มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 18, 2010 12:40 pm
ขอบคุณมากครับchoosak เขียน:คลิปสัมมนารวยด้วยหุ้นอย่างพอเพียงที่คุณ sai พูดถึงครับ
http://edu.tsi-thailand.org/index.php?o ... Itemid=356
ปล. Vdo มีคุณค่ามากครับ
ขอบคุณมากครับchoosak เขียน:คลิปสัมมนารวยด้วยหุ้นอย่างพอเพียงที่คุณ sai พูดถึงครับ
http://edu.tsi-thailand.org/index.php?o ... Itemid=356
เรื่องลังเลนี่เป็นบ่อยมากเลยครับ ช่วงแรกแรกยิ่งเป็นหนัก เนื่องจากน้องสาวและน้องเขยเค้าเป็นนักลงทุนอย่างเดียวเหมือนกัน แต่เป็นแนวเทคนิคอลเต็มตัว ปีแรกตอนเราขาดทุนหนักหนัก ผลตอบแทนของน้องกลับดีกว่ามากมาก แต่พอมาดูรายละเอียดการลงทุนของเค้าแล้ว ก็เข้าใจว่าไม่เหมาะกับการลงทุนของเรา ของแบบนี้คงอยู่ที่นิสัยส่วนตัวด้วยว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหนครับส่วนวิธีการที่แก้ไขเวลาลังเลสับสนผมเคยโพลต์วิธีทำไว้ที่กระทู้หนึ่งครับpicklife เขียน:
ส่วนมากจะเป็นโตเร็วนะครับ มีวัฎจักรบ้าง แต่ที่เล่นน้อยหน่อยคือพวก commo ครับ ส่วนใหญ่หุ้นที่ได้ผลตอบแทนเยอะอาจจะเป็นเพราะปีที่แล้วเป็นปีที่มีหุ้นดีดี ราคาถูกถูกให้เลือกเยอะนะครับ หลักหลักก็เลือก pe ต่ำ growth สูงเป็นหลักครับ แล้วค่อยพิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพอีกครั้งครับผมpwz เขียน:ขอถามบ้างครับ พี่saiเน้นการลงทุนที่หุ้นโตเร็วหรือหุ้นวัฏจักรครับ แล้วหุ้นที่พี่saiได้ผลตอบแทนมากที่สุดตอนค้นพบมีจุดไหนที่คิดว่าเป็นจุดเด่นที่สะดุดตาจนต้องลงทุนครับ ไม่ต้องบอกชื่อหุ้นก็ได้ครับ ผมอยากรู้แค่วิธีมอง
อยากทราบว่าอะไรทำให้พี่กล้าลงทุนถึง 5 ล้านบาท ในตอนเริ่มแรก ทั้งที่ความรู้ และประสบการณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้นยังน้อยครับ พี่ไม่กลัวบ้างเหรอครับก่อนปี 08ผมไม่เคยรู้จักเรื่องราวที่เกี่ยวกับหุ้นเลยแม้แต่นิดเดียวครับ ก่อนหน้านั้นทำงานอย่างเดียวเลยครับ ลึกลึกก็รู้สึกเหมือนคนทั่วไปครับว่าหุ้นคือการเสี่ยงโชค กึ่งการพนัน เพราะเคยมีญาติขาดทุนจนหมดตัวกับหุ้นหนึ่งคน เลยมีทัศนคติที่ไม่ดีนักครับ แต่โชคดีที่ได้ฟังดร. อธิบายด้วยภาษาง่ายง่าย ( ดร.นิเวศน์ของพวกเรานี่เป็นดร. คนแรกที่ผมฟังแล้วเข้าใจหมดครบถ้วน เพราะท่านใช้ภาษาธรรมดามากครับ ไม่ค่อยพูดภาษายากยากและภาษาอังกฤษ มากนัก ผมว่าถ้าอธิบายจนผมเข้าใจได้นี่ ใครใครก็เข้าใจได้ครับ ) เลยกลายเป็นสัมมาฑิฐิ คือเห็นชอบเป็นชอบได้ ครับ
-ส่วนเงินลงทุนเริ่มต้นเริ่มที่ 5 ล้านบาทถ้วนครับ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านก็มีงานประจำรองรับอยู่ครับ ซึ่งส่วนมากจะเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องลูกส่วนใหญ่ครับ ครอบครัวผมใช้เงินน้อยมากครับ
พี่เล็กพอทราบไหมว่าจะจัดช่วงไหนครับ จะได้ lock วันให้ดี ยิ่งนาน ๆ จะจัดที ต้องไม่พลาดleksmile เขียน:2 วันกับ 4 หน้า Hot!!!! จริงๆ สมแล้วที่เป็น 1 ใน 4 ขุนพล สัมนาไทย VI รอบใหม่ใกล้จะมาถึงนี้.....!!!!
ใช่ครับ เค้าให้ jmart เป็นตัวแทนจำหน่าย 1 ในสองรายในไทย(แต่เรามียอดขายสูงกว่าอีกเจ้าหนึ่งมากครับ ) และเป็นผู้ทำตลาดเองเลยครับnasesus เขียน:ผมเข้าใจว่า โมโตคงไม่ทำตลาดในไทยต่อแล้วน่ะครับพี่มี่ ผมยังไปซื้อ zn5 ลดราคาที่ jmart มาใช้เลยครับ กล้อง 5ล้านถ่ายชัดมาก
พี่เล็กพอทราบไหมว่าจะจัดช่วงไหนครับ จะได้ lock วันให้ดี ยิ่งนาน ๆ จะจัดที ต้องไม่พลาดinvestment biker เขียน:
ออกตัวก่อนนะครับ น้องโย ผมเอง ไม่เคยคิดเลยครับว่าเป็นนักธรุกิจ เพราะทำงานมาไม่เคยผูกไทด์เลย คิดว่าเป็นพ่อค้ามาตลอดครับ อิอิ เอาเป็นว่าขอเล่าแบบเป็นเรื่องราวแล้วกันนะครับจะได้นึกภาพตามได้ง่ายหน่อย ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุค่อนข้างน้อยครับ เริ่มจากงานที่แรกที่หาเงินได้เลยเกิดจากตอนจบ ม. 3 ครับ ผมได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนจบมาพร้อมกันได้ความว่าเพื่อนไปทำงานเกี่ยวกับโลจิสติก ได้เงินค่อนข้างมากคือเดือนละ ประมาณ 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน (สมัยนั้นถ้าผมจำไม่ผิดจบ ป.ตรี เงินเดือนประมาณ 5000 บาทเท่านั้นเอง ) จึงไปขออนุญาติคุณแม่ว่าไม่อยากเรียนแล้วอยากทำงานถ้าทำหนึ่งปีถึงสองปี แล้วค่อยขยับขยายอีกครั้งหนึ่ง แม่ก็กลุ้มใจมากเพราะแม่อยากให้เรียนมากกว่า แต่ก็ขัดไม่ได้ เลยให้ไปทำงานด้านโลจิสติก (จริงจริงคือขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างนั่นเอง ) ผมก็ทำได้อยู่ราวราว หกเดือนครับ มีรายได้ค่อนข้างดีเหมือนที่คิดไว้ ครับ แต่คุณแม่ก็มาขอร้องให้ไปเรียนต่อที่ประเทศจีนเพราะท่านมองว่างานที่มีอยู่เป็นงานที่ไม่มีอนาคต ตอนนั้นตามประสาเด็กก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศเลยรับปากไปเรียนครับ ไปเรียนได้สองปี เต็ม ระหว่างเรียนก็ไปแอบรู้มาว่า นักศึกษาที่มาเรียน สามารถหิ้วของสี่ชิ้นจากฮ่องกงเข้ามาใช้ในแผ่นดินใหญ่ได้โดยไม่เสียภาษี และมีร้านค้าหัวเสต้องการนำสินค้ามาขายในราคาส่วนลดโดยที่ร้านค้าเป็นตัวกลางให้เราเป็นเพียงตัวกลางถือเอกสารผ่านแดนโดยไม่ต้องลงทุนใดใด ผมก็ลองไปขนมาก่อนหนึ่งรอบปรากฎว่าได้เงินมาสามหมื่นบาท พอกลับมาที่หอพักก็พบว่าเพื่อนนักศึกษาส่วนมากไม่รู้ข้อมูลตรงนี้ เราเลยอาสาพาไปหิ้วของเข้ามาขายรอบละราว 10 คน กินหัวคิวหัวละ 10000 บาท ช่วงนั้นรายได้ค่อนข้างดีมาก แต่ก็ใช้จนหมดตามประสาเด็กครับ (ช่วงนั้นผมได้เงินไปเรียนส่วนที่นอกเหนือจากค่าเทอม ค่าอาหารค่อนข้างน้อยครับ พ่อให้เงินส่วนพิเศษ แค่ 7000 บาทต่อปี ) หลังจากนั้นก่อนกลับเมืองไทยผมก็ยังอยุ่ที่ฮ่องกงทำงานที่ร้านอาหารสีฟ้า ที่ตรงถนน จอร์แดน อีก หกเดือน เพราะไม่มีเงินค่าตั๋วกลับบ้านและยังไม่อยากกลับครับ (ตอนนั้นเงินหมดและไม่กล้าขอทางบ้านครับ ) ก็กินเที่ยวอยู่พักหนึ่งจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย เริ่มต้นทำงานเป็นล่ามให้กับบริษัทไต้หวันแห่งหนึ่ง หนึ่งปี เป็นไกด์ หกเดือน หลังจากนั้น ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเป็นเจ้าของธรุกิจอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตครับ คือมีพี่แถวบ้านคนหนึ่งชักชวนให้ไปเป็นลูกจ้างเค้าเกี่ยวกับร้านขายคอมพิวเตอร์ที่ห้างแห่งหนึ่ง ผมเป็นคนหลงไหลในเทคโนโลยี่มากจึงไปฝึกงานด้วย และ ทำงานอยู่กับพี่ท่านนี้อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคืนหนึ่งผมจำได้ว่าพี่ท่านนี้หลังปิดร้านได้คุยกับผมว่า ต้องการเซ้งร้านเพราะมีปัญหาส่วนตัว (เสียพนันบอล)โดยจะให้ราคาพิเศษมากมาก แบบแค่ราคาสินค้าและราคามัดจำร้านเท่านั้น ผมเองไม่มีเงินครับ พี่เค้าก็รบเร้าให้พาไปคุยกับคุณแม่ โดยคุณแม่ก็ขอแบ่งจ่ายเป็นเงินสดและเป็นเช็คจ่ายต่างหากอีกสาม สี่งวดได้ หลังจากนั้นผมก็ได้เป็นเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจครับ ช่วงนั้นจำได้เหมือนว่าอยู่ช่วงปี 2537-2538 ช่วงนั้นคอมพิวเตอร์กำลังอยู่ในช่วงแรกของการเติบโตครับ ราคาค่อนข้างสูง แต่กำไรต่อเครื่องค่อนข้างสูง (ผมจำไม่ผิด 486 dx2-66 เครื่องละ 28900 กำไรต่อเครื่องเกือบ 8000 บาท ) ผมก็มีรายได้แบบก้าวกระโดดขึ้นมาเลยในวัยเด็ก ตอนนั้นประมาณ 18-19 ได้ครับ และที่ร้านแห่งนี้เองผมก็ได้พบกับภรรยาครับเนื่องจากพี่ชายเค้ามาซื้อคอมพิวเตอร์ แล้ว เกิดมีการสานสัมพันธ์กันจนแต่งงานกันตอนช่วงตอนผมอายุ 19 ปีนิดนิดครับ ช่วงนั้นผมและภรรยาใช้จ่ายเงินกันสุรุยสุร่ายมากครับ เนื่องจากรายได้มาค่อนข้างดี ซื้อคอนโด ซื้อรถ อาบน้ำให้หมาตัวที่เลี้ยงครั้งละ 1700 บาทก็เคย พอมาถึงปี 2540 นี่เอง ที่บรรดาไฟแนนซ์ล้มแรงแรง ที่ร้านผมช่วงหลังผมขายสินค้าเงินผ่อนผ่านลิซซิ่งหลายแห่งครับ มี อิออน สยามเอแอนด์ซี (easy buy ปัจจุบัน ) และ อีกแห่งเป็นบริษัทลูกของไฟแนนซ์แห่งนึ่งที่ล้ม ตัวที่ล้มนี้เองระยะหลังผมส่งลูกค้าให้เค้าค่อนข้างมากเนื่องจากการอนุมัติของเค้าค่อนข้างง่าย และ ไว (สมัยก่อนอิออน และ อีซี่บาย ไม่รับลูกค้าที่ทำกิจการส่วนตัวเลยครับรับเฉพาะคนกินเงินเดือน และมีขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างนานประมาณ 2 อาทิตย์แนะ ) โดยขั้นตอนของบริษัทเหล่านี้เมื่อเราขายสินค้าแล้ว จะมีรอบในการวางบิล เมื่อวางบิลแล้วจะมีกำหนดให้รับเช็คค่าสินค้าคืน เมื่อเค้าล้มลง ผมเลยล้มด้วยเลย ประกอบกับช่วงหลังร้านค้าในห้างดังกล่าวมีการตัดราคาสินค้าลงรุนแรงมาก เรียกว่าต่ำประมาณที่ผมซื้อก็มี (ตอนนั้นผมรู้จักความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและ ความประหยัดจากขนาดแล้ว แต่ไม่รู้จักชื่อมันเท่านั้นเอง ) ก็เลยเลิกกิจการไป โดยความฟุ่มเฟื่อยครั้งนั้นทำให้ผมมีเงินสดเหลือเพียง 146 บาทในบัญชีธนาคารกรุงเทพเท่านั้น ตอนนั้นกลุ้มใจมากครับ รู้สึกสิ้นหวังห่อเหี่ยว ช่วงนั้นไม่รู้จะทำไรต่อดี มองซ้ายมองขวาสิ่งที่เหลืออยู่มีคอมพิวเตอร์ประมาณ 8 เครื่อง เลยเกิดไอเดียว่าน่าจะไปเปิดร้านเกมส์และร้านเน็ตดูเนื่องจากเคยเห็นร้านประเภทอย่างน้อยยังน่าจะได้เงินสดมาใช้ประทังชีวิตครับ เปิดวันแรกมีลูกค้าหนึ่งคน ได้เงิน 60 บาท หลังจากนั้นกิจการเริ่มดีขึ้นต่อเนื่องตอนมีเกมส์ half life และมาบูมตอน เคาร์เตอร์ สไตค์ครับ ผมอาศัยที่รู้จักกับเจ้าของร้านแห่งหนึ่งที่ขายคอมจึงไปขอเครดิตและค่อยค่อยขยายเครื่องไปเรื่อยเรื่อย จนตอนเยอะสุดผมมีเครื่องประมาณ 400 เครื่อง รายได้สูงสุดที่เคยได้จากธรุกิจนี้ประมาณ 300000 บาทต่อเดือนครับ(แต่ตอนนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องมีการคิดเรื่องค่าเสื่อมราคาหรืออะไร แต่ก็รู้แค่ว่าธรุกิจนี้เวลารายได้เข้ามาไม่ได้เป็นรายได้ของเราทั้งหมดเราต้องกันส่วนหนึ่งไว้อัปเกรดเครื่อง เสมอ เวลาลงทุนหุ้นหากธรุกิจใดมีแนวโน้มต้องลงทุนเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่ เป็นแค่การลงทุนเพื่อให้เราคงสภาพธรุกิจให้แค่รักษาฐานรายได้ระดับเดิม ไว้เท่านั้น ผมจะนึกถึงตอนทำร้านเกมส์เสมอ พอเทียบกับตอนปัจจุบันที่ทำหมูยอ ซึ่งไม่ต้องมีการลงทุนใดใดเพิ่มเลยหรือหากมีก็น้อยมาก รายได้ที่ได้ใกล้เคียงกันแต่กระแสเงินสดของสองธรุกิจแตกต่างกันอย่างมาก คือตอนทำร้านเกมส์นั้นผมเหมือนจะได้เงินสดมาก แต่ตอนสิ้นปีกลับมีเงินเก็บสุทธิไม่มากเท่าไรต่างจากตอนนี้ ) ภายหลัง ก็ต้องเลิกกิจการเนื่องจากกิจการร้านเกมส์นั้นไม่มี ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันอย่างยั่งยืนเลย คู่แข่งใหม่ใหม่ที่มาทำที่หลัง ลงทุนน้อยกว่าเราเนื่องจากราคาเครื่องถูกลง แต่กลับได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และเมื่อคู่แข่งใช้สงครามราคา ในที่สุดก็จะ สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ครับ จากเหตุการณ์นี้ผมเรียนรู้ว่าธรุกิจอะไรก็แล้วแต่ที่มีการลงทุนใหญใหญ่ครั้งเดียว และ มีต้นทุนผันแปรไม่สูง จะมีแนวโน้มสงครามราคาได้ง่าย เนื่องจากทุกคนก็คิดแต่ว่าลงทุนไปแล้ว ถึงจะได้น้อยกว่าที่คิด เท่าไรก็สู้เพื่อให้ไม่ต้องขาดทุนหรือขาดทุนน้อยน้อยก็ยังดี ผมทำร้านเกมส์เป็นเวลา 9 ปีนะครับ ระหว่างทางที่ทำนั้นภรรยาก็ทำร้านอาหารควบคู่ไปด้วยตลอด โดยส่วนมากขาดทุนมาตลอดเช่นกัน ช้าบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่ทำเล ก่อนจะเปิดผมคิดอย่างดีถี่ถ้วนทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ขาดทุนไป 6 ครั้ง ครั้งหลังสุดคือทำหมูกะทะตรงแถวลาดปลาเค้า อันนี้ลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากเห็นคนอื่นทำแล้วดี เราทำบ้างก็ไม่เจ๊งทันทีแต่ค่อยค่อยซึม กินเวลาขาดทุน 2 ปี ผมจึงต้องยอม cut loss หลังจากเลิกร้านอาหาร ภรรยาผมยังไม่ยอมแพ้ไปทำ เห็ดโคน โดยไปศึกษาทั้งตลาดและวิธีการปลูกอย่างดี แต่สุดท้ายของเห็ดของเราก็ขึ้นมาได้ไม่สวยและสุดท้ายขาดทุนกับอุปกรณ์และค่าเช่าไปอีก หลายแสนบาท หลังจากเลิกกิจการร้านเกมส์ผมก็ไปทำธรุกิจรับซื้อขายแลกเปลี่ยนจำนำ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตัวธรุกิจไปได้ด้วยดี เป็นช่วงที่ทำเงินได้มากหน่อย เพราะเงินลงทุนเป็นลักษณะหมุนเวียนไปมา อาศัยต้องบริหารสินค้าคงคลังดีดี ต้องขายให้ไว เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าค่อนข้างไว ช่วงนั้นภรรยาเริ่มทำหมูยอส่งตามร้านอาหารไปด้วยครับ แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร ช่วงแรกทำส่งตามร้านอาหารต้องงอนง้อ ขอฝากขายบ้าง โดนเบี้ยวบ้าง โดนปฎิเสธบ้าง ช่วงหลังจึงลองเปลียนแผนไปบุกขายด้วยตนเองตามตลาดนัด เพราะคิดว่าไม่ต้องพึ่งพาคนนอก หลังจากนั้นก็ดีขึ้นตามลำดับครับ หลังจากนั้นไม่นาน คอมพิวเตอร์มือสอง และ โทรศัพท์มือถือ มีราคาเปลี่ยนแปลงคือลดลงรุนแรงมากมาก ทำให้ความนิยมในสินค้ามือสองมีน้อยลงมากมาก ประกอบกับงานของภรรยาเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ค่อยค่อยเอาญาติพี่น้อง และค่อยค่อยมีคนนอกมาช่วยกันขายอย่างต่อเนื่อง ครับyoyo เขียน:พี่มี่นี่เป็นทั้งนักลงทุนนักธุรกิจแบบตัวจริงเสียงจริงเลย
ขยันทำงาน ขยันอ่าน ขยันทำการบ้านเล่นหุ้น
ผมอยากฟังพี่เล่าประวัติก่อนมาเล่นหุ้นนะครับ ว่าทำอะไรมาบ้าง
ผมนั่งฟังพี่พูดเมื่อนานมาแล้วเรื่องที่ปล่อยเงินกู้โดยให้พวกสินค้า elec วางประกัน แต่มารู้ทีหลังว่านั้นแค่หยิบมือเดียว ทำมาแล้วสารพัดอย่าง
ผมไม่มีโอกาสได้ผ่านประสบการณ์แบบนั้นมา อยากฟังจากคนทำงานตัวจริงครับ :lol:
สุดยอดครับส่วนตัวผมคิดว่าเราไม่ควรคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความผิดพลาด หรือเสียใจกับมันมากนักครับ คิดรวมไปเลยว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็ต้องผ่านเส้นทางแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่เรื่องของความล้มเหลว แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ความสำเร็จต่างหากครับ