007-s เขียน:
:lol: เปลี่ยนใจ ไม่เพิ่มแล้ว ทุน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2331 15 มิ.ย. - 18 มิ.ย. 2551
แล้วเรื่องก็แดงเมื่อ"บิ๊กTUCC "
เทรดหุ้นตัวเอง
กลายเป็น"ฮอตอิชชู" ของวงการตลาดหุ้น
และมีคำถามตามมามากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้น
"บริษัท ไทยยูนีคคอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) (TUCC) "
หลังถูกดัมพ์ขายอย่างหนักทำให้ราคาร่วง"ติดฟลอร์"ถึง 3 วันรวด
(10-12 มิ.ย.)รวม 68.22 % จากราคาปิดที่ 9 บาท
ในวันที่ 9 มิถุนายน ลดลงเหลือ 3.10 บาท
ในวันที่ 12 มิถุนายน หรือลดลง 6.14 บาท/หุ้น
ยัง....ยังไม่สะเด็ดน้ำหุ้น TUCC ยังทิ้งท้าย
ศุกร์ 13 ด้วยการปรับลงต่ออีก 7.74 %
ทำให้ราคาหุ้นในวันดังกล่าวปิดที่ 2.86 บาท
ส่วนคำตอบที่พอจะหาได้บ้างจากการที่
"นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล" ผู้ช่วยผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ราคาหุ้น TUCC ที่ปรับตัวลงฟลอร์ติดต่อกัน 3 วันนั้น
ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อระบบเพราะตลาดหุ้นโดยรวม
ไม่ได้ปรับตัวลงแรง และเป็นการปรับตัวลงแรงเพียงบางตัว
ตามการใช้สินเชื่อมาซื้อหุ้น (มาร์จิน)
และการถูกบังคับขาย(ฟอร์ซเซล)
ขณะที่มีการร่ำลือกันในวงการโบรกเกอร์และหมู่นักลงทุนว่า
มีบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการ
บังคับขาย(ฟอร์ซเซล)หุ้น TUCC ประมาณ 10 ราย
ซึ่งมีบัญชีลูกค้าที่เป็นก๊วนของอดีตนักการเมืองชื่อดัง
เพิ่มเข้ามาอีก เบ็ดเสร็จแล้วมีการคาดว่า
โบรกเกอร์ ขาดทุนจากการถูกฟอร์ซเซล
ทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
และแล้วความจริงบางส่วนก็ปรากฏหลังจาก
มีการแจ้งการขายหุ้นของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TUCC
โดยเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้นของ TUCC
โดยนาย"ยงยุทธ งามไกวัล"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับแรกของ TUCC
ในสัดส่วน 52.11 % ได้ขายหุ้นTUCC
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา 4 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.58%
ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 253 ล้านบาท
ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 51.1%
จากการเป็นหุ้นฮอต ของ TUCC
ทำให้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา
ก.ล.ต.ได้ประกาศหุ้นที่ติดเทิร์น โอเวอร์ลิสต์
หรือมีอัตราการหมุนเวียนการซื้อขายสูง หุ้น TUCC ก็ติดชาร์ตด้วย
โดยก.ล.ต.ระบุว่าในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา
หุ้นTUCC มีอัตราการหมุนเวียนซื้อขายสูงถึง 247.31 %
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 405.95 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นตัวเองของนายยงยุทธ
ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก "ฐานเศรษฐกิจ"
ตรวจสอบข้อมูลการรายงานการซื้อขายหุ้นของผู้บริหาร
ที่แจ้งก.ล.ต. พบว่า นายยงยุทธ ขึ้นแท่นอันดับต้น
ๆที่เวียนเทียน(ซื้อ-ขาย)หุ้นตัวเอง ซึ่งพบว่าตั้งแต่ปี 2550
ถึงปีปัจจุบันผู้บริหารรายนี้มีความเคลื่อนไหวการซื้อ-ขาย
และโอนหุ้นTUCC อย่างต่อเนื่อง
โดยในรอบปี 2550 นายยงยุทธ
เริ่มมีความเคลื่อนไหวซื้อขายหุ้น TUCC ต่อเนื่องถึง 9 เดือน
เริ่มจากเดือนมีนาคมไปจนถึงสิ้นปี 2550
ส่วนปี 2551พบว่าในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมและพฤษภาคม
นายยงยุทธได้มีการโอนหุ้นออกและรับโอนมาจากบุคคลอื่นต่อเนื่อง
เช่น ล่าสุด วันที่ 8 พฤษภาคม ได้รับโอน 10 ล้านหุ้น
นอกจากนี้มีความเคลื่อนไหวการขายหุ้น TUCC
เช่น วันที่ 16 พฤษภาคม ได้ขายออก 6.2 ล้านหุ้น
ที่ราคาหุ้นละ 11.08 บาท เป็นต้น
เหล่านี้ คือ บางส่วนของความเคลื่อนไหวการซื้อขายหุ้น
TUCC ของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่
ซึ่งพอจะทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อย
น่าจะประติดประต่อภาพจิ๊กซอว์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
กับหุ้นตัวนี้ได้บ้าง
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันซ่า จำกัด
ระบุว่าที่ผ่านมา TUCC ไม่เคยจ่ายเงินปันผลนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์ฯ(ธ.ค.2548 )
ขณะที่เมื่อเร็วๆนี้มีการเพิ่มทุนสัดส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่
ราคาหุ้นละ 2.50 บาท และผู้ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนยังจะได้ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น
สามัญ(วอร์แรนต์)อีก 1.5 หน่วย
เปิดจองซื้อและชำระเงิน 6-12 มิถุนายน ที่ผ่านมา
โดยวันนี้เป็นวันสุดท้ายในการจ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ดังนั้น
เป็นไปได้ที่รายใหญ่ขายทิ้งหุ้นในกระดาน
เพื่อนำเงินไปจองซื้อลูกหุ้นซึ่งราคาถูกกว่าเท่าตัว
นอกจากนี้ในด้านปัจจัยพื้นฐาน หุ้น TUCC ยังน่าเป็นห่วงอยู่
2 เรื่อง คือ ความเสี่ยง จากการดำเนินงาน
เนื่องจากบริษัทต้องนำเข้าเหล็กสเตนเลสส์รีดร้อน
ซึ่งราคาพุ่งต่อเนื่องและต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อซื้อวัตถุดิบ
หลังเงินบาทเริ่มอ่อนค่านับแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งยอดขายอาจได้รับผล
กระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ซบเซา
รวมทั้งมีความเสี่ยงทางการเงิน
ทั้งหนี้มากและเงินกู้ส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
บล.ทรีนีตี้ฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้น TUCC
มีแนวรับที่ 2.50-2.20 บาท และแนวต้าน ที่ 3.20-3.50 บาท
โดยอาจพอเล่นเก็งกำไร(speculate)ช่วงสั้นๆได้
หากไม่หลุดแนวรับที่ให้ไว้
บทสรุปสำหรับนักลงทุนก็คือ
ต้องท่องคัมภีร์อมตะที่ว่า
"การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน"