และทำไมตลาดถึงกล้าให้ p/e รวมที่สูงขึ้น เป็นเพราะความคาดหวังใน growth ที่ดีขึ้น หรือ ถ้าเป็นเพราะเงินมันไม่มีที่ไปจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีราคาที่สูงขึ้นตามรึปล่าว ไม่เว้นแม้แต่สภาพคล่องในตลาด หรือไม่, แล้วอสังหา, สินค้าอุปโภค บริโภค ตลอดจนปัจบัยที่ 6 เช่น รถยนต์ มือถือ. etc รวมทั้ง เงินเดือน
และ หุ้นที่ตลาดคาดการณ์ว่ามี growth สูงๆ และก็ให้ p/e ที่สูงตาม แบบนี้ควรเรียกว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ครับ
ปล. ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ แค่อยากถามความเห็นความรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์ คือ คืออยากจะได้ความชัดเจนในการวิเคราะห์นะครับ เพื่อจะได้เตรียมการและเตรียมใจได้ว่าเมื่อไหร่ ควรจะระวังๆไว้ครับ ขอบคุณครับ
ข้อสังเกตแรกมาจากประสบการณ์ในตลาดประมาณ 10 ปี กับที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเกี่ยวกับบรรยากาศและสภาวะตลาดว่าคนในช่วงฟองสบู่เป็นอย่างไร? Irrational Exuberance เป็นอย่างไร? Herding Behaviour เป็นอย่างไร? Wealth Effect เป็นอย่างไร?... ซึ่งเหล่านี้จะเป็นศาสตร์เกี่ยวกับพวกเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม
มาทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหน่อยละกัน... อันนี่น่าจะเข้าถึงง่าย และไม่ค่อยเป็นปัจจัตตัง เท่ากับพวก Behavioural Economics... ตามปกติ ธรรมชาติของธุรกิจ และเศรษฐกิจ จะเป็น Cycle ของมันอยู่แล้ว... ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหาหนัก ธนาคารกลาง และรัฐบาลจึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ด้วยการอัดเงินเข้าระบบ และ ใช้งบประมาณแบบขาดดุล ซึ่งความรู้ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถทำได้ถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจจะพังหนัก จึงเดาได้เลยว่า ดอกเบี้ยที่ extremely low และ การขาดดุลงบประมาณวันหนึ่งจะต้องจบลงอย่างแน่นอน จึงอาจกล่าวได้ว่า นี้เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ทำให้ผลประกอบการของธุรกิจดี
การกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว เป้าหมายของรัฐฯ คือ ต้องการให้อัตราการว่างงานลดลง ให้อยู่ในสภาวะที่กลับเข้าไปสู่ full employment อย่างไรก็ตามภายใต้กระบวนการดังกล่าว เงินที่อัดเข้ามาจะไปอยู่ในกระเป๋าคนรวย เข้าไปเป็น asset bubble ซะส่วนใหญ่ อันนี้มีทฤษฎีรองรับมากมาย หาอ่านได้ง่ายๆ ตามหนังสือเศรษฐศาสตร์... รัฐฯ รู้ว่าเงินไปอยู่ผิดที่ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐฯ จำเป็นต้องทำอยู่ดี พยายามอย่างถึงที่สุดให้เงินถูกส่งผ่านเจ้าของกิจการ ไปสู่อัตราการว่างงานที่ต่ำลง ผลก็คือ เกิด asset bubble ปูดออกมาในทางใดก็ทางหนึ่ง... ลองไปหาอ่านพวก Wealth Effect ในทางเศรษฐศาสตร์ละกันนะครับ ถ้าจำไม่ผิด
ที่นี้ช่วงที่ผ่านมา เราก็เห็นว่ากำไรของกิจการในไทย โตขึ้นเพราะ มาตรการรัฐหลายๆ อย่าง การลดภาษี ดอกเบี้ยที่ต่ำเกินจริง ซึ่งวันหนึ่งต้องสูงขึ้น เพราะ มันจะไปทำให้เงินเฟ้อในระยะยาวมันสูงขึ้น... สิ่งนี้เรามั่นใจได้ว่า มันเป็นปัจจัยชั่วคราว... วันหนึ่งมันจะหมดไปอย่างแน่นอน
แต่ตลาดกลับสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการให้ P/E ที่สูงขึ้นมากกว่ากำไรที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก กำไรสูงขึ้นนิดเดียว แต่ให้ P/E สูงขึ้นมากๆ แถมกำไรที่ดีขึ้นก็เกิดจากปัจจัยชั่วคราวทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าเรามองภาพได้ครบ เราก็จะรู้ว่ากำไรในอนาคตจะลดลง ดังนั้น ในการทำ valuation เราควรที่จะไม่เพิ่ม P/E แต่ควรที่จะให้ P/E ที่ต่ำลงด้วยซ้ำ หากเรามองเห็นภาพของพื้นฐานหลายๆ อย่างได้ครบถ้วน... แต่ทำไมมันถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ล่ะ... ทำไม P/E ถึงเพิ่ม ทั้งๆ ที่ growth ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็น sustainable growth... สำหรับผม ความโลภ ความสำคัญผิด ความไม่รู้ น่าจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นฟองสบู่ และเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ P/E สูงขึ้นเรื่อยๆ
สำคัญที่สุด... สิ่งที่ผมรู้สึก คือ ผมไม่ค่อยกล้าทำ valuation แบบละเอียดสักเท่าไหร่ ช่วงนี้เวลาทำทีไร ผมอยากขายหุ้นทุกที เพราะ เวลาผมทำ valuation ผมจะมองไปที่อัตราผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งก็คือ การคำนวณหา Cost of Capital ที่สะท้อนกลับออกมาผ่านทางโมเดล DCF ซึ่งพอทำออกมาทีไร จะรู้สึกว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่าสักเท่าไหร่... ซึ่งก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ... ฟองสบู่เป็นช่วงที่ทำให้เรารวยเร็วสุดๆ มันเป็นการดึงความเป็นไปดีๆ ในอนาคตทั้งหมดมา realize ในปัจจุบัน อย่างผมซื้อหุ้น ตามปกติผมต้องการอัตราผลตอบแทนระยะยาวสัก 15-20% วันดีคืนดีคนยอมซื้อมันแพงขึ้นๆ จนอัตราผลตอบแทนระยะยาวลดลงๆ เหลือ 10% 5% 3% 2% 1% จนผลตอบแทนติดลบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีคนที่บ้าพอที่จะยอมซื้อของที่เราถือในราคาที่ชาตินี้เราจะไม่มีวันยอมซื้อ ถึงแม้จะเอาปืนมาจ่อหัวก็เถอะ...
ดังนั้นในช่วงฟองสบู่... เป็นช่วงที่วีไอควรที่จะ enjoy extraordinary gain ให้มาก ควรที่จะอดทนไม่ขาย ถึงแม้จะมีคนบ้าขนาดไหนมาเสนอซื้อหุ้นของเราในราคาที่ชาตินี้เราไม่เคยฝันว่าจะมีคนบ้าขนาดไหนมาขอซื้อเราสูงขนาดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า พรุ่งนี้มันอาจจะสูงกว่านี้ก็ได้...
แต่ผมจะไปขายตอนที่ อัตราผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไปเป็น 2% ไปเป็น 3% ซึ่งอาจจะหมายถึงหุ้นตกลง 20-30% ก็ได้ แต่สิ่งที่ผมได้คือ ผม realize ผลตอบแทนในอนาคตที่ผมไม่อาจจะหาได้หากผมลงทุนระยะยาวและไม่มีความบ้าคลั่งของตลาด... ซึ่ง ณ เวลานั้น ผมพร้อมที่จะโยนซ้าย ขายที่ floor แบบชิวๆ เพราะ ผมกำไรเยอะมากแล้ว และรู้ว่าถึงแม้จะขายที่ floor กำไรที่ผมได้ก็ยังเป็นกำไรในอนาคต ที่ผมจะไม่มีวันได้หากไม่เกิดฟองสบู่
สุดท้าย... ขอให้ทุกคนมีความสุขกับงานเลี้ยงอันสุดแสนจะมันอย่างสุดเหวี่ยงนี้นะครับ... สำหรับผม ผมยินดีที่จะอยู่เกินเที่ยงคืนนิดหน่อย ช่วยล้างจานสักใบสองใบ แต่คงจะไม่อยู่จนถึงเช้า ล้างจานไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่า พรุ่งนี้เช้าจะมีงานเลี้ยงรอบใหม่
prichar s. เขียน:ไม่ใช่ฟองสบู่แตกหรอกครับ
แค่รถซิ่ง(หลาย ๆ คัน)เกิดชนกันบนทางด่วนเท่านั้น
รอสักครู่ หน่วยฉุกเฉินกำลังลำเลียงคนเจ็บส่งเข้ารพ.
เดี๋ยวเคลียร์ซากรถบนถนนเสร็จ
พวกที่เหลือก็จัดขบวนวิ่งกันต่อได้
ระวังเค้าปิดประตูจนต้องล้างถึงเช้านะครับ คริๆ แซวเล่นนะครับchung_me เขียน:picatos เขียน:เอาเรื่องใกล้ตัวง่ายๆ ก็เป็นความรู้สึกที่เห็นคนรอบๆ ตัวเล่นหุ้นมากขึ้น คิดจะออกจากงานประจำมาลงทุนเต็มตัวมากขึ้น ทั้งๆ ที่พอร์ตเล็กนิดเดียว (วีไอสมัยก่อนออกมาลงทุนเต็มตัวตอนมีเงิน 10 ล้านบาทนี่ก็ถือว่าเร็วมาก และเสี่ยงมากแล้วนะครับ) ความคาดหวังว่าจะหาเงินได้ง่ายๆ สูงมาก ทั้งๆ ที่ประสบการณ์ความรู้มีน้อยนิด หนังสือหุ้นเต็มไปหมด งานสัมมนาหุ้นคนจองเต็มเร็วมาก ฯลฯ อีกมากมายที่ดูแค่นี้ก็รู้ว่ากระทิงตัวนี้ไม่ธรรมดา น่าจะอยู่ในระดับฟองสบู่skyearth เขียน:ถามพี่ picatos หน่อยครับ ทำไมถึงพี่คิดว่าเป็นฟองสบู่เหรอครับ (ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ)picatos เขียน:อ้าว... นี่เราไม่ได้อยู่ในฟองสบู่หรอกเหรอ?
ผมเข้าใจว่าตลาดแบบนี้แหละที่เรียกว่าฟองสบู่ เป็นฟองสบู่ที่ drive ด้วยสภาพคล่องที่ถูกอัดฉีดเข้ามาล้นโลก ส่วนจะแตกเมื่อไหร่นี่ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ก่อนแตกนี่สนุ้กสนุก แต่หลังแตกนี่เซ็งเป็ดมากมาย
พี่เอาอะไรเป็นตัววัดเหรอครับ ความรู้สึก, เงินนอก (เป็นเงินระยะสั้น หรือ ระยะยาว), รายรับ/รายจ่าย หรือ เอา p/e ตลาดเป็นเกณฑ์ครับ
และทำไมตลาดถึงกล้าให้ p/e รวมที่สูงขึ้น เป็นเพราะความคาดหวังใน growth ที่ดีขึ้น หรือ ถ้าเป็นเพราะเงินมันไม่มีที่ไปจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีราคาที่สูงขึ้นตามรึปล่าว ไม่เว้นแม้แต่สภาพคล่องในตลาด หรือไม่, แล้วอสังหา, สินค้าอุปโภค บริโภค ตลอดจนปัจบัยที่ 6 เช่น รถยนต์ มือถือ. etc รวมทั้ง เงินเดือน
และ หุ้นที่ตลาดคาดการณ์ว่ามี growth สูงๆ และก็ให้ p/e ที่สูงตาม แบบนี้ควรเรียกว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ครับ
ปล. ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ แค่อยากถามความเห็นความรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์ คือ คืออยากจะได้ความชัดเจนในการวิเคราะห์นะครับ เพื่อจะได้เตรียมการและเตรียมใจได้ว่าเมื่อไหร่ ควรจะระวังๆไว้ครับ ขอบคุณครับ
ข้อสังเกตแรกมาจากประสบการณ์ในตลาดประมาณ 10 ปี กับที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเกี่ยวกับบรรยากาศและสภาวะตลาดว่าคนในช่วงฟองสบู่เป็นอย่างไร? Irrational Exuberance เป็นอย่างไร? Herding Behaviour เป็นอย่างไร? Wealth Effect เป็นอย่างไร?... ซึ่งเหล่านี้จะเป็นศาสตร์เกี่ยวกับพวกเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม
มาทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหน่อยละกัน... อันนี่น่าจะเข้าถึงง่าย และไม่ค่อยเป็นปัจจัตตัง เท่ากับพวก Behavioural Economics... ตามปกติ ธรรมชาติของธุรกิจ และเศรษฐกิจ จะเป็น Cycle ของมันอยู่แล้ว... ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหาหนัก ธนาคารกลาง และรัฐบาลจึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ด้วยการอัดเงินเข้าระบบ และ ใช้งบประมาณแบบขาดดุล ซึ่งความรู้ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถทำได้ถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจจะพังหนัก จึงเดาได้เลยว่า ดอกเบี้ยที่ extremely low และ การขาดดุลงบประมาณวันหนึ่งจะต้องจบลงอย่างแน่นอน จึงอาจกล่าวได้ว่า นี้เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ทำให้ผลประกอบการของธุรกิจดี
การกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว เป้าหมายของรัฐฯ คือ ต้องการให้อัตราการว่างงานลดลง ให้อยู่ในสภาวะที่กลับเข้าไปสู่ full employment อย่างไรก็ตามภายใต้กระบวนการดังกล่าว เงินที่อัดเข้ามาจะไปอยู่ในกระเป๋าคนรวย เข้าไปเป็น asset bubble ซะส่วนใหญ่ อันนี้มีทฤษฎีรองรับมากมาย หาอ่านได้ง่ายๆ ตามหนังสือเศรษฐศาสตร์... รัฐฯ รู้ว่าเงินไปอยู่ผิดที่ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐฯ จำเป็นต้องทำอยู่ดี พยายามอย่างถึงที่สุดให้เงินถูกส่งผ่านเจ้าของกิจการ ไปสู่อัตราการว่างงานที่ต่ำลง ผลก็คือ เกิด asset bubble ปูดออกมาในทางใดก็ทางหนึ่ง... ลองไปหาอ่านพวก Wealth Effect ในทางเศรษฐศาสตร์ละกันนะครับ ถ้าจำไม่ผิด
ที่นี้ช่วงที่ผ่านมา เราก็เห็นว่ากำไรของกิจการในไทย โตขึ้นเพราะ มาตรการรัฐหลายๆ อย่าง การลดภาษี ดอกเบี้ยที่ต่ำเกินจริง ซึ่งวันหนึ่งต้องสูงขึ้น เพราะ มันจะไปทำให้เงินเฟ้อในระยะยาวมันสูงขึ้น... สิ่งนี้เรามั่นใจได้ว่า มันเป็นปัจจัยชั่วคราว... วันหนึ่งมันจะหมดไปอย่างแน่นอน
แต่ตลาดกลับสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการให้ P/E ที่สูงขึ้นมากกว่ากำไรที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก กำไรสูงขึ้นนิดเดียว แต่ให้ P/E สูงขึ้นมากๆ แถมกำไรที่ดีขึ้นก็เกิดจากปัจจัยชั่วคราวทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าเรามองภาพได้ครบ เราก็จะรู้ว่ากำไรในอนาคตจะลดลง ดังนั้น ในการทำ valuation เราควรที่จะไม่เพิ่ม P/E แต่ควรที่จะให้ P/E ที่ต่ำลงด้วยซ้ำ หากเรามองเห็นภาพของพื้นฐานหลายๆ อย่างได้ครบถ้วน... แต่ทำไมมันถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ล่ะ... ทำไม P/E ถึงเพิ่ม ทั้งๆ ที่ growth ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็น sustainable growth... สำหรับผม ความโลภ ความสำคัญผิด ความไม่รู้ น่าจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นฟองสบู่ และเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ P/E สูงขึ้นเรื่อยๆ
สำคัญที่สุด... สิ่งที่ผมรู้สึก คือ ผมไม่ค่อยกล้าทำ valuation แบบละเอียดสักเท่าไหร่ ช่วงนี้เวลาทำทีไร ผมอยากขายหุ้นทุกที เพราะ เวลาผมทำ valuation ผมจะมองไปที่อัตราผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งก็คือ การคำนวณหา Cost of Capital ที่สะท้อนกลับออกมาผ่านทางโมเดล DCF ซึ่งพอทำออกมาทีไร จะรู้สึกว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่าสักเท่าไหร่... ซึ่งก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ... ฟองสบู่เป็นช่วงที่ทำให้เรารวยเร็วสุดๆ มันเป็นการดึงความเป็นไปดีๆ ในอนาคตทั้งหมดมา realize ในปัจจุบัน อย่างผมซื้อหุ้น ตามปกติผมต้องการอัตราผลตอบแทนระยะยาวสัก 15-20% วันดีคืนดีคนยอมซื้อมันแพงขึ้นๆ จนอัตราผลตอบแทนระยะยาวลดลงๆ เหลือ 10% 5% 3% 2% 1% จนผลตอบแทนติดลบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีคนที่บ้าพอที่จะยอมซื้อของที่เราถือในราคาที่ชาตินี้เราจะไม่มีวันยอมซื้อ ถึงแม้จะเอาปืนมาจ่อหัวก็เถอะ...
ดังนั้นในช่วงฟองสบู่... เป็นช่วงที่วีไอควรที่จะ enjoy extraordinary gain ให้มาก ควรที่จะอดทนไม่ขาย ถึงแม้จะมีคนบ้าขนาดไหนมาเสนอซื้อหุ้นของเราในราคาที่ชาตินี้เราไม่เคยฝันว่าจะมีคนบ้าขนาดไหนมาขอซื้อเราสูงขนาดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า พรุ่งนี้มันอาจจะสูงกว่านี้ก็ได้...
แต่ผมจะไปขายตอนที่ อัตราผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไปเป็น 2% ไปเป็น 3% ซึ่งอาจจะหมายถึงหุ้นตกลง 20-30% ก็ได้ แต่สิ่งที่ผมได้คือ ผม realize ผลตอบแทนในอนาคตที่ผมไม่อาจจะหาได้หากผมลงทุนระยะยาวและไม่มีความบ้าคลั่งของตลาด... ซึ่ง ณ เวลานั้น ผมพร้อมที่จะโยนซ้าย ขายที่ floor แบบชิวๆ เพราะ ผมกำไรเยอะมากแล้ว และรู้ว่าถึงแม้จะขายที่ floor กำไรที่ผมได้ก็ยังเป็นกำไรในอนาคต ที่ผมจะไม่มีวันได้หากไม่เกิดฟองสบู่
สุดท้าย... ขอให้ทุกคนมีความสุขกับงานเลี้ยงอันสุดแสนจะมันอย่างสุดเหวี่ยงนี้นะครับ... สำหรับผม ผมยินดีที่จะอยู่เกินเที่ยงคืนนิดหน่อย ช่วยล้างจานสักใบสองใบ แต่คงจะไม่อยู่จนถึงเช้า ล้างจานไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่า พรุ่งนี้เช้าจะมีงานเลี้ยงรอบใหม่
ขอโอกาสถามพี่ picatos เรื่องที่พี่บอกว่าจะไปขายตอนที่ผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไป 2% 3% ครับ อยากรบกวนพี่ช่วยขยายความให้คนเขลาเช่นผมด้วยครับว่าคิดอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
หน่วยฉุกเฉินโปรดทราบ ช่วยเพิ่มสัญญาณไฟฉุกเฉินหน่อยครับ ตอนนี้ทัศนวิสัยไม่ดี เกรงว่าทั้งรถที่ซิ่งและไม่ซิ่งจะวิ่งเข้าไปชนซากรถซ้ำครับprichar s. เขียน:ไม่ใช่ฟองสบู่แตกหรอกครับ
แค่รถซิ่ง(หลาย ๆ คัน)เกิดชนกันบนทางด่วนเท่านั้น
รอสักครู่ หน่วยฉุกเฉินกำลังลำเลียงคนเจ็บส่งเข้ารพ.
เดี๋ยวเคลียร์ซากรถบนถนนเสร็จ
พวกที่เหลือก็จัดขบวนวิ่งกันต่อได้
leky เขียน:คลื่นลมแรงจริง ๆ ครับ
ซื้อขายโปรดตัดสินใจโดยดูที่พื้นฐานของบ.กันด้วยนะครับ MOS[/size] ครับ อย่าลืมเด็ดขาด อย่ามองเพียงว่าวันก่อนมันราคาเท่านี้แต่วันนี้มันราคาถูกกว่าวันก่อนนะครับ แต่มองด้วยว่าราคาในวันนี้มันขึ้นมาจากที่เท่าไหร่อย่ามองเพียงว่ามันลงมาจากเท่าไหร่ โชคดีทุก ๆ ท่านครับ
ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับprichar s. เขียน: แรงแบบนี้ผมเรียก"พายุ"
มือเก่า-มือใหม่ขวัญกระเจิงหมดแล้ว
ผมอยู่มาตั้งนาน ก็ยังไม่ชินซะที
เกาะพื้นฐานกิจการไว้แน่น ๆ ครับ
พายุมันมาเรื่อยแหละ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ....เหมือนทุกครั้ง
ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับleky เขียน: ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ
สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มมากนะครับ ปกติผมจะถือหุ้น 100% มาหลายปีแล้ว และทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงจะอะไรก็แล้วแต่มันทำให้ขยับตัวได้ลำบากมาก และก็อย่างที่เคยบอกไป ข่าวร้ายบางทีก็มาตอนที่ทุก ๆ อย่างดูดีไปซะหมดprichar s. เขียน:ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับleky เขียน: ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ
สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
เห็นหุ้นซิ่งมาตั้งแต่ปีใหม่ กลัวครับ
เลยปรับพอร์ตเข้าโซนปลอดภัยรอไว้แล้ว
วันสองวันนี้เกิดอาการน้ำลายไหลไม่หยุด(แพ้ภัยความโลภ)
เพิ่มหุ้นเข้าพอร์ตอีกจนได้
..............................................................................
ลงทุนระยะยาว ข่าวก็แค่ข่าว ราคาผันผวนก็แค่ชั่วคราว
ของจริงคือผลประกอบการ
ต่างกันตรงที่ผมถือหุ้นใกล้ 100 % 0จากการเร่งผลตอบแทนมากไปหน่อยแหกโค้งไปบ้าง โชคดีตัวที่ลงทุนลงนิดหน่อยแต่อดเสียดายไม่ได้ ปล.ผมลงทุนหุ้นมาหลายปีก็อย่างนี้ช่วงต้มยำอเมริกาผมยังรอดมาได้ VI ทุกท่านก็รอดได้ อย่างดีด้วยขอบอกและเป็นกำลังใจให้ สาธุ สาธุleky เขียน:ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มมากนะครับ ปกติผมจะถือหุ้น 100% มาหลายปีแล้ว และทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงจะอะไรก็แล้วแต่มันทำให้ขยับตัวได้ลำบากมาก และก็อย่างที่เคยบอกไป ข่าวร้ายบางทีก็มาตอนที่ทุก ๆ อย่างดูดีไปซะหมดprichar s. เขียน:ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับleky เขียน: ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ
สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
เห็นหุ้นซิ่งมาตั้งแต่ปีใหม่ กลัวครับ
เลยปรับพอร์ตเข้าโซนปลอดภัยรอไว้แล้ว
วันสองวันนี้เกิดอาการน้ำลายไหลไม่หยุด(แพ้ภัยความโลภ)
เพิ่มหุ้นเข้าพอร์ตอีกจนได้
..............................................................................
ลงทุนระยะยาว ข่าวก็แค่ข่าว ราคาผันผวนก็แค่ชั่วคราว
ของจริงคือผลประกอบการ
สองปีก่อน ๆ ที่จะมีข่าว S&P ลดอันดับบอนด์ของอเมริกา ตลาดก็ขึ้นแล้วก็มีแต่ข่าวดี พอมีข่าวร้ายมันก็มาเป็นชุด ตามมาด้วยน้ำท่วม ในปีนั้นกำไรที่ผมทำได้ตั้งแต่ต้นปี "หายไปกับสายน้ำ" เกือบหมด
รอบนี้ตลาดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ช่วงหลังผมพยายามไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม แต่พยายามประเมินมูลค่าหุ้น หลังจากงบออก ตัวไหนที่คิดว่าแพงก็ขายออกไป ถือไว้แต่เพียงตัวที่ยังมีอนาคตและราคาหุ้นยังไม่แพงนักและเผื่อไว้ว่าถ้าตลาดลงก็น่าจะยัน ๆ ไว้ได้ ถือเงินสดมากขึ้นแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในรอบหลาย ๆ ปี
การที่เราจะเดินออกจากงานเลี้ยงก่อน ตอนที่เค้ายังสนุกกันอยู่ ไม่ทันอยู่ช่วง "แจกของรางวัล" มันทำใจยากลำบากไม่น้อยครับ เพราะหุ้นที่ขายไปมันก็ไปต่อบ้าง บางตัวก็มากบางตัวก็ไม่มาก แต่ความรู้สึกเวลาตั้งเข้าไปตรง offer แล้วขายได้ง่าย ๆ มันต่างกับตอนที่ต้องแย่งขายตรง bid มากครับ จนถึงตอนนี้หุ้นที่ขายออกไปบางตัวก็ลงไปต่ำกว่าที่ขาย บางตัวก็ยังสูงกว่าอยู่ปะปนกันไปครับ แต่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะ "เพ่งเล็ง" ว่าต้องซื้อให้ต่ำที่สุดหรือจะต้องขายให้สูงที่สุด มันก็ทำให้สบายใจขึ้นครับ และก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าผมก็ต้องขอบคุณคนที่มาเคาะขวาหุ้นที่ผมตั้งราคาไว้ ราคาที่มันขึ้นไปอีกไม่มากก็น้อยก็ให้เค้าได้กำไรไปสมกับที่เค้าอุตส่าห์มาเสี่ยงรับหุ้นราคาสูงไปจากผม
มาถึงตรงจุดนี้ผมพยายามจะไม่มองว่าหุ้นที่ผมสนใจมัน "ลงมาเท่าไหร่" แต่จะพยายามมองว่า "มันขึ้นมาเท่าไหร่" เพราะผมเชื่อว่ามุมมองที่มองลงจาก "ดอย" กับมองจาก "ก้นเหว" มันต่างกันครับ
ลงทุนให้มีความสุขถือวัตถุประสงค์หลักของผมครับ
เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิPlant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
บูรพาไม่แพ้ เขียน:เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิPlant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
ช่วงที่หุ้นลง ก็จะมีบางคนที่หนีทัน หรือมีเงินสดอยู่เพราะเชื่อว่าจะลงไปอีก มาโพสต์ลักษณะนี้chatchai เขียน:บูรพาไม่แพ้ เขียน:เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิPlant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับchatchai เขียน:บูรพาไม่แพ้ เขียน:เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิPlant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
อ้าว!!...กลายเป็นประเด็นไปเลย 555+ ขออธิบายแต่ละท่านดังนี้ครับ...^^)Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^)
ตรงนี้ของคุณ "chatchai" จะรู้ได้ก็หลังจากเกิดวิกฤตแล้วครับ แต่สถานการณ์chatchai เขียน:ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
สำหรับผมตอนนี้เงินยังอยู่ในหุ้น 99% ครับ(เฉพาะเงินที่ไว้ลงทุนในหุ้นนะครับดำ เขียน:ช่วงที่หุ้นลง ก็จะมีบางคนที่หนีทัน หรือมีเงินสดอยู่เพราะเชื่อว่าจะลงไปอีก มาโพสต์ลักษณะนี้
แล้วผมก็จะเห็นพี่ฉัตรชัย ออกมาเม้นท์ลักษณะนี้ เพื่อเตือนสติ อิ อิ
คนที่ขายทันก็ดีไปครับ (ตราบใดที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าที่ขายไป หรือยังลงต่อ)
คนที่ขายไม่ทัน หรือเข้าไปรับมีดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าแย่ (ตราบใดที่ยังไม่ได้ขายขาดทุนออกมา แล้วเดินออกจากตลาดไปถาวร)
ราคาหุ้นที่ผันผวนมันไม่แน่หรอกครับว่าใครจะได้หัวเราะทีหลัง แล้วมันก็จะวนเวียนแบบนี้ต่อไปจนกว่าเราจะลุกออกจากเกมไปเด็ดขาด
เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ
ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน
มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ
การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
ขยายความอีกหน่อยครับ "รับมีดที่หล่นจากฟ้า" ใครเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ "มือ" รับมีด ถ้าใช้ "มือ" รับมีดก็ย่อมเสี่ยงที่จะโดนมีดบาด ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือในการรับมีดที่ตกลงมา การรับมีดเพื่อไม่ให้โดนมีดบาด ย่อมมีอยู่หลายวิธี แบ่งง่าย ๆ เป็นสองอย่าง อย่างแรก รับด้วยมือจริง ๆ และคนที่รับมีความชำนาญในการรับ อย่างที่สอง "ใช้อุปกรณ์อื่น" เช่นเอาถังเหล็กมารับกลางอากาศ แต่ก็ยังคงได้มีดและไม่บาดเจ็บPlant เขียน:อ้าว!!...กลายเป็นประเด็นไปเลย 555+ ขออธิบายแต่ละท่านดังนี้ครับ...^^)Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^)
ตรงนี้ของคุณ "chatchai" จะรู้ได้ก็หลังจากเกิดวิกฤตแล้วครับ แต่สถานการณ์chatchai เขียน:ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
ตอนนี้ผมมองว่ายังไม่ชัวร์ครับว่าเป็นวิกฤตหรือเปล่าครับ ผมจึงคิดว่ายังไม่ควร
ไปรับมีดนะตอนนี้ครับ...^^)
สำหรับผมตอนนี้เงินยังอยู่ในหุ้น 99% ครับ(เฉพาะเงินที่ไว้ลงทุนในหุ้นนะครับดำ เขียน:ช่วงที่หุ้นลง ก็จะมีบางคนที่หนีทัน หรือมีเงินสดอยู่เพราะเชื่อว่าจะลงไปอีก มาโพสต์ลักษณะนี้
แล้วผมก็จะเห็นพี่ฉัตรชัย ออกมาเม้นท์ลักษณะนี้ เพื่อเตือนสติ อิ อิ
คนที่ขายทันก็ดีไปครับ (ตราบใดที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าที่ขายไป หรือยังลงต่อ)
คนที่ขายไม่ทัน หรือเข้าไปรับมีดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าแย่ (ตราบใดที่ยังไม่ได้ขายขาดทุนออกมา แล้วเดินออกจากตลาดไปถาวร)
ราคาหุ้นที่ผันผวนมันไม่แน่หรอกครับว่าใครจะได้หัวเราะทีหลัง แล้วมันก็จะวนเวียนแบบนี้ต่อไปจนกว่าเราจะลุกออกจากเกมไปเด็ดขาด
ไม่ใช่เงินเก็บทั้งหมด) เพราะผมยึดคติเดียวตั้งแต่เริ่มลงทุนมาครับ ว่า
"ถ้าเงินในพอร์ตเหลือ 0 บาท!!! จะต้องไม่กระทบต่อชีวิตของเราและครอบครัวครับ"
....^^)
ปล. หุ้นในพอร์ตยังถืออยู่ 7 ตัวครับ...^^)
เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ
ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน
มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ
การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)
ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)
ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
ขยายความอีกหน่อยครับ "รับมีดที่หล่นจากฟ้า" ใครเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ "มือ" รับมีด ถ้าใช้ "มือ" รับมีดก็ย่อมเสี่ยงที่จะโดนมีดบาด ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือในการรับมีดที่ตกลงมา การรับมีดเพื่อไม่ให้โดนมีดบาด ย่อมมีอยู่หลายวิธี แบ่งง่าย ๆ เป็นสองอย่าง อย่างแรก รับด้วยมือจริง ๆ และคนที่รับมีความชำนาญในการรับ อย่างที่สอง "ใช้อุปกรณ์อื่น" เช่นเอาถังเหล็กมารับกลางอากาศ แต่ก็ยังคงได้มีดและไม่บาดเจ็บleky เขียน:เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ
ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน
มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ
การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)
ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)
ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
leky เขียน:ขยายความอีกหน่อยครับ "รับมีดที่หล่นจากฟ้า" ใครเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ "มือ" รับมีด ถ้าใช้ "มือ" รับมีดก็ย่อมเสี่ยงที่จะโดนมีดบาด ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือในการรับมีดที่ตกลงมา การรับมีดเพื่อไม่ให้โดนมีดบาด ย่อมมีอยู่หลายวิธี แบ่งง่าย ๆ เป็นสองอย่าง อย่างแรก รับด้วยมือจริง ๆ และคนที่รับมีความชำนาญในการรับ อย่างที่สอง "ใช้อุปกรณ์อื่น" เช่นเอาถังเหล็กมารับกลางอากาศ แต่ก็ยังคงได้มีดและไม่บาดเจ็บleky เขียน:เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ
ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน
มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ
การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)
ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)
ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
การรับมีดที่ผมบอกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้มีดมันปักกับพื้นดิน เพราะถ้าเราประเมินหุ้นที่เราจะซื้อแบบมองอย่างปลอดภัยจริง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรับมีดไม่ให้บาดมือโดยจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ ถึงหุ้นมันจะลงไปบ้าง แต่ด้วยคุณค่าของหุ้นตัวนั้นกับการให้ MOS ที่เหมาะสม สุดท้ายหุ้นมันต้องกลับมาครับ ถ้าคุณยิ่งให้ MOS มากโอกาสที่เราจะบาดเจ็บก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ ถึงแม้ตลาดจะเล่นตลกกับเราบ้าง แต่ถ้าตัวหุ้นยังดี ซื้อได้ในราคาถูก สุดท้ายตลาดก็คงเล่นตลกได้ไม่นานครับ
ทำไมไม่มองแบบนี้บ้างครับ ถ้าทุกคนต่างต้องการเก็บ "มีดชั้นดี" ที่ปักลงที่พื้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ณ เวลาที่มีดมันปักลงกับพื้น จะมีคนที่คิดแบบเราอีกกี่คนที่คิดเหมือนเราจะเตรียมที่จะวิ่งออกไปพร้อม ๆ กันเพื่อที่จะเก็บมีดเล่มนั้น ผมกลัวกว่าถึงเวลานั้น เราจะโดน "สุนัขคาบไปรับประทาน" ครับ